ตอนที่ 1006 ข้าจะไปพังเรือนตระกูลเหวิน !

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1006 ข้าจะไปพังเรือนตระกูลเหวิน !

ยามพลบค่ำและได้เวลาเลิกงานแล้ว

เซียวยวี่โหลวเสนาบดีกรมพิธีการนั่งรถม้ากลับไปยังจวนของตนด้วยสีหน้าเบิกบาน

เนื่องจากเขาได้รับมอบหมายให้จัดการเรื่องบรรดาแคว้นเล็กแคว้นน้อยที่จะเข้ามาถวายความเคารพต่อฝ่าบาทในเร็ววันนี้

นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง !

ประเทศต้าเซี่ยมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลและมีประชากรหลายร้อยล้านคน นี่เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของฝ่าบาทแล้วการที่บรรดาแคว้นเล็กเหล่านั้นมาเข้าเฝ้าพระองค์ในครานี้ ก็เพราะศักดิ์ศรีความยิ่งใหญ่ของต้าเซี่ยภายใต้ร่มพระบารมีของฝ่าบาท

ในฐานะของขุนนางและราษฎรคนหนึ่ง เขาย่อมรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง… นี่เป็นยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์นับพันปี ดังนั้นเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้มิอาจทำผิดพลาดได้แม้แต่น้อย ต้องจัดงานให้ยิ่งใหญ่อลังการจนบรรดาแคว้นเหล่านั้นได้รู้ซึ้งถึงความรุ่งเรืองของต้าเซี่ยและความยิ่งใหญ่ของฝ่าบาท

วันนี้เรื่องของงานส่วนต้อนรับได้เตรียมการใกล้เสร็จแล้ว พรุ่งนี้ค่อยตรวจสอบอีกครา คาดว่ามิน่าจะมีปัญหาใหญ่ใด เพียงแต่ว่าเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ของพวกเราจะประทานสิ่งใดให้แก่แคว้นเหล่านั้นกัน…เรื่องนี้ยังมิได้ข้อสรุปที่แน่ชัด

เซียวยวี่โหยวคิดว่าต้าเซี่ยคือเมืองพี่ ส่วนบรรดาแคว้นเล็กเหล่านั้นเป็นเมืองน้อง แน่นอนว่าผู้เป็นพี่ใหญ่มิควรตระหนี่ถี่เหนียวในการประทานสิ่งของให้แก่น้อง

และสิ่งของที่จะมอบให้แคว้นเหล่านั้น กรมพิธีการได้วางแผนว่าต้องเป็นสิ่งล้ำค่าเพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศต้าเซี่ยซึ่งไร้ผู้ใดเทียบเคียง

ทว่าแผนการนี้ถูกโต้แย้งจากทั้งสามสำนัก…ท่านใต้เท้าเมิ่งเสนาบดีฝ่ายบริหารให้การสนับสนุน ทว่าหนานกงอี้หยู่จากสำนักตรวจสอบพระราชโองการคัดค้านเพราะเห็นว่าในเมื่ออีกฝ่ายมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท ตามหลักแล้วก็ควรเป็นฝ่ายนำเครื่องบรรณาการมาถวายเสียมากกว่า ส่วนเรื่องประทานสิ่งของให้นั้น…เป็นเรื่องเล็กน้อยมิจำเป็นต้องทำก็ได้

เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองท่านต่างก็มีความเห็นของตน ส่วนท่านราชเลขาจัวอี้สิงได้กลับไปยังเมืองไท่หลินแล้ว เรื่องนี้จึงหมดปัญญาหาข้อสรุป จนท้ายที่สุดเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองท่านก็ได้ลงความเห็นกันว่าจะทูลเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท เพื่อให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เอง

ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเซียวยวี่โหลวก็ได้กลับมาถึงประตูจวน เขาเพิ่งย่างเท้าผ่านประตูได้เพียงมิกี่ก้าว ทันใดนั้นก็เห็นเซียวฉางชิวผู้เป็นบุตรชายวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนพร้อมกับของบางอย่างในมือ

“ท่านพ่อ โปรดหยุดก่อนขอรับ ! ”

สีหน้าเบิกบานของเซียวยวี่โหลวหุบลงทันใด จากนั้นก็หันไปมองบุตรชายที่ทะเล่อทะล่าเข้ามา “มีเรื่องใดให้ต้องลุกลี้ลุกลนถึงเพียงนี้กัน ? ปกติพ่อสั่งสอนเจ้าเยี่ยงไร ? พ่อบอกอยู่เสมอว่าเป็นลูกผู้ชายหากเจอเรื่องอันใดใจต้องนิ่ง ตอนที่ฝ่าบาททรงเผชิญกับข้าศึกจากสามแคว้นในอดีต พระพักตร์ของพระองค์แน่วนิ่งมิหวั่นเกรง ช่างดูทรงพลังถึงขั้นสามารถกลืนกินภูเขาและแม่น้ำได้เลยด้วยซ้ำ ! ”

“เจ้าเคยเห็นท่านเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามสำนักทำตัวลุกลี้ลุกลนเยี่ยงเจ้าบ้างหรือไม่ ? ในปีที่ไทเฮาซีแย่งชิงอำนาจ ท่านอัครเสนาบดีทั้งสองล้วนเผชิญหน้ากับภยันตรายในพระราชวังจินเตี้ยนโดยมิหวาดหวั่นสะทกสะท้านเลยสักนิด ลูกเอ๋ย…เจ้าก็อายุยี่สิบกว่าปีเข้าไปแล้ว เจ้าต้องสุขุมให้มากกว่านี้ ! ”

“เอาล่ะ…จงเอ่ยมาว่ามีเรื่องอันใด ? ”

เซียวฉางชิวกลืนน้ำลายหนึ่งอึก พลันนึกถึงสิ่งที่จะเอ่ยออกมาเมื่อครู่ “ท่านพ่อ อีกประเดี๋ยวหากท่านเข้าไปในห้องโถงใหญ่แล้วยังสามารถมีท่าทีสุขุมได้อยู่…ลูกจะนับถือท่านอย่างสุดซึ้งเลยขอรับ ! ”

เซียวยวี่โหลวขมวดคิ้วเป็นปมแน่น “นี่มันเรื่องอันใดกันแน่ ? ! ”

เซียวฉางชิวยื่นหนังสือพิมพ์ในมือให้เขา “ก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใดหรอกขอรับ เพียงแค่ในหนังสือพิมพ์นี้มีเรื่องฉาวโฉ่ของท่านและวันนี้…ผู้คนก็รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วขอรับ ! ”

เซียวยวี่โหลวตื่นตกใจขึ้นมาทันใด เขาย่อมรู้จักหนังสือพิมพ์และได้ยินมาว่าได้บุตรชายของตระกูลเหวินเข้ามาดูแล เอ่ยกันว่ามีไว้เพื่อประกาศนโยบายต่าง ๆ ของประเทศ ทว่าช่วงนี้เขายุ่งอยู่กับการเตรียมงานต้อนรับบรรดาแคว้นรอบข้างจึงมิมีโอกาสได้อ่านสักที

แต่การประกาศนโยบายของประเทศ จะหาเรื่องมาใส่ศีรษะข้าได้เยี่ยงไร ?

เซียวยวี่โหลวมีลางสังหรณ์ว่าต้องมิใช่เรื่องดี แม้ว่าการที่ปัญญาชนกับเหล่าผู้สูงศักดิ์ไปเที่ยวหอนางโลมจะมิใช่ความผิดมหันต์เกินรับไหวและการนอนค้างอ้างแรมกับบรรดาสาวงามก็ถือเป็นเรื่องปกติ

เมื่อเขากางหนังสือพิมพ์ออก ดวงตาคู่นั้นก็พลันเบิกโพลงขึ้นมาทันใด ‘ตะลึง ! เสนาบดีเซียวย่องเงียบเที่ยวหอนางโลมทำเรื่องผิดศีลธรรม สาวบริสุทธิ์ขัดขืนสุดกำลังมิสมยอม ! นี่คือการใช้อำนาจข่มเหงหรือเพียงปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศเท่านั้น ? ’

บัดซบ !

เขาอ้าปากค้างแล้วอ่านเนื้อความของข่าวต่อไป

“…ลือกันว่าใต้เท้าเซียวรังเกียจความโรยราของฮูหยินและอนุภรรยาที่จวน จึงฉวยโอกาสตอนเมามายวางแผนจะเคี้ยวหญ้าอ่อน ! แม่นางเมิ่งซีผู้รักนวลสงวนตัวจะยอมให้วัวเฒ่าลวนลามได้เยี่ยงไร”

“เมิ่งซีมิได้ดีดเครื่องสายต่อ เพราะนางหันมาต่อต้านการคุกคามของตาเฒ่าอย่างสุดกำลัง ทว่าไฟราคะอันรุ่มร้อนของเสนาบดีเซียวได้โหมใส่นางจนมิอาจต้านทานได้ ! ”

“แม่นางเมิ่งซีพลิกโต๊ะสุราท่ามกลางความโกลาหลนี้ ทำให้ใต้เท้าเซียวโกรธจนตาแดงก่ำ แล้วเข้าไปฉีกอาภรณ์ของแม่นางเมิ่งซีจนขาดรุ่ย”

“แม่นางเมิ่งซีหน้าซีดเผือดพร้อมส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญ เสนาบดีเซียวมีสีหน้าเจ้าเล่ห์พลางกระชากตัวแม่นางเมิ่งซีเข้ามาไว้ในอ้อมกอด เขากระทำรุนแรงต่อนางอย่างมิใยดี”

“จังหวะนั้นเว่ยซานเหนียงหลงจู๊แห่งหอหลิวหยุนได้ถีบประตูห้องเข้ามาชนิดใจหายใจคว่ำ ทำเอาเสนาบดีเซียวขวัญกระเจิง แม่นางเมิ่งซีจึงฉวยโอกาสนี้หลบหนีไปด้วยใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา ช่างน่าเวทนาจับใจ…”

“ท้ายที่สุดเสนาบดีเซียวก็ทำมิสำเร็จ…เขาหลบหนีกลับจวนไปอย่างพ่ายแพ้ เรื่องนี้มิรู้ว่าฮูหยินของเขาทราบได้เยี่ยงไร เสนาบดีเซียวเด็ดดอกไม้ริมทางมิสำเร็จซ้ำยังต้องเผชิญหน้ากับท่อนไม้ของฮูหยิน ทั้งยังถูกไล่ตะเพิดจนต้องไปอาศัยอยู่ห้องอนุภรรยานานแรมเดือน…”

เขียนได้มิเลวนี่ !

ช่างดูสมจริงราวกับอยู่ในเหตุการณ์จริง ๆ !

หากมิได้เขียนถึงตน เซียวยวี่โหลวคงคิดว่าข่าวนี้น่าสนใจมากยิ่งนัก ทว่าเรื่องที่เขียนดันเป็นเรื่องของตนนี่สิ !

เรื่องบ้า ๆ นั้นกว่าจะผ่านไปได้ทำเอาชีวิตแทบมอดม้วย ทว่าวันนี้ก็ได้หวนกลับมาเล่นงานตนอีกจนได้ สีหน้าของเซียวยวี่โหลวมืดครึ้มขึ้นมาทันใด “แม่ของเจ้า…ได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนี้แล้วหรือยัง ? ”

เซียวฉางชิวเบ้ปากตอบ “ท่านพ่อ ยามเผชิญปัญหาท่านต้องนิ่งเข้าไว้ ท่านแม่ถือไม้กระบองขนาดใหญ่ รอท่านอยู่ในห้องโถงแล้วขอรับ”

เซียวยวี่โหลวเริ่มใจคอมิดี หลังจากนั้นก็เห็นสตรีนางหนึ่งเดินออกมาจากประตูจันทราด้วยสีหน้าอำมหิต

สตรีนางนั้นก็คือฮูหยินของเขานั่นเอง ในมือของนางถือไม้กระบองขนาดใหญ่ ดวงตากลมโตทั้งสองข้าง บัดนี้เต็มไปด้วยไฟโทสะ “เซียวยวี่โหลว แก่แล้วยังหน้ามิอายอีก รับไม้กระบองของข้าไปกินเสีย ! ”

เซียวยวี่โหลวไหวตัวทันจึงก้าวขาวิ่งหนีได้อย่างฉิวเฉียด “ตาเฒ่าเหวิน ลูกชายของเจ้าทั้งสองทำงามหน้านัก ข้าจะไปพังจวนตระกูลเหวิน คอยดูเถิด ! ”

เซียวฉางชิววิ่งตามไปติด ๆ จากนั้นก็แผดเสียงตะโกนตามหลัง “ท่านพ่อ เวลามีปัญหาอย่าลุกลี้ลุกลนสิขอรับ ท่านต้องสุขุมเยือกเย็น ! ”

หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปคว้าตัวมารดาเอาไว้ด้วยสีหน้าอับจนหนทาง “ท่านแม่… ที่ท่านพ่อไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยก็เพราะถูกท่านขู่ให้กลัวเช่นนี้เยี่ยงไรเล่าขอรับ”

“ตาเฒ่านั่น ฮึ่ย ! แล้วเจ้าจะให้แม่ทำเยี่ยงไร ? ” เฉินหลินฮุ่ยโกรธจนร่างกายสั่นเทิ้ม “แม่แต่งงานเข้ามาที่จวนเซียวและทำงานบ้านงานเรือนมิบกพร่อง พร่ำขู่เข็ญตาเฒ่าให้ก้าวหน้าจากขุนนางระดับหกไต่เต้ามาจนมีวันนี้ได้”

“ตอนนี้ทุกสิ่งก็ดีขึ้นแล้ว มันได้เป็นเสนาบดีเป็นขุนนางระดับสาม พอเริ่มได้ดีก็ริอาจมารังเกียจแม่ที่ร่างกายโรยรา ! ”

“อย่ารั้งแม่ไว้เลย แม่มิได้แยแสต่อตำแหน่งเสนาบดีอันใดนั่นหรอก แม่จะไปหักขามันทั้งสองข้างแล้วให้มันนอนติดเตียงไปชั่วชีวิต ให้แม่ดูแลมันจนตายเสียยังดีกว่า ! ”

เซียวฉางชิวหมดหนทางโน้มน้าวเต็มทน เรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด ทว่าสำหรับท่านแม่แล้ว มันคือเรื่องใหญ่เทียมฟ้าเลยทีเดียว

“ท่านแม่…สิ่งที่ท่านพ่อทำมิได้เรียกว่ามีบ้านเล็กบ้านน้อยเพราะนางมิยอมให้ท่านพ่อเลี้ยงดูสักหน่อยนี่ขอรับ”

“แล้วเรียกว่าอันใดเล่า ? ”

“นี่มัน…คืออาการเมาแล้วควบคุมตนเองมิได้ ตอนนั้นท่านพ่อคงหุนหันพลันแล่น บัดนี้ท่านก็สงบเสงี่ยมขึ้นมากแล้วมิใช่หรือขอรับ ? เหตุใดท่านแม่ต้องโมโหถึงเพียงนั้นด้วยเล่า ? ท่านแม่…หากท่านยังบีบบังคับเช่นนี้ต่อไป ท่านพ่อก็ยิ่งอยากมีบ้านเล็กบ้านน้อย และเมื่อถึงตอนนั้นท่านแม่ก็คงมิมีทางล่วงรู้”

เฉินหลินฮุ่ยผงะจนอ้าปากค้าง จากนั้นกระบองในมือก็ร่วงกระทบพื้นดัง ตุ้บ ! นางหันไปมองประตูจวนที่ว่างเปล่า จากนั้นก็กัดฟันแล้วเอ่ยว่า “ผู้ชายมิมีอันใดดีสักอย่าง ! ”

เซียวฉางชิวกลอกตาไปมาอย่างเอือมระอา

“เจ้าจะยืนทื่อเนื่องด้วยเหตุอันใดกันเล่า ? ยังมิรีบไปตามพ่อเจ้ากลับมาอีก ! ”