บทที่ 1442 : เดือดดาล!
  แม้หลิงหยุนจะกำลังฝึกฝนวิชาอยู่แต่ปกตินิสัยของเขาก็จักต้องเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจด้านนอกไปด้วยเสมอ ทำให้สามารถล่วงรู้สถานการณ์ด้านนอกได้ตลอดเวลา
  ฉะนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นการมาถึงของคนตระกูลฉิน หรือคนตระกูลหลิง หลิงหยุนล้วนรู้เห็นแล้วทั้งสิ้น แต่เขาก็ยังคงฝึกฝนวิชาต่อไป นั่นเพราะเวลานี้มีทั้งฉินตงเฉวี่ยและฉินจิวยื่อ จึงมิจำเป็นที่เขาจะต้องออกหน้า
  เวลานี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่หลิงหยุนกำลังรอคอยอยู่..ซึ่งก็คือหนิงหลิงยู่!
  และทันทีที่หนิงหลิงยู่มาถึงหลิงหยนุก็หยุดฝึกวิชา และรีบเหาะตรงไปหานางอย่างรวดเร็ว..
  ภายใต้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนนั้นคือภาพของหนิงหลิงยู่ในชุดกระโปรงสีขาวที่กำลังเหาะตรงเข้ามา ผมที่ยาวสลวยปลิวสะบัด ชายกระโปรงสีขาวพริ้วไสวงดงาม อยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆสีขาวสว่าง..
  “หลิงยู่!”
  “พี่ใหญ่!”
  เวลานี้จิตหยั่งรู้ของหนิงหลิงยู่มีรัศมีครอบคลุมกว่าเจ็ดกิโลเมตรเมื่อได้พบเห็นหลิงหยุนเหาะตรงเข้ามาหา นางจึงรีบชะลอความเร็วลง และพุ่งตรงเข้าหาอ้อมกอดของเขาในทันที
  ดวงตาทั้สองข้างของหนิงหลิงยู่แดงก่ำน้ำเสียงที่เอ่ยเรียกหลิงหยุนนั้นเจือสะอื้น..
  “หลิงยู่..ไม่ต้องร้องไห้!”
  หลิงหยุนโอบกอดหนิงหลิงยู่ไว้พร้อมกับตบไหล่นางเป็นการปลอบประโลม“นี่เจ้าเข้าสู่ระดับเริ่มต้นขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) แล้วรึ”
  ความจริงแล้วเวลานี้หลิงหยุนยังอยู่เพียงแค่ระดับสูงสุดขั้นอู่เฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-5) เท่านั้น จึงยังไม่ล่วงรู้ขอบเขตจิตหยั่งรู้และรู้เห็นจุดตันเถียนของหนิงหลิงยู่ได้ เขาเพียงแค่คาดเดาเอาจากพลังที่พวยพุ่งออกจากร่างของนางเท่านั้น
  “ใช่แล้วพี่ใหญ่!ข้าเข้าสู่ระดับเริ่มต้นขั้นลิ่วเฉิงชี่แล้วจริงๆ!”
  หนิงหลิงยู่เองก็ไม่ปกปิดหลิงหยุนเช่นกัน“ข้าต้องใช้เวลาถึงสามวันในการทะลวงเข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่!”
  “นั่นนับว่าเร็วมากแล้วนี่เจ้าก้าวหน้ากว่าข้าแล้วรู้หรือไม่ เวลานี้ข้าเพิ่งจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) เท่านั้น!”
  หลิงหยุนเอ่ยชมหนิงหลิงยู่แต่แล้วก็เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หลิงยู่.. การฝึกบ่มเพาะสำคัญยิ่งคือขั้นพลังที่เสถียรมั่นคง แม้จะมีพรสวรรค์ล้ำเลิศเพียงใด ก็ต้องระมัดระวังเรื่องนี้ให้มากเช่นกัน!”
  “พี่ใหญ่..ท่านย้ำเรื่องนี้กับข้ากี่รอบแล้วรู้ตัวบ้างหรือไม่”
  หนิงหลิงยู่ถอนตัวออกจากอ้อมกอดของหลิงหยุพร้อมกับก้าวเดินถอยหลังออกมาเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองหลิงหยุนแน่นิ่ง..   “ก็เจ้าก้าวหน้ารวดเร็วเช่นนี้ข้าอดที่จะคอยเตือนไม่ได้น่ะสิ!”
  จากนั้นหลิงหยุนจึงกระซิบกับหนิงหลิงยู่“หลิงยู่ เวลานี้ท่านแม่ปลอดภัยดี ส่วนท่านพ่อของเจ้าก็อยู่ในห้องเซ่นไหว้ทางโน้น เวลานี้คนตระกูลหนิงอยู่ที่นั่นกันหลายคน จิตใจของเจ้าพร้อมที่จะพบเจอพวกเขาหรือยัง”
  ฉินชุนเฟิงเป็นพี่ชายของฉินจิวยื่อแน่นอนว่าช่วงที่หนิงหลิงยู่ไปอยู่ที่ตระกูลฉินนั้น ย่อมต้องได้พบเจอคนตระกูลฉินรวมทั้งฉินชุนเฟิงอยู่แล้ว จึงคุ้นเคยมากกว่า..
  แต่คนตระกูลหนิงนั้นหนิงหลิงยู่มิเคยพบพานผู้ใดมาก่อนเลย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่นางจะต้องพบเจอ อีกทั้งหนิงเทียนหยาก็เพิ่งเสียชีวิต หลิงหยุนจึงได้แต่ถามออกไปด้วยความห่วงใย
  หนิงหลิงยู่พยักหน้า“พี่ใหญ่.. เรื่องนี้ท่านปู่ได้บอกเล่าให้ข้าฟังก่อนแล้ว!”
  หลิงหยุนจ้องมองหนิงหลิงยู่และพบแววตาที่เศร้าโศกเสียใจอยู่ในดวงตาของนางเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แต่แล้วก็พลันหายไปในเวลาอันรวดเร็ว หลิงหยุนจึงรู้สึกคลายกังวลขึ้นมาก..
  หลิงหยุนเฝ้าสังเกตดูหนิงหลิงยู่อย่างละเอียดตั้งแต่พบเห็นหน้าและพบว่านางทำตัวเป็นปกติเหมือนเช่นเคย มิได้มีสิ่งใดผิดปกติเลยแม้แต่น้อย ทำให้ความกังวลใจของหลิงหยุนก่อนหน้าได้มลายหายไปในทันที
  “ถ้าเช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปยอดเขาเทียนเฟิงเดี๋ยวนี้เลย!”
  หลิงหยุนจับมือนวลเนียนราวหยกของหนิงหลิงยู่ไว้และพาเหาะตรงไปยังหน้าผาบนยอดเขาเทียนเฟิงในทันที
  เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวทั้งคู่ก็ไปถึงที่นั่นแล้ว..
  ฉินจิวยื่อฉินตงเฉวี่ย เย่ซิงเฉิน ไป๋เซียนเอ๋อ ตี้เสี่ยวอู๋ ฉินชุนเฟิง ฉินเหว่ย และคนสำคัญอีกหลายคนของตระกูลหนิง ต่างก็กำลังยืนอยู่ด้านนอกของห้องเซ่นไหว้ดวงวิญญาณหนิงเทียนหยา  “ท่านแม่!”
  หนิงหลิงยู่กระโดดลงบนหน้าผาพร้อมกับโผเข้าหาฉินจิวยื่อในทันที“ท่านแม่.. ท่านบาดเจ็บที่ใดบ้างหรือไม่”
  จากนั้น..น้ำตามากมายก็ได้ไหลพร่างพรูอาบแก้มของนางทันที หนิงหลิงยู่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ครู่ใหญ่
  “หลิงยู่..ไม่ต้องร้องไห้!”
  ฉินจิวยื่อลูบไล้แผ่นหลังของหนิงหลิงยู่อย่างอ่อนโยนก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างผลักไหล่ของนางขึ้น พร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
  “หลิงยู่..แม่ได้เห็นพวกเจ้าสองพี่น้องเปลี่ยนแปลงไปมากมายถึงเพียงนี้ แม่รู้สึกดีใจยิ่งนัก!”
  “แต่น่าเสียดายที่พ่อของเจ้าเขา.. เขาไม่มีโอกาสได้เห็น!”
  “ท่านแม่..ท่านพ่ออยู่บนสรวงสวรรค์ย่อมต้องมองลงมาเห็นเป็นแน่!”   หนิงหลิงยู่เอ่ยตอบผู้เป็นมารดาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยจากนั้นจึงแอบเรียกชุดสำหรับไว้ทุกข์จากแหวนจักรวาลออกมาสวมใส่ทันที และรีบบอกกับฉินจิวยื่อว่า
  “ท่านแม่ข้าต้องการเข้าไปเคารพศพท่านพ่อ!”
  “ได้ๆพ่อของเจ้าเองก็เฝ้าครุ่นคิดถึงเจ้าทุกวันมาตลอดหกเดือน แม้กระทั่งก่อนจะสิ้นใจ..”
  ฉินจิวยื่อเห็นหนิงหลิงยู่เตรียมชุดไว้ทุกข์ออกมาสวมใส่เช่นนี้นางได้แต่พยักหน้าด้วยความรู้สึกโล่งใจพร้อมกับบอกไปว่า
  “หลิงยู่เจ้าตามข้ามา!”
  ฉินจิวยื่อเดินจูงมือหนิงหลิงยู่เข้าไปด้านในห้องเซ่นไหว้แล้วจึงหันไปพยักหน้าให้กับคนอื่นๆที่อยู่ด้านนอก
  หลิงหยุนและคนอื่นๆต่างก็ได้ทำการคาราวะดวงวิญญาณของหนิงเทียนหยาแล้ว จึงมิมีผู้ใดเข้าไปรบกวนสองแม่ลูกด้านใน  การตายของบุรุษนับเป็นเรื่องใหญ่อีกทั้งเวลานี้บุตรสาวแท้ๆของหนิงเทียนหยาที่ได้แยกจากกันไปเป็นเวลานาน ได้กลับมาเคารพดวงวิญญาณของผู้เป็นพ่อ และนับเป็นการพบกันครั้งแรกของสองพ่อลูกเช่นนี้ แม้แต่ฉินตงเฉวี่ยเองยังมิกล้าตามเข้าไป
  ฉินจิวยื่อเดินนำหนิงหลิงยู่เข้าไปภายในห้องเซ่นไหว้ทั้งคู่ต่างก็นิ่งเงียบมิมีผู้ใดกล่าววาจาอันใดออกมา บรรยากาศภายในห้องก็เงียบสงัดไร้เสียงพูดคุย
  หลิงหยุนสังเกตเห็นสายตาของคนทั้งห้าที่กำลังจับจ้องมาทางตนแม้ทั้งหมดจะจ้องมองเขาแน่นิ่งไร้ซึ่งเสียงพูดจา แต่ในแววตาของพวกเขาต่างก็แสดงออกถึงความซาบซึ้งใจอย่างชัดเจน
  และคนทั้งห้านี้ก็คือคนของตระกูลหนิง!
  “หลิงหยุนมานี่ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก..”
  ฉินชุนเฟิงเป็นฝ่ายพูดทำลายบรรยากาศที่เงียบกริบนี้น้ำเสียงของเขานั้นไม่เบาและไม่ดัง คำพูดที่หลั่งออกจากปากก็ไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป ให้ความรู้สึกอบอุ่นนุ่มนวลต่อผู้ที่ได้ยินได้ฟังยิ่งนัก
  หลิงหยุนก้าวเดินออกไปในทันที..
  “หลิงหยุนทุกคนในที่นี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนของตระกูลหนิงทั้งสิ้น!”
  “อาวุโสผู้นี้คือท่านลุงสอง– หนิงป๋อผิง ”
  หนิงป๋อผิงผู้นี้มีรูปร่างผอมบางผมสีดอกเรา สีหน้าท่าทางสงบนิ่ง และอยู่ในระดับสูงสุดขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4)
  หลิงหยุนโน้มตัวลงคำนับพร้อมกับเอ่ยออกไปว่า“ท่านปู่หนิง..”
  “หลิงหยุนอย่าได้คำนับข้าเลย ข้าไม่อาจรับไว้ได้จริงๆ!”
  หนิงป๋อผิงและคนอื่นๆในตระกูลหนิงต่างก็ได้ล่วงรู้เหตุการณ์การต่อสู้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้จากฉินจิวยื่อแล้ว พวกเขาต่างก็รู้ว่าหลิงหยุนคือผู้มีพระคุณยิ่งของตระกูลหนิง..
  หนิงป๋อผิงรีบเอื้อมมือออกไปห้ามหลิงหยุนไว้พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “หลิงหยุน เจ้าทำลายสำนักกระบี่เทียนซานเช่นนี้ เท่ากับได้ชำระหนี้เลือดให้กับตระกูลหนิงของเราด้วย จักให้ข้ารับการเคารพจากเจ้าได้อย่างไรกันเล่า”
  หลิงหยุนรีบตอบกลับทันที“ท่านปู่หนิง นี่เป็นสิ่งที่ข้าสมควรต้องกระทำ!”
  หลังจากแนะนำหนิงป๋อผิงแล้วฉินชุนเฟิงก็ได้พาหลิวหยุนไปแนะนำกับคนตระกูลหนิงที่เหลืออีกสี่คน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นลูกพี่ลูกน้องของหนิงเทียนหยาทั้งสิ้น : หนิงเทียนกง หนิงเทียนยื่อ หนิงเทียนเผิง และหนิงเทียนนู่
  หลิงหยุนสังเกตเห็นว่าทั้งสี่คนล้วนอยู่ในวัยสามสิบถึงห้าสิบปีแตกต่างกันไปทั้งหมดต่างก็เปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองออก ทำให้หลิงหยุนรู้ว่าทุกคนล้วนแล้วแต่อยู่ในขั้นพลังชี่
  หลิงหยุนเข้าไปทักทายทีละคนจนครบหลิงหยุนกลับไม่พบเห็นพ่อแม่ของหนิงเทียนหยา จึงอดที่จะเอยถามฉินชุนเฟิงผ่านทางกระแสจิตด้วยความสงสัยไม่ได้..   –ท่านลุงฉินแล้วท่านพ่อกับท่านแม่ของท่านลุงหนิงมิได้มาด้วยหรอกรึ-
  –นี่แม่ของเจ้ายังมิได้เล่าให้เจ้าฟังหรอกรึท่านแม่ของหนิงเทียนหยารู้ข่าวเรื่องที่ลูกชายของตนถูกทรมานอยู่ในสำนักกระบี่เทียนซาน ก็ตรอมใจและเสียใจจนตาย..-
  –ส่วนพ่อของเขา– หนิงป๋อหยวน.. แม้จะยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เฝ้าตำหนิและโทษตนเองว่า เป็นเหตุให้ลูกชายต้องมาพบเจอกับเรื่องราวน่าเวทนาเช่นนี้ จึงมิกล้าแม้แต่จะมาพบหน้าลูกชายที่เสียชีวิตของตนเองกับแม่ของเจ้า..-
  ฉินชุนเฟิงอธิบายให้หลิงหยุนฟังผ่านทางกระแสจิตเช่นกัน..
  –อ่อ..เป็นเช่นนี้นี่เอง!-
  หลิงหยุนได้แต่ถอนหายใจออกมา..เขาเข้าใจความรู้สึกของพ่อและแม่หนิงเทียนหยาได้ดีว่า จะต้องทุกข์ทรมานใจและหัวใจสลายมากเพียงใด เมื่อรู้ข่าวคราวเรื่องที่ลูกชายของตนถูกทรมานทั้งกายและใจอยู่ในสำนักกระบี่เทียนซาน แต่กลับมิอาจช่วยเหลืออะไรได้..   หลังจากพอที่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรแล้วหลิงหยุนก็ไม่คิดที่จะถามรายละเอียดที่มากกว่านั้น..
  ตอนนี้ก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้วทุกคนทั้งตระกูลฉินและตระกูลหนิงต่างก็เดินทางมาไกล พวกเขาน่าจะต้องหิวแล้ว หลิงหยุนจึงสั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋ไปจัดการเรื่องข้าวปลาอาหาร
  ตี้เสี่ยวอู๋เหาะออกจากยอดเขาเทียนเฟิงไปพบหลี่เพียวหยางที่ยอดเขามนุษย์ในทันที..
  แต่แล้วจู่ๆก็มีเสียงกรีดร้องดังออกมาจากห้องเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของหนิงเทียนหยา!
  “ตี๋เสี่ยวเจิน!!!เจ้าทำร้ายท่านพ่อของข้า ทั้งยังทรมานท่านแม่ของข้าจนมีสภาพเช่นนี้ ข้า – หนิงหลิงยู่ขอสาบานว่าจะล้างแค้นแทนพวกเขาแน่!!”
  หลังจากที่หนิงหลิงยู่ได้เห็นสภาพของหนิงเทียนหยาที่ถูกทรมานจนมีสภาพเช่นนั้นนางก็ถึงกับกรีดร้องออกมาด้วยความเดือดดาล!   หนิงหลิงยู่กระโดดออกมาจากห้องเซ่นไหว้ดวงวิญญาณ..