บทที่ 1444 : ศัตรูโดยธรรมชาติ
“หลิงยู่..สาวงามตรงหน้าเจ้าเวลานี้คือธิดาพรรคมารเย่ซิงเฉินที่ข้าเคยเล่าให้ฟังอย่างไรเล่า”
ฉินตงเฉวี่ยเป็นฝ่ายนำพาให้หญิงสาวทั้งสองได้มารู้จักกัน“ไม่ว่าจะเป็นงานชุมนุมชาวยุทธ หรือแม้กระทั่งมาช่วยแม่ของเจ้าที่นี่ นางก็ได้อยู่เคียงข้างและร่วมต่อสู้กับพี่ชายของเจ้ามาโดยตลอด..”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบุกมาสำนักกระบี่เทียนซานในครั้งนี้นางนับว่าเป็นกำลังสำคัญของพี่ชายเจ้าได้มากเลยทีเดียว..”
“เอ่อ..”
แต่แล้วจู่ๆฉินตงเฉวี่ยก็เริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศโดยรอบเริ่มผิดแปลกไป นางจึงได้แต่พูดติดขัดขึ้นมาเช่นนั้น..
เวลานี้ทั้งหนิงหลิงยู่และเย่ซิงเฉินต่างก็ยืนเผชิญหน้ากันอยู่เช่นนั้นทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่ถึงสามฟุต และดวงตาทั้งสองคู่ก็ผสานกันนิ่งอยู่เช่นนั้น..
แต่น่าแปลกที่หญิงสาวผู้เฉลียวฉลาดทั้งคู่กลับยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น มิมีผู้ใดยอมที่จะกล่าวทักทายอีกฝ่ายก่อนเลย..
เวลานี้..สายตาของหนิงหลิงยู่และเย่ซิงเฉินมีเพียงกันและกันเท่านั้น หาได้ใส่ใจผู้คนรอบข้างไม่ ทั้งสองยังคงยืนจ้องมองกันแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น ราวกับว่าต่างก็กำลังอ่านจิตใจและความนึกคิดของอีกฝ่ายอยู่!
ในขณะเดียวกันนั้นเอง..คิ้วของหญิงสาวทั้งคู่ต่างก็ขมวดเข้าหากัน
เวลานี้ดูเหมือนหญิงสาวทั้งสองต่างก็กำลังปลดปล่อยพลังปราณออกจากร่างทั้งเสื้อผ้า และผมยาวของทั้งคู่ต่างก็ปลิวไสวไปทางด้านหลัง
เย่ซิงเฉินอยู่ในชุดสีดำทะมึนในขณะที่หนิงหลิงยู่ในชุดขาวสะอาดสะอ้าน..
คนผู้หนึ่งมีกายดาราส่วนอีกผู้หนึ่งมีกายอัปสร ซึ่งล้วนเป็นกายล้ำเลิศที่หาได้ยากยิ่งนัก ในรอบหลายหมื่นปีจึงจักปรากฏขึ้นสักครั้ง
ในการพบกันครั้งแรกของหญิงสาวทั้งคู่ท่ามกลางเหตุการณ์เช่นนี้ ทั้งสองคนควรจักต้องรักใคร่กลมเกลียวดั่งพี่สาวน้องสาวมิใช่หรือ แต่เหตุใดจึงแสดงความรู้สึกต่อต้านกันออกมาเช่นนี้เล่า..
และดูเหมือนการต่อต้านของหญิงสาวทั้งคู่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ!
หลิงหยุนถึงกับขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีและมิได้ทันสังเกตเห็นว่าผู้ใดกันที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน..
พวกนางควรต้องรักใคร่กลมเกลียวดั่งพี่น้องมิใช่หรือเหตุใดจึงกลับกลายเป็นศัตรูกันเช่นนี้เล่า
หลิงหยุนรู้สึกได้ว่า..หากเขามิได้อยู่ตรงนี้ด้วย แน่นอนว่าทั้งเย่ซิงเฉินและหนิงหลิงยู่ คงยากที่จะเลี่ยงการประมือกันได้! นี่มันเกิดอะไรขึ้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หญิงสาวทั้งสองล้วนแล้วแต่เป็นสาวงามที่หาได้ยากยิ่งแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็หาได้มีผู้ใดกล้าเข้าไปขวางกลางไม่ และก่อนที่อารมณ์ของทั้งคู่จะพุ่งขึ้นสู่จุดที่สูงกว่านี้ หลิงหยุนจึงรีบร้องตะโกนบอกพวกนางทั้งคู่ทันที
“นี่พวกเจ้าสองคน..ต่างคนต่างถอยออกไปได้แล้ว!”
แต่ก็สายเกินไปแล้ว..
ปัง!!
บนยอดเขาเทียนเฟิงเวลานี้นอกเหนือจากหลิงหยุน ก็มิมีผู้ใดแข็งแกร่งเกินกว่าหญิงสาวทั้งสองคนอีกแล้ว แม้แต่ไป๋เซียนเอ๋อซึ่งงอกหางที่สี่แล้ว ยังมิกล้าเข้าห้ามปราณเมื่อพวกนางทั้งสองตรงเข้าฟาดฟันใส่กัน..
ทั้งคนตระกูลฉินและคนตระกูลหนิงต่างก็สัมผัสได้พึงพลังปราณที่รุนแรงและน่ากลัวของหญิงสาวทั้งสอง พวกเขาต่างก็รู้ตัวว่ามิอาจขัดขวางห้ามปรามได้ จึงได้แต่ถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
“นี่พวกเจ้าบ้าไปแล้วรึ!”
หลิงหยุนร้องตะโกนออกมาเสียงดังเขาใช้วิชาใต้พิภพสร้างกำแพงหินขนาดใหญ่ขึ้นล้อมรอบร่างของตี๋เสี่ยวเจินไว้อย่างรวดเร็ว นางยังมิได้ชำระหนี้เลือดอย่างสาสม หลิงหยุนจึงมิต้องการให้นางได้รับผลกระทบจากการประมือระหว่างหญิงสาวทั้งสองไปด้วย
หนิงหลิงยู่และเย่ซิงเฉินยังคงประมือกันอย่างดุเดือดสีหน้าแววตาของทั้งคู่ต่างก็เต็มไปด้วยความดุดันอย่างมาก!
ทางด้านหนิงหลิงยู่ซึ่งมีกายอัปสรนั้นหลังจากพลังปราณพวยพุ่งออกนอกร่างแล้ว พลันเปลี่ยนเป็นดอกบัวสีทองแปดสิบเอ็ดดอก และกำลังหมุนอยู่รอบตัวของนางอย่างรวดเร็ว ร่างงดงามนั้นทะยานขึ้นสู่ท้องนภา ใต้ฝ่าเท้าปรากฏกลุ่มควันสีม่วงพวยพุ่งออกมา ซึ่งก็คือพลังอมตะสีม่วงนั่นเอง!
ส่วนเย่ซิงเฉินนั้นก็ดูเหมือนจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เช่นกันพายุหมุนดวงดาวปรากฏขึ้นและกำลังหมุนวนอยู่รอบตัวนางอย่างรวดเร็ว ในขณะที่กลุ่มดาวภายในจุดซือไห่กลางหน้าผากก็เริ่มหมุนอย่างรวดเร็วเช่นกัน แล้วดวงดาวทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดดวงก็เริ่มทอประกายสุกสว่าง และพุ่งออกมาด้านนอก กลายเป็นกลุ่มดาวเคราะห์ขนาดเท่าลูกบาสเก็ตบอลที่ประกอบไปด้วยหลากหลายสีสรร ก่อนจะเข้าไปหมุนวนอยู่ภายในพายุหมุนดวงดาวเช่นกัน!
เวลานี้หญิงสาวทั้งสองคนอยู่ใกล้กันยิ่งนัก!
ดอกบัวสีทองทั้งแปดสิบเอ็ดดอกและกลุ่มดาวเคราะห์ทั้งหนึ่งร้อยแปดดวง ต่างก็กำลังหมุนวนอยู่อย่างรวดเร็ว และมีกระทบกันบ้างเป็นครั้งราว หลังจากแตกระเบิดออกจากกัน ก็กลับมารวมกันได้ใหม่อีกครั้ง..
แต่น่าแปลกที่หญิงสาวทั้งสองเผชิญหน้ากันอยู่เช่นนี้แต่กลับมิมีผู้ใดกล่าววาจาอันใดออกมาเลยแม้แต่คำเดียว!
ในที่สุดหลิงหยุนก็เรียกกระบี่โลหิตเทวะออกมา..
มือของเขาถือกระบี่สีแดงเล่มใหญ่ไว้คิ้วขมวดเข้าหากัน ในขณะเดียวกันก็จ้องมองหนิงหลิงยู่ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมือ แล้วจึงหันไปมองเย่ซิงเฉินซึ่งอยู่ทางขวามมือ กระบี่ในมือถูกยกขึ้นอยู่นับสิบครั้ง แต่ก็มิอาจตัดสินใจลงมือกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้..
เพราะไม่ว่าจะเป็นหน้ามือหรือหลังมือก็ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของมือทั้งสิ้น ดังคำพูดที่ว่าหยิกเล็บเจ็บเนื้อ..
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลิงหยุนจึงเปลี่ยนมาสังเกตหนิงหลิงยู่แทน เขาทำการเผาเสินหยวนของตนเองทันที และเริ่มสังเกตหนิงหลิงยู่อย่างใกล้ชิด..
เวลานี้ร่างของหนิงหลิงยู่ได้อยู่ในสายตาของหลิงหยุนอย่างชัดเจน..
ดอกบัวสีทองและดวงดาวสุกสว่างปะทะเข้าใส่กันอย่างรุนแรงทั้งดอกบัวสีทองและดวงดาวสุกใสล้วนควบคุมด้วยพลังจิตของหญิงสาวทั้งคู่ แต่เมื่อชนกันอย่างรุนแรงเช่นนั้น ร่างงดงามบอบบางทั้งสองร่างก็ถึงกับสั่นสะท้านด้วยกันทั้งคู่
เห็นได้ชัดว่าต่างฝ่ายต่างก็มิมีผู้ใดยอมอ่อนข้อให้กันและกันทั้งคู่ดูเหมือนจะมิได้สนใจคนอื่นที่อยู่รอบตัว และทำราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้ที่ตนจักต้อง.. สังหารให้จงได้!
แม้หนิงหลิงยู่จะอยู่ในขั้นลิ่วเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-6) ซึ่งเหนือกว่าเย่ซิงเฉินเล็กน้อย แต่นางก็หาได้มีประสบการณ์และทักษะในการต่อสู้มากมายเท่าเย่ซิงเฉิน ซึ่งผ่านการสังหารผู้คนมานับครั้งไม่ถ้วน..
แม้แต่หลิงหยุนเองก็คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวทั้งสองคนจะคลุ้มคลั่งได้ถึงเพียงนี้!
เขาเฝ้าครุ่นคิดจนหัวแทบระเบิดแต่ก็มิอาจหาสาเหตุของความบาดหมางในครั้งนี้ได้ แม้เวลานี้จะมิใช่เวลาที่จะมานั่งครุ่นคิดหาเหตุผลก็ตาม แต่หลิงหยุนก็ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆว่า เพราะเหตุใดหนิงหลิงยู่ที่เพิ่งมาถึง และเย่ซิงเฉินซึ่งเพิ่งจะได้พบกับนางครั้งแรก ทั้งสองคนยังมิได้สนทนากันแม้แต่คำเดียว แต่แล้วก็ตรงเข้าห้ำหั่นกันเช่นนี้!
อีกทั้งเวลานี้..ก็อยู่ต่อหน้าห้องเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของหนิงเทียนหยา หากทั้งสองคนประมือกันอย่างสุดกำลังของตนขึ้นมาจริงๆ หลิงหยุนเองก็มิอาจมั่นใจได้ว่า ห้องเซ่นไหว้นั้นจะพังทลายลงไปด้วยหรือไม่
แต่นั่นยังหาใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่ไม่..สิ่งสำคัญที่สุดคือผู้คนที่อยู่รอบข้างในเวลานี้ ซึ่งมีทั้งหลิงหยุน ฉินจิวยื่อ ฉินตงเฉวี่ย ตัวแทนจากตระกูลฉิน และตัวแทนจากตระกูลหนิง…
แต่หญิงสาวทั้งสองกลับมิเห็นแก่หน้าของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย..
“หากพวกเจ้าสองคนยังไม่หยุดข้าจะลงมือแล้วนะ!”
หลิงหยุนใช้มังกรคำรามร้องตะโกนออกไปอีกครั้ง!
แต่ดูเหมือนหญิงสาวทั้งสองจะแสร้งทำเป็นหูหนวกมิได้ยินและยังคงต่อสู้กันมิยอมหยุด.. “พวกเจ้าสองคนไม่เชื่อฟังคำพูดของข้างั้นรึ!ได้!!”
หลิงหยุนจ้องมองหญิงสาวทั้งสองด้วยความเดือดดาลยิ่งและในที่สุดเลือดในกายของเขาก็พลุ่งพล่านด้วยความโมโห หลิงหยุนถือกระบี่สีแดงในมือชี้ขึ้นฟ้า ร่างของเขาอยู่ตรงกลางระหว่างหญิงสาวทั้งสองพอดี จากนั้นจึงถือกระบี่พุ่งทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว..
รัศมีของกระบี่สีแดงที่พุ่งออกไปเป็นทางยาวราวกับสายรุ้งนั้นได้แทรกกลางระหว่างร่างของหญิงสาวทั้งสอง และแยกพวกนางออกจากกันในทันที
หนิงหลิงยู่และเย่ซิงเฉินต่างก็ถอนหายใจด้วยความเสียดายแล้วร่างของทั้งสองต่างก็เหาะถอยหลังแยกออกจากกันไปราวหนึ่งกิโลเมตร
ร่างขาวและดำยังคงเหาะอยู่บนท้องนภาพลังปราณที่พวยพุ่งออกจากร่าง ได้พัดพาให้ชุดกระโปรงและผมยาวสลวยของพวกนางปลิวไสวงดงามราวกับเทพธิดา.. เวลานี้ร่างของหลิงหยุนเหาะพุ่งไปอยู่ตรงกลางระหว่างหญิงสาวทั้งสองในขณะเดียวกันก็เรียกหอกมังกรทองและกระบี่กังฉีออกมาเตรียมพร้อม..
“นี่พวกเจ้าสองคนบ้าไปแล้วหรืออย่างไร!”
หลิงหยุนร้องตะโกนออกไปด้วยความเดือดดาล“ข้าไม่สนใจว่าเหตุใดจู่ๆพวกเจ้าสองคนจึงคลุ้มคลั่งขึ้นมาเช่นนี้ แต่หากยังมีผู้ใดกล้าลงมืออีกแล้วล่ะก็.. ข้าจะจัดการกับคนผู้นั้นทันที!”
ในเมื่อยังหาสาเหตุของความบาดหมางในครั้งนี้ไม่ได้หลิงหยุนจำต้องตัดสินใจทำเช่นนี้!
“พี่ซิงเฉิน..วรยุทธบ่มเพาะของพี่ช่างล้ำเลิศยิ่งนัก!” หนิงหลิงยู่กล่าวกับเย่ซิงเฉินเสียงเบา ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์โกรธเกรี้ยว
“น้องหลิงยู่..ของขวัญจากสวรรค์ของเจ้าก็น่าอัศจรรย์ยิ่งเช่นกัน!” เย่ซิงเฉินเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน หลังจากนั้นหญิงสาวทั้งสองก็เหาะตรงไปหาหลิงหยุนพร้อมกันทันที..
“พวกเจ้าสองคนเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร”หลิงหยุนยังคงร้องตะโกนออกไปด้วยความโมโห
“ไม่มีอะไรนี่..พวกเราสองคนก็แค่ประมือเรียนรู้กันเท่านั้น!”
หนิงหลิงยู่และเย่ซิงเฉินต่างก็ร้องตอบหลิงหยุนพร้อมๆกันด้วยสีหน้าเป็นปกติ..
“…”หลิงหยุนได้แต่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก
หญิงสาวที่เฉลียวฉลาดสองคนพบหน้ากันยังมิทันได้พูดจา ก็ลงมือประลองแลกเปลี่ยนวรยุทธกันแล้วรึ
นี่มิใช่คำโกหกของเด็กสามขวบหรอกรึ!
“ข้าบอกพวกเจ้าสองคนไว้เลย..เรื่องนี้ยังไม่จบเพียงแค่นี้แน่!”
หลิงหยุนเก็บกระบี่โลหิตเทวะกลับเข้าไปพร้อมกับร้องตะโกนออไปว่า“พวกเจ้าสองคนตามข้ามา!” หลิงหยุนเหาะนำหญิงสาวทั้งสองคนลงมาด้านล่าง..
“ท่านแม่..พวกนางหายคลุ้มคลั่งแล้ว ท่านแม่อย่าได้ตกใจไป..” หลิงหยุนเหาะลงไปยืนข้างฉินจิวยื่อพร้อมกับกระซิบบอกเสียงเบา
“ไม่มีอะไรแล้วสินะ..”
ดวงตาเศร้าโศกของฉินจิวยื่อจ้องมองหลิงหยุนก่อนจะหันไปสั่งหนิงหลิงยู่ที่เพิ่งเหาะตามลงมา “หลิงยู่ เจ้าขออภัยแม่นางซิงเฉินเดี๋ยวนี้!”
หนิงหลิงยู่หันไปทางเย่ซิงเฉินพร้อมกับทำตามคำสั่งของฉินจิวยื่ออย่างว่าง่าย“พี่ซิงเฉิน.. ข้าขอ..”
“ไม่จำเป็น..”
เย่ซิงเฉินรีบส่ายหน้าพร้อมกับร้องห้ามหนิงหลิงยู่ทันทีจากนั้นนางจึงหันไปพูดกับฉินจิวยื่อว่า “ท่านป้าฉิน อภัยที่ข้าทำให้ท่านตกใจ!” ทั้งสามสี่คนกระซิบกระซาบกันเบาๆไม่กี่คำเมฆหมอกมืดดำเมื่อครู่พลันมลายหายไป ราวกับว่ามิมีสิ่งใดเกิดขึ้น..