บทที่ 1445 : มิอาจยับยั้งได้
ณตีนเขาของยอดเขามนุษย์ มีอาคารใหญ่สำหรับรับประทานอาหารอยู่ และศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานที่ใช่ชีวิตอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ ก็จะลงมาทานอาหารที่นี่กันทุกวัน
อาคารแห่งนี้กว้างใหญ่และมีถึงสามชั้น จึงสามารถจุคนในคราวเดียวได้พร้อมกันถึงสองร้อยคน..
กัวผิงซึ่งทำหน้าที่พ่อบ้านรับผิดชอบชีวิตประจำวันของเหล่าศิษย์ภายในสำนักกระบี่เทียนซานจึงมีหน้าที่รับผิดชอบเรือนทานอาหารแห่งนี้ไปในตัว
เรือนรับประทานอาหารแห่งนี้มีพ่อครัวอยู่ประจำและมีผู้ที่ทำหน้าที่บริการอยู่ร่วมยี่สิบคน ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานทั้งสิ้น และอยู่ในขั้นเซียงเทียนทั้งหมด ศิษย์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ไร้พรสวรรค์ มิสามารถฝึกปรือให้ก้าวหน้ากว่านี้ได้อีกแล้ว จึงถูกสั่งให้มาทำงานอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นสำนักไหนๆก็ตามทีมนุษย์ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการเสื้อผ้า อาหาร และที่อยู่อาศัย ในที่ที่มีผู้คนอยู่รวมกันมากมายเช่นนี้ ย่อมต้องมีผู้คนมาดูแลจัดการเรื่องเหล่านี้เช่นกัน
และสำหรับอาหารเย็นในคืนนี้ก็ถูกจัดขึ้นที่เรือนรับประทานอาหารแห่งนี้เช่นกัน!
ฉินจิวยื่อและหนิงหลิงยู่สองคนแม่ลูกต่างก็ยังอยู่เฝ้าห้องเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของหนิงเทียนหยา หลิงหยุนจึงได้สั่งให้คนจัดเตรียมอาหารขึ้นไปให้นางที่ยอดเขาเทียนเฟิงแทน
ความจริงแล้วหลิงหยุนอยากให้ทั้งคู่ลงมารับประทานอาหารที่ตีนเขามนุษย์พร้อมกันแต่ฉินจิวยื่อกลับปฏิเสธ และให้หลิงหยุนกับฉินตงเฉวี่ยไปช่วยกันต้อนรับแขกจากตระกูลฉิน และตระกูลหนิงแทนนาง
แม้นว่าจะเป็นครอบครัวเดียวกันแต่ย่อมต้องทำการต้อนรับขับสู้กันตามธรรมเนียม..
นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนมารวมตัวกันที่สำนักกระบี่หลิงหยุนหลี่เพียวหยางและกัวผิงต่างก็พยายามทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้อย่างสมบูรณ์ มิมีสิ่งใดขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย อาหารเย็นในคืนนี้จึงอุดมสมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว ไก่เป็ด ปลา หรือแม้แต่ผักชนิดต่างๆ เรียกได้ว่าอาหารและบริการนั้นไม่แตกต่างจากโรงแรมหรูหราในโลกภายนอกเลยทีเดียว
และในเวลานี้คนของตระกูลฉิน และคนของตระกูลหนิงก็ล้วนแล้วแต่นับว่าเป็นแขกของหลิงหยุนทั้งสิ้น..
ภายในห้องจัดเลี้ยงชั้นสามของเรือนรับประทานอาหารหลิงหยุนเป็นฝ่ายกล่าวขอบคุณตระกูลฉิน และตระกูลหนิงที่เดินทางมาไกล ในระหว่างมื้ออาหาร เขาก็ได้พูดคุยหยอกเย้ากับทุกคนอย่างสนุกสนาน และได้เล่าเหตุการณ์ในคืนถล่มสำนักกระบี่เทียนซานให้ทุกคนฟังอย่างละเอียดตามที่ถูกร้องขอ ทุกคนที่ได้ฟังเรื่องราวต่างก็พากันอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง..
แต่ถึงอย่างนั้นหลิงหยุนก็รู้สึกอยู่เสมอว่าเป็นเพราะตนมาช้าไปหนึ่งก้าว ทำให้หนิงเทียนหยาต้องเสียชีวิต จึงได้อาศัยโอกาสนี้กล่าวขอโทษกับตัวแทนจากตระกูลหนิง แต่กล่าวไปได้เพียงแค่ครึ่งเดียว หนิงป๋อผิงก็รีบห้ามปรามไว้ทันที
หนิงป๋อผิงพูดตัดบทขึ้นว่า“หลิงหยุน.. เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ นี่คงเป็นความประสงค์ของสวรรค์ ตระกูลหนิงของข้ามิอาจตำหนิเจ้าได้!”
หลิงหยุนรับรู้ได้ว่าคนตระกูลหนิงดูเหมือนจะมิต้องการให้เขาพูดเรื่องนี้ในระหว่างรับประทานอาหารอีกพวกเขาจึงเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่นแทน ทางด้านฉินชุนเฟิงที่เข้าสังคมเก่งยิ่งนัก ก็ได้ชักชวนทุกคนพูดคุยอย่างเป็นกันเอง หากมิมีเขาสักคน ภายในงานวันนี้คงจะกระอักกระอ่วน และกร่อยไม่น้อยทีเดียว
การรับประทานอาหารมื้อเย็นเริ่มต้นในเวลาหนึ่งทุ่มครึ่งและไปสิ้นสุดในราวสี่ทุ่มตรงพอดี ซึ่งกินเวลาไปถึงสองชั่วโมงกว่าเลยทีเดียว..
หลิงหยุนและฉินตงเฉวี่ยเดินออกมาส่งทุกคนที่หน้าเรือนรับประทานอาหารจากนั้นทั้งหมดก็กลับไปยังที่พักซึ่งกัวผิงได้จัดเตรียมไว้ให้
วันนี้สำนักกระบี่หลิงหยุนมีห้องหับสำหรับรับรองแขกเหรื่อเหลืออยู่มากมายอีกทั้งกัวผิงก็ได้จัดการสั่งคนเก็บกวาดทำความสะอาดไว้พร้อมที่จะรับรองแขกของหลิงหยุนแล้วด้วย
“เฮ้อ..วันนี้ยุ่งวุ่นวายทั้งวันเลยทีเดียว!”
ทันทีที่ทุกคนกลับออกไปจนหมดหลิงหยุนถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ..
“หลิงหยุน..เจ้าทำเพื่อพี่ใหญ่ของข้ามาตลอดสองวันนี้ คงจะเหนื่อยมากทีเดียว ข้าว่าเจ้ากลับไปพักผ่อนนอนหลับเสียหน่อยจะดีกว่า!”
ฉินตงเฉวี่ยซึ่งยืนอยู่ข้างหลิงหยุนหันไปเห็นสีหน้าท่าทางที่เหน็ดเหนื่อยของเขา จึงได้แต่เอ่ยปากบอกด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า“ไม่ต้อง.. เมื่อกลางวันข้าได้ฝึกฝนวิชาไปตลอดทั้งวันแล้ว เดี๋ยวจะไปฝึกต่อ การฝึกปรือมีประโยชน์กว่าการนอนหลับเป็นไหนๆ”
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งฉินตงเฉวี่ยจึงกล่าวขึ้นว่า “อะไรกัน.. เจ้าเหน็ดเหนื่อยมาสองวันเต็มๆแล้ว เวลานี้ควรต้องรีบไปนอนพักผ่อนจึงจะถูก”
แววตาของฉินตงเฉวี่ยเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งนางอยากจะเอ่ยปากบอกหลิงหยุนว่านางอยากจะตามเขาไปฝึกวิชาด้วย แต่แล้วก็เลือกที่จะเงียบไปเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยออกไปว่า
“เอาล่ะถ้าเช่นนั้นข้าเองก็จะกลับไปฝึกฝนวิชาต่อเช่นกัน.. เอ่อ..”
ฉินตงเฉวี่ยหันกลับไปหาหลิงหยุนและมีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อว่า “เรื่องระหว่างหลิงยู่กับซิงเฉินเมื่อตอนเย็นนั้น หากเจ้าใจเย็นไม่พอ ข้าจะเป็นฝ่ายไปคุยกับซิงเฉินเอง”
การประมือกับหนิงหลิงยู่และเย่ซิงเฉินเมื่อตอนเย็นนั้นมิเพียงทำให้หลิงหยุนรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย แต่ยังทำให้ทุกคนในที่นั้นตกอกตกใจอย่างมากด้วยเช่นกัน ฉินตงเฉวี่ยรู้ว่าหลิงหยุนยังมิมีเวลาที่จะสอบถามเรื่องนี้ นางจึงตั้งใจว่าจะไปสอบถามเย่ซิงเฉินด้วยตนเอง
“ไม่ต้องข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง!”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“เจ้าอย่าได้กังวลใจไป ข้าย่อมมีวิธีของข้า และจะจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสม!”
“เช่นนั้นก็ดี..ข้าไปก่อนล่ะ!”
หลังจากฉินตงเฉวี่ยจากไปแล้วหลิงหยุนจึงเหาะตรงไปหาเย่ซิงเฉินซึ่งยังคงอยู่บนชั้นสามของเรือนรับประทานอาหาร เมื่อไปถึงเขาก็ดึงมือนางพาเหาะออกทางหน้าต่างโดยไม่พูดไม่จา
หลังจากเหาะผ่านสันเขายาวไปได้ราวสามนาทีและออกห่างจากเขตของสำนักกระบี่หลิงหยุนไปหลายร้อยกิโลเมตรแล้ว ในที่สุดหลิงหยุนก็มองหาหน้าผาเงียบๆแห่งหนึ่ง แล้วทั้งสองคนก็ร่อนลงบนหน้าผาแห่งนั้น
“เอาล่ะ..บอกข้ามาว่ามันเกิดเรื่องบ้าบออะไรขึ้นกันแน่”
หลังจากร่อนลงกับพื้นดินแล้วหลิงหยุนก็หันไปจ้องหน้าเย่ซิงเฉินพร้อมกับเอ่ยถามออกมาทันที
“นี่เจ้าหมายถึงเรื่องอะไรกัน”
เย่ซิงเฉินแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องว่าหลิงหยุนถามอะไรแต่เมื่อหันไปเห็นสายตาดุดันของหลิงหยุนเข้า นางจึงได้แต่เอ่ยออกไปด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย
“ข้าก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเช่นใดดีมันอธิบายได้ยากยิ่งนัก จะพูดอย่างไรดีล่ะ? เอ่อ.. เอาเป็นว่าทันทีที่ข้าเห็นหนิงหลิงยู่ยืนอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกต้องการที่จะสู้กับนางก็พลุ่งพล่านขึ้นภายในกาย ข้าพยายามยับยั้งไว้แล้ว แต่ก็มิอาจยับยั้งไว้ได้..” “มันคล้าย..คล้ายๆกับคนเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ เจ้าพอจะเข้าใจหรือไม่ มันคล้ายๆกับมีบางสิ่งบางอย่างบอกกับเจ้าว่า ในเวลานั้นเจ้าจะต้องทำเช่นนั้น หากเจ้าไม่ทำ.. เจ้าจะต้องคลุ้มคลั่งจนแทบเป็นบ้า นั่นคือสิ่งที่ข้าสามารถอธิบายให้เจ้าฟังได้ในเวลานี้..”
“…”
หลิงหยุนได้ฟังคำบอกเล่าของเย่ซิงเฉินแล้วเขาถึงกับนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก..
ควบคุมตนเองมิได้งั้นรึในขั้นพลังชี่นั้นเป็นการกลั่นปราณบ่มเพาะจิตวิญญาณมิใช่หรือ? ผู้ที่ฝึกฝนมาถึงขั้นนี้แล้ว หากแม้แต่อารมณ์พื้นๆที่เกิดขึ้นเช่นนี้ยังมิอาจควบคุมไว้ได้ คงต้องลมปราณแตกซ่านเข้าสักวันเป็นแน่..
แต่หลิงหยุนรู้ว่าเย่ซิงเฉินย่อมไม่โกหกตนเป็นแน่!
แต่แล้วจู่ๆความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาภายในใจของหลิงหยุน เขาจึงรีบถามออกไปในทันที “แล้วความรู้สึกเช่นนี้ของเจ้า.. เคยเกิดกับเจ้ามาก่อนหรือไม่ เจ้าเคยรู้สึกเช่นนี้เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อื่นบ้างหรือไม่?”
“ไม่เคย!นี่เป็นครั้งแรก!” เย่ซิงเฉินส่ายหน้าพร้อมกับปฏิเสธหนักแน่น
หลิงหยุนจึงถามต่อว่า“แล้วหากเจ้าได้พบกับหลิงยู่อีกครั้งเล่า จะรู้สึกเหมือนเช่นวันนี้อีกหรือไม่ หากเกิดขึ้นอีกครั้ง เจ้าจะสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้หรือไม่?”
เย่ซิงเฉินตอบกลับทันทีเช่นกัน“ข้าเองก็มิอาจรู้ได้!”
“นี่นับเป็นเรื่องที่อันตรายมากจริงๆ!”
หลิงหยุนถึงกับยกมือขึ้นเกาศรีษะและได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเอง “หรือเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษของพวกเจ้าทั้งสองคน กายดารากับกายอัปสรมิอาจอยู่ร่วมกันได้งั้นรึ? หรืออาจเป็นเพราะในจิตใต้สำนึกของพวกเจ้าทั้งสองต่างก็เป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ?”
“แต่ก็มิควรที่จะเป็นเช่นนั้นนี่ในเมื่อที่ที่ข้าเคยพบเจอมานั้น…” หลิงหยุนถึงกับปิดปากเงียบทันทีและได้แต่คิดในใจว่าตนเองเกือบจะหลุดพูดความลับที่ยิ่งใหญ่ของตนเองออกมาให้เย่ซิงเฉินล่วงรู้แล้ว..
เมื่อครั้งที่เขาอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้นเขาพบเห็นผู้ที่มีร่างกายพิเศษเช่นนี้ ทุกคนต่างก็มีธรรมชาติที่เป็นศัตรูกันอยู่ภายใน เพียงแต่ที่เขาพบเห็นมานั้นยังมิมีผู้ที่มีกายดาราและกายอัปสรเช่นหญิงสาวทั้งสองคน
“เจ้าเคยเห็นที่ไหนมาก่อนงั้นรึ”
เย่ซิงเฉินดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องระหว่างตนเองกับหนิงหลิงยู่มากเท่าไหร่แต่กลับสนใจเรื่องของหลิงหยุนแทนเสียมากกว่า
“ที่ไหน..อะไรกัน”
หลิงหยุนจ้องมองเย่ซิงเฉินที่มีสีหน้าอยากรู้อยากเห็นและทำราวกับมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ข้าเองก็ฟังมาจากท่านอาจารย์ของข้าอีกที..” เย่ซิงเฉินยิ้มและไม่เซ้าซี้แต่ก็หาได้เชื่อคำพูดของหลิงหยุนไม่!
และแล้วความเงียบสงัดก็เข้าปกคลุมอยู่ครู่ใหญ่ในที่สุดหลิงหยุนก็เอ่ยถามออกมา และเริ่มวิเคราะห์หาสาเหตุ..
“ฉะนั้นแล้วดูเหมือนว่าวินาทีที่พวกเจ้าทั้งสองคนเผชิญหน้ากันนั้น หนิงหลิงยู่เองก็คงรู้สึกไม่ต่างไปจากเจ้าเช่นกันสินะ”
“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น!”
เย่ซิงเฉินพยักหน้าพร้อมกับอธิบายต่อว่า“แต่ครั้งแรกที่ข้าพบนางในเมืองจิงฉู และแอบสะกดรอยตามนางไปเงียบๆนั้น แม้ข้าจะสัมผัสถึงร่างกายที่พิเศษของนางได้ แต่กลับมิปรากฏความรู้สึกอยากต่อสู้ที่รุนแรงขึ้นภายในใจเหมือนเช่นวันนี้!
หลิงหยุนถามกลับทันที“ที่ผ่านมาเจ้าแอบสะกดรอยตามคนรอบตัวข้าหมดเลยงั้นรึ”
เย่ซิงเฉินหัวเราะคิกคัก“ถูกต้อง.. เพียงแต่ยังมิได้เล่าให้เจ้าฟังก่อนหน้านี้”
“ข้าต้องหาทางให้พวกเจ้าสองคนหยุดความรู้สึกที่ต้องการจะเข่นฆ่ากันเองนี้ออกไปให้จงได้!”
แววตาของหลิงหยุนเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะถามต่อว่า “ดวงดาวทั้งหนึ่งร้อยแปดดวงกลางหว่างคิ้วที่พุ่งออกมานั้น คือไม้ตายของเจ้าใช่หรือไม่”
“ถูกต้อง..เพียงแต่ข้าเองก็มิรู้ว่ามันพุ่งออกมาได้เช่นใด โดยที่ข้าเองก็มิได้ใช้พลังจิตควบคุมบังคับให้มันออกมา”
“เอาล่ะ..ข้าเข้าใจแล้ว!”
หลิงหยุนเข้าใจดีว่ากลุ่มดาวสวรรค์ทั้งสามสิบหกดวง และกลุ่มดาวปีศาจอีกเจ็ดสิบสองดวงรวมเป็นหนึ่งร้อยแปดดวงนั้น เย่ซิงเฉินซึ่งอยู่ในระดับกลางขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) ยังมิอาจที่จะควบคุมได้..
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้ากับหลิงยู่มิควรพบเจอกันอีก จนกว่าข้าจะสามารถหาหนทางแก้ไขได้เสียก่อน..”
เย่ซิงเฉินสวนกลับไปทันที“เรื่องนั้นข้าเองก็ได้ปรึกษากับไป๋เซียนเอ๋อแล้ว ข้าตั้งใจไว้ว่าจะยังมิพบเจอหน้านางอีก ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นน้องสาวของเจ้า..”