ตอนที่ 1007 แบบอย่าง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1007 แบบอย่าง

ณ ห้องรับแขกจวนตระกูลเหวิน

ทั้งสุราและอาหารถูกยกมาจัดวางไว้จนเต็มโต๊ะ เหวินสิงโจวเห็นเซียวยวี่โหลวยังเดือดพล่านอยู่จึงยกยิ้มขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า

“ข้าว่านะ ใต้ท้าวเซียว หากเจ้าพังเรือนของข้าก็มิได้ทำให้อันใดดีขึ้นมาหรอก มา ๆ ๆ ข้าเตรียมอาหารและสุราไว้จนเต็มโต๊ะเพื่อเจ้าโดยเฉพาะถือเป็นการไถ่โทษแทนบุตรชายทั้งสองของข้าที่กระทำการมิเข้าท่าก็แล้วกัน”

เซียวยวี่โหลวมิอาจแสดงท่าทีเย่อหยิ่งต่อน้ำใจของเหวินสิงโจวได้ เพราะแท้จริงแล้วตัวเขาคือลูกศิษย์ของเหวินสิงโจว !

“ศิษย์…มุทะลุเกินไปแล้ว ท่านอาจารย์โปรดอภัยให้กันด้วยเถิดขอรับ”

“เรื่องนี้จะโทษเจ้าก็มิถูกเสียทีเดียว ทว่าเรื่องนี้ข้ามีความเห็นอีกด้านหนึ่ง”

“ได้โปรดเอ่ยออกมาเถิดท่านอาจารย์”

“ก่อนอื่น… เรื่องจัดทำหนังสือพิมพ์เป็นพระราชดำริของฝ่าบาท ดังนั้นหนังสือพิมพ์ฉบับแรกที่บุตรชายของข้าตีพิมพ์ย่อมเคยผ่านพระเนตรของฝ่าบาทมาก่อนอย่างแน่นอน”

เซียวยวี่โหลวชะงักงัน “นี่เท่ากับว่าฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ดีเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”

“ฝ่าบาทย่อมทราบเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ทว่ามันเกี่ยวกันด้วยหรือ ? การที่เจ้าเหยียดหยามน้ำใจของนางมิสำเร็จก็ถือเป็นโชคดีที่เจ้าจะมิถูกสอบสวนโดยฝ่ายตรวจการ และยังมีข้อดีอีกหนึ่งอย่าง”

เซียวยวี่โหลวรู้สึกว่าศิษย์น้องทั้งสองได้ขุดหลุมลึกเพื่อให้เขาตกลงไปแท้ ๆ มันจะมีข้อดีได้เยี่ยงไรกัน ?

แม้จะเป็นที่รู้ดีกันดีว่า… ปัญญาชนคนสูงศักดิ์มักมีหนังหน้าที่หนา ยิ่งขุนนางตำแหน่งสูงเยี่ยงตนก็ยิ่งหน้าหนา ทว่าคงมิหนาถึงขั้นทนการเข้ามาสอบถามอย่างสอดรู้สอดเห็นจากทุกคนได้หรอกนะ ?

ยังมิต้องเอ่ยถึงผู้อื่น เพียงแค่แม่เสือที่จวนก็ยังมิรู้เลยว่าจะทำให้อารมณ์ของนางสงบลงได้เยี่ยงไร ?

หรือต้องมีบ้านเล็กบ้านน้อยอยู่ข้างนอกจริง ๆ!

“ยวี่โหลว มา ๆ ๆ พวกเรามากินให้อิ่มหนำสำราญกันดีกว่า”

เซียวยวี่โหลวจะทานลงได้เยี่ยงไร เขายกจอกสุราขึ้นมาดื่มพร้อมกับเหวินสิงโจว จากนั้นก็ได้ยินอาจารย์เอ่ยถามพลางลูบเครายาวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงต้องผลิตหนังสือพิมพ์ออกมา ? ”

“ก็เพื่อให้ราษฎรในใต้หล้ารับรู้นโยบายหลักของต้าเซี่ยและเพื่อมิให้ขุนนางในท้องถิ่นหลอกลวงพวกเขาได้”

“แล้วเหตุใดพระองค์ถึงอนุญาตให้มีการลงข่าวเช่นนี้ในหนังสือพิมพ์ ? ก็เพราะว่าฝ่าบาทต้องการให้หนังสือพิมพ์เข้าถึงราษฎร และขุนนางแห่งต้าเซี่ยก็จำต้องใกล้ชิดกับราษฎรด้วยเช่นกัน”

“วิธีเข้าถึงราษฎรได้ดีที่สุดคือวิธีใด ? ก็คือการทำตัวให้เหมือนปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป เรื่องที่ผู้คนชอบฟังคือเรื่องใด ? มิใช่ว่าเป็นเรื่องสนุกหลังมื้ออาหารหรอกหรือ ? เรื่องพวกนั้นล้วนเป็นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวันเยี่ยงไรเล่า”

“หลังจากที่พวกเขาอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนี้แล้วจะคิดเยี่ยงไร ? พวกเขาคงคิดว่าท่านเสนาบดีผู้สูงส่งท่านนี้ก็มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนคนทั่วไปเช่นกัน มิใช่บุคคลสูงส่งดั่งเทพเจ้าจนมิสามารถเอื้อมถึง เมื่อเป็นเช่นนี้ความคิดที่ว่าขุนนางคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ย่อมมลายหายไป พวกเขาจะรู้สึกว่าท่านเสนาบดีผู้สูงส่งก็ทานข้าวเหมือนกันกับตน เช่นนั้นขุนนางทั้งหลายก็มิต่างอันใดกับปุถุชนทั่วไป”

“เมื่อถอดหน้ากากของความศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงขุนนางออกไป พวกเขาก็จะสามารถเข้าไปสื่อสารกับขุนนางได้อย่างเท่าเทียม เข้าไปเชื่อมความสัมพันธ์หรือบางคราที่ขุนนางทำสิ่งมิถูกต้อง พวกเขาย่อมกล้าเข้าไปชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่อง”

“ฝ่าบาททรงตรัสอยู่เสมอมิใช่หรือว่าความสัมพันธ์ระหว่างขุนนางและราษฎรควรหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวเหมือนนมกับน้ำ มิอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อกันได้ ขุนนางแห่งต้าเซี่ยกำเนิดโดยราษฎร ดังนั้นราษฎรควรเข้าถึงพวกท่านได้ มิควรนำตำแหน่งหน้าที่มาแบ่งแยกให้เกิดปัญหา เพราะแท้จริงแล้วราษฎรกับขุนนางเพียงแค่มีหน้าที่ที่แตกต่างกันก็เท่านั้น”

“ทว่าตั้งแต่ที่ข้าเข้ามาในโลกของการเป็นอาจารย์สั่งสอนตำราให้แก่นักเรียนในอดีต พบว่าระหว่างขุนนางและราษฎรราวกับเกิดกำแพงมาขวางกั้น ราษฎรเกรงกลัวขุนนาง ขุนนางก็เอาแต่จะเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งโดยมิสนใจดูแลราษฎร”

“นี่คือความผิดมหันต์ และบัดนี้ฝ่าบาทได้ทลายกำแพงขวางกั้นระหว่างกันลงไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่าหนังสือพิมพ์…ข้าคิดว่ามันเป็นสิ่งวิเศษที่จะช่วยขจัดกำแพงนั้นออกไป ดังนั้นนี่ก็คือพระประสงค์ของฝ่าบาท เจ้าเจ็บช้ำแค่นี้จะไปเทียบกับผลอันยิ่งใหญ่ได้เยี่ยงไร ? ”

คำเอ่ยของผู้อาวุโสเหวินทำเอาเซียวยวี่โหลวเอ่ยอันใดมิออก

ถึงขั้นโดนคำเอ่ยของท่านอาจารย์เปลี่ยนแปลงความคิดไปโดยสิ้นเชิง… เรื่องที่เคยเห็นว่าร้ายกลับกลายเป็นดี พฤติกรรมเหลวแหลกของตนกลับส่งผลดีถึงเพียงนี้ เช่นนั้นแล้วเขามิเพียงมิถูกฝ่าบาทลงโทษเท่านั้น ทว่าอาจจะถูกฝ่าบาทยกย่องด้วยใช่หรือไม่ ?

ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เหวินสิงโจวก็ได้รินสุราให้แก่เขาพลางเอ่ยว่า “เยี่ยงไรเสีย…พวกเรามาดื่มด้วยกันสักจอกเถิด”

เซียวยวี่โหลวร่วมดื่มสุรากับเหวินสิงโจวอีกหนึ่งจอก จากนั้นก็จ้องมองไปที่ท่านอาจารย์ด้วยสายตาคาดหวัง

“ทว่า…เรื่องของเจ้าก็มีผลในแง่ลบเช่นเดียวกัน เพราะอาจจะทำให้เกิดความเสื่อมถอยด้านศีลธรรมได้”

เซียวยวี่โหลวผงะตกใจ “ท่านอาจารย์หมายความว่าเยี่ยงไรขอรับ ? ”

“เจ้าลองคิดดูเถิด… ตัวเจ้าเป็นถึงเสนาบดีและเป็นขุนนางขั้นสาม เจ้าควรเป็นแบบอย่างให้กับราษฎรในใต้หล้า แต่เจ้ากลับทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา แม้มิสำเร็จทว่าหากมีราษฎรเลียนแบบเจ้าขึ้นมา…ก็จะทำให้ศีลธรรมเกิดการผลิกผันใช่หรือไม่ ? หากเอ่ยตามจริง เรื่องของเจ้าเข้าข่ายผิดมาตราที่ 103 วรรคที่ 76 ตามประมวลกฎหมายอาญา…ว่าด้วยการกระทำความผิดโดยเจตนาซึ่งอาจจะทำให้เจ้าถูกลงโทษ ! ”

เมื่อเซียวยวี่โหลวได้ยินดังนั้นก็หน้าซีดเผือดขึ้นมาทันใด เหวินสิงโจวจึงตบบ่าของเขาเบา ๆ แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ทว่าเรื่องของเจ้าเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการประกาศใช้กฎหมายอาญา เจ้าจึงมิถูกลงโทษ”

ครานี้เซียวยวี่โหลวถึงได้สบายใจขึ้นมาเพราะหากถูกลงโทษตามกฎหมายอาญา เขาจะถูกจับเข้าคุกและต้องสูญเสียตำแหน่งเสนาบดีไป !

“ข้ามีความเห็นว่าเรื่องนี้กระทบถึงปัญหาด้านศีลธรรมของต้าเซี่ย ข้าจึงคิดว่าฝ่าบาทอาจจะยกเอาเรื่องนี้มาเป็นตัวอย่างด้านกฎหมายให้แก่ราษฎร เจ้าจงเตรียมใจรับมือให้ดี”

เซียวยวี่โหลวบังเกิดความวิตกขึ้นมาอีกครา “พระองค์ประสงค์จะเชือดไก่ให้ลิงดูเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”

“คงมิร้ายแรงเพียงนั้นหรอก อาจจะแค่ตักเตือนเพื่อมิให้ผู้คนทำผิดเยี่ยงเจ้าอีก”

มันก็มิได้แตกต่างกันมิใช่หรือ ?

เซียวยวี่โหลวเริ่มใจคอมิดี เอ่ยไปเอ่ยมา แท้ที่จริงเรื่องเสียหายในครานั้นชาวเมืองกวนหยุนเกือบจะลืมเลือนอยู่แล้วเชียว ทว่าบัดนี้ถูกเจ้าสองพี่น้องนั่นรื้อฟื้นขึ้นมาจึงทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เยี่ยงนี้

“สิ่งที่ข้าหมายถึงก็คือฝ่าบาทอาจจะลงโทษเจ้า… คาดว่าจะเป็นการริบเงินเบี้ยหวัดครึ่งปี หลังจากนั้นพระองค์ก็อาจจะลงประกาศในหนังสือพิมพ์ต้าเซี่ยรายสัปดาห์สักฉบับหนึ่งเพื่อให้ราษฎรเข้าใจว่านี่คือการกระทำผิดกฎหมายโดยมีเรื่องของเจ้าเป็นแบบอย่าง”

ถึงเยี่ยงไรก็จะใช้ข้าเป็นเป้าให้ได้ใช่หรือไม่ ?

“มา ๆ ๆ ยวี่โหลว…มาทานอาหารกันเถิด”

“ท่านอาจารย์ หากฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ศิษย์ก็เสื่อมเสียชื่อเสียงสิขอรับ ! ”

“ยวี่โหลว… ขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และบุ๋นไปเที่ยวหอนางโลมมิใช่เรื่องแปลกจึงมิถือเป็นความผิด ทว่าในกรณีของเจ้ามิเหมือนกัน ผู้อื่นไปหอนางโลมก็เพื่อดื่มสุราและฟังเสียงบรรเลง หรือต่อให้มีเรื่องอย่างว่าก็ต้องได้รับความยินยอมจากฝ่ายหญิงเสียก่อน”

เหวินสิงโจวจ้องมองเซียวยวี่โหลวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ค่ำมืดเยี่ยงนี้บุตรชายทั้งสองยังมิกล้าออกมาทานข้าวทานปลา เจ้าควรรีบทานแล้วก็รีบกลับไปถึงจะถูกมิใช่หรือ ?

“ยวี่โหลว…เจ้าอับจนหนทางถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? เจ้าเป็นถึงเสนาบดีของกรมพิธีการ เจ้าคือผู้ที่เข้าใจธรรมเนียมปฏิบัติเป็นอย่างดี เหตุใดถึงดื่มสุราจนเมามายแล้วทำเรื่องแบบนั้นออกมาได้กัน ? ”

“บัดนี้เป็นช่วงขาขึ้นของเจ้า ยามเจ้าต้องการถอดกางเกงกระทำชำเรา เหตุใดถึงมินึกถึงชื่อเสียงของตนให้มาก ? เรื่องนี้ฝ่าบาทคงแค่ตักเตือน ทว่าต่อไปอย่าทำผิดอีกเป็นอันขาด อีกอย่าง…เจ้าควรกลับไปได้แล้ว อย่ามีเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีกเพราะหากตกเป็นข่าวคราที่สองก็จะกู้ชื่อเสียงคืนกลับมามิได้แล้ว”

เขาก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกละอายใจ “ศิษย์สำนึกผิดแล้วขอรับ”

“มนุษย์มิใช่เทพเทวดา ผู้ใดบ้างมิเคยทำผิด ทว่าเมื่อทำผิดแล้วรู้จักปรับปรุงตนเองก็ถือเป็นเรื่องน่ายกย่อง เอาล่ะ ! เจ้ากลับไปเถิด”

“ศิษย์มิกล้ากลับไปขอรับ ! ”

“กลัวอันใดกัน ? ”

“กลัวเมียจะทุบตีจนตายขอรับ ! ”

“มิต้องกลัวไปหรอก หากเจ้าโดนตีจนตาย ฮูหยินของเจ้าก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต”

เซียวหยี่โหลวเงยหน้าขึ้น จ้องมองสีหน้าที่น่าเกรงขามของอาจารย์ พลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เท่ากับว่าต้องตายทั้งสองคนเชียวหรือ ?

ทันใดนั้นคนเฝ้าประตูก็ได้พาเซียวฉางชิวเดินเข้ามา

“ท่านพ่อขอรับ ท่านแม่เรียกกลับไปทานข้าว ! ”

“ข้าจะทานกับอาจารย์ของข้าที่นี่ ! ”

เหวินสิงโจวเก็บถ้วยและตะเกียบของเซียวยวี่โหลวกลับคืนมา

เซียวยวี่โหลวตกตะลึงขึ้นมาทันใด “ท่านอาจารย์… ? ? ? ”

“เจ้ากลับไปทานที่จวนเถิด ! ”

วันนี้เหวินสิงโจวซื้อเนื้อหมูมา 2 ชั่ง เขาใช้เงินไปตั้ง 20 อีแปะ… เหวินสิงโจวจึงรู้สึกหวงแหนเนื้อหมูของตนมากยิ่งนัก