บทที่ 1446 : ยอมรับ
“ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นน้องสาวของเจ้า..”
เย่ซิงเฉินจงใจเน้นย้ำคำว่า‘น้องสาวของเจ้า’ อย่างชัดเจน
ในบรรดาหญิงสาวรอบกายหลิงหยุนนั้นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำให้เย่ซิงเฉินรู้สึกตะขิดตะขวงใจได้ และคนที่มาเป็นอันดับหนึ่งก็คือหนิงหลิงยู่!
หลิงหยุนได้แต่ยิ้มขื่นนั่นเพราะถึงแม้เย่ซิงเฉินจะยอมรับข้อเสนอของเขา แต่น้ำเสียงและคำพูดของนางนั้น ก็บ่งบอกว่านางคงมองหนิงหลิงยู่เป็นศัตรูไปอีกนาน
หญิงสาวทั้งคู่นั้นหากมิโคจรมาพบกัน ต่างคนต่างก็เดินในเส้นทางของตนก็คงมิมีปัญหาอันใด แต่หากวันใดที่บังเอิญต้องโคจรมาพบกันอีกครั้งแล้วล่ะก็ คงยากที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะจนตายไปข้างหนึ่งไม่ได้! เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เหนือความคาดหมายของหลิงหยุนไปไกลมาก เขาคิดว่าเมื่อหญิงสาวทั้งสองคนได้พบเจอกัน คงจะมีแต่ความปิติสุข แต่ความจริงกลับแตกต่างจากที่เขาคิดไว้ราวฟ้ากับดิน..
“น้องสาวงั้นรึ”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าไปมา“ขอบอกเจ้าตามตรงว่า เวลานี้น้องสาวคนนี้กลับทำให้ข้าหนักใจยิ่งนัก..”
หลิงหยุนบอกออกไปแต่ก็มีความจริงอยู่เพียงแค่ครึ่งเดียว..
นั่นเพราะหนิงหลิงยู่มิได้เพียงแค่ทำให้หลิงหยุนหนักใจแต่กลับกำลังจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับเขาด้วย..
ก่อนหน้าที่จะเกิดการปะทะกันระหว่างหนิงหลิงยู่กับเย่ซิงเฉินนั้นหลิงหยุนได้เฝ้าสังเกตดูหนิงหลิงยู่อย่างละเอียด แต่กลับมิพบร่องรอยของความผิดปกติเลยแม้แต่น้อย และนั่นทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาก แต่กลับคิดไม่ถึงว่า..ทันทีที่หนิงหลิงยู่กับเย่ซิงเฉินเผชิญหน้ากันเข้า ทั้งคู่จะเกิดสภาวะที่มิอาจยับยั้งจิตใจตนเองได้เช่นนี้
แต่จะเป็นไปได้เชียวหรือที่กายอัปสรกับกายดาราจะยังคงเป็นศัตรูโดยธรรมชาติได้หลังจากที่เข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่แล้วทั้งคู่
เย่ซิงเฉินทำสายตาค้อนใส่หลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า“ในเมื่อเจ้าเองก็เป็นห่วงเป็นใยนางมากเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ไปพบนางก่อนเล่า มาพบข้าก่อนทำไมกัน..”
“…”
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกและนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า “เจ้ากับเซียนเอ๋อปรึกษากันได้ความเช่นใดบ้าง”
เย่ซิงเฉินไม่ตอบแต่ย้อนถามหลิงหยุนกลับไปว่า “เรื่องนั้นเป็นเรื่องของข้า! เจ้ายังมิได้ตอบข้าว่า.. เหตุใดเจ้าจึงเลือกมาพบข้าก่อน”
หลิงหยุนได้แต่แอบถอนหายใจและในที่สุดก็ทำสีหน้าจริงจังพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ซิงเฉิน.. เรื่องนั้นสำคัญด้วยงั้นรึ บางครั้งผลลัพธ์ย่อมสำคัญกว่าเหตุผล เพราะไม่ว่าข้าจะไปหาผู้ใดก่อน.. ผลก็ย่อมออกมาเหมือนกันมิใช่รึ?”
เย่ซิงเฉินยิ้มพร้อมตอบหลิงหยุนกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ“เจ้าอย่าได้เลี่ยงบาลีมิตอบคำถามของข้า เพราะสำหรับข้า.. เหตุผลย่อมสำคัญกว่าผลลัพธ์!”
“ได้ๆๆ”
หลิงหยุนรู้ว่าเขาคงมิอาจเลี่ยงได้อีกต่อไปจึงได้แต่ตอบกลับไปว่า “ข้ามีเหตุผลเพียงแค่สองประการ..”
“ประการแรก..ข้าเชื่อใจและมั่นใจในตัวเจ้าจึงได้มาหาเจ้าก่อน เพื่อที่จะสืบหาสาเหตุ และหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องนี้! ”
เย่ซิงเฉินฟังแล้วก็ได้แต่ทำท่าทางนิ่งขรึมแต่ภายในใจนั้นกลับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข “แล้วอย่างไรต่อ..”
“ประการที่สอง..เวลานี้หลิงยู่อยู่ที่ห้องเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของท่านลุงหนิง เจ้าจะให้ข้าเหาะจากที่นี่ไปคุยกับนางที่ยอดเขาเทียนเฟิงก่อน แล้วจึงเหาะกลับมาหาเจ้าที่นี่อีกงั้นรึ มีเหตุผลอันใดที่ข้าจะต้องเหาะกลับไปกลับมาด้วยเล่า?”
“แล้วอย่างไรอีก…”
หลิงหยุนเหลือบมองเย่ซิงเฉินพร้อมกับพูดต่อว่า“ดูสีหน้าท่าทางของเจ้าตอนนี้สิ ขืนข้าทำเช่นนั้น ข้ามิต้องถูกเจ้าฆ่าตายก่อนหรอกรึ ข้ากล่าวมีเหตุผลหรือไม่เล่า?”
เย่ซิงเฉินหัวเราะคิกคักออกมาทันทีนางมิสามารถอดกลั้นต่อไปได้อีก และเวลานี้นางก็ขบขันกับท่าทางของหลิงหยุนจนถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง..
ในขณะที่หลิงหยุนถึงกับเหงื่ออกท่วมตัว..
‘เฮ้อ..ในที่สุดก็จบเสียที กว่าจะหาคำอธิบายได้ ช่างไม่ง่ายเลยจริงๆ!’ หลิงหยุนได้แต่บ่นพึมพำอยู่ในใจ
เย่ซิงเฉินเป็นหญิงสาวที่เฉลียวฉลาดยิ่งยากนักที่จะหาเหตุผลมาอธิบายให้นางเข้าใจได้ง่ายๆ
“สิ่งที่เจ้าพูดมาทั้งหมดก็นับว่ามีเหตุมีผลไม่น้อยทีเดียว..”
เย่ซิงเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องบอกกับเจ้าตามตรง เมื่อครู่ไป๋เซียนเอ๋อบอกกับข้าว่า ทันทีที่หนิงหลิงยู่ปรากฏตัวขึ้น นางเองก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันบางอย่าง แต่นางไม่อาจอธิบายได้ว่าเป็นแรงกดดันเช่นใด เพียงแต่สัญชาติญาณของนางนั้นรู้สึกต่อต้าน!”
หลิงหยุนถึงกับใจสั่นอย่างรุนแรง!
ไป๋เซียนเอ๋อเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจและเป็นสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง นางจึงมีสัญชาติญาณที่ว่องไวต่ออันตรายมากกว่าผู้บ่มเพาะพลังที่เป็นมนุษย์ หรือปีศาจเผ่าพันธุ์อื่น ฉะนั้นแล้ว.. สัญชาติญาณของนางจะผิดงั้นหรือ
หลิงหยุนรีบเอ่ยถามขึ้นทันที“หรือแรงกดดันที่ว่าจะเกิดจากการที่หนิงหลิงยู่ได้ทำการยับยั้งขั้นของตนเองไว้!” แต่เย่ซิงเฉินกลับส่ายหน้าและตอบกลับไปว่า “อย่าลืมว่าเซียนเอ๋องอกหางที่สี่แล้ว นางย่อมต้องแยกแยะได้ดีว่าแรงกดดั้นจากการยับยั้งขั้นพลัง แตกต่างจากแรงกดดันที่อันตรายได้อย่างไร”
ระหว่างนั้นที่พูดนั้นเย่ซิงเฉินก็ได้หันกลับมาจับจ้องที่ใบหน้าของหลิงหยุน และจ้องลึกลงไปในดวงตาของเขา พร้อมกับสูดลมหายใจลึกก่อนจะพูดขึ้นว่า
“หลิงหยุน..เจ้าควรต้องยอมรับได้แล้ว!”
หลิงหยุนเมินหน้าหนีและเหม่อมองออกไปที่ภูเขาด้านหน้าไกลๆแล้วจึงถามขึ้นว่า “เจ้าจะให้ข้ายอมรับเรื่องอะไร”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็ยากที่จะยอมรับได้..แต่ข้าก็ยังคงต้องเตือนเจ้าอยู่ดี”
เย่ซิงเฉินถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “น้องสาวของเจ้าก่อนและหลังการรับทัณฑ์สวรรค์เทียนจิ่วนั้น เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนเลยทีเดียว!” น้ำเสียงของเย่ซิงเฉินนั้นหนักแน่นชัดเจน และตรงไปตรงมายิ่งนัก เสมือนกับสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจของหลิงหยุน!
หลิงหยุนได้แต่นิ่งเงียบไปในทันที!!
หลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่ในที่สุดหลิงหยุนก็พูดขึ้นว่า “ผู้ที่เดินบนเส้นทางบ่มเพาะพลังทุกคน ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตระดับพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ความรู้สึก มุมมองต่อสิ่งต่างๆรอบตัว การพูดจา และอีกหลายๆเรื่อง..”
“และแทบไม่ต้องพูดถึงหนิงหลิงยู่ซึ่งผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ อีกทั้งยังได้รับของขวัญจากสวรรค์เช่นั้น..”
เย่ซิงเฉินมิกล่าวอันใดต่ออีกนางเพียงแค่ยิ้มให้กับหลิงหยุนเท่านั้น เพราะความรู้สึกในดวงตาของเขานั้นชัดเจนกว่าสิ่งใด..
หลิงหยุนเห็นสายตาของเย่ซิงเฉินจึงได้แต่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด“เหตุใดยังต้องจ้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นด้วยเล่า” “ข้าก็กำลังมองเจ้ากล่าววาจาเพ้อเจ้อไร้สาระอยู่น่ะสิ!”
“…”หลิงหยุนนิ่งอึ้งไปในทันที
“เอาล่ะๆๆ”
เย่ซิงเฉินเอ่ยออกมาพร้อมกับยื่นมือเรียวงามทั้งสองข้างไปจับมือหลิงหยุนไว้แล้วจึงกล่าวต่อว่า “ข้าจะไม่พูดอะไรอีก อย่างน้อยเจ้าเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ!”
หลิงหยุนได้แต่ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว..
เย่ซิงเฉินปล่อยมือของตนออกจากฝ่ามือของหลิงหยุนนางหันหลังให้กับเขาและก้าวเท้าเดินออกไปด้านหน้า ลมแรงโบกสะบัดพัดเข้าใส่ร่าง จนกระโปรงและผมยาวของนางปลิวไสว
“หากยังยืนอยู่ในหุบเขาเช่นนี้ก็ยากที่จะเห็นยอดเขา..”
เย่ซิงเฉินก้าวเดินออกไปอีกสี่ก้าวพร้อมกับเอ่ยออกมาในขณะที่หลิงหยุนยังคงยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาจ้องมองเรือนร่างงดงามที่เดินอยู่ด้านหน้า และในที่สุดก็ยิ้มออกมา..
หลิงหยุนกระโดดออกไปยืนข้างเย่ซิงเฉินในทันทีจากนั้นทั้งคู่ก็เดินเคียงข้างกันไป..
“ข้าจะหาทางแก้ปัญหาแน่..ไม่ช้าก็เร็ว!”
เย่ซิงเฉินตอบกลับเพียงแค่สั้นๆ“ข้ารู้!”
จากนั้นหลิงหยุนจึงหันไปบอกกับเย่ซิงเฉินว่า“นำดาบมารคู่สะบั้นเทวะของเจ้าออกมาให้ข้า!”
เย่ซิงเฉินหันไปยิ้มให้กับหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยถาม“เจ้าคิดจะทำอะไร”
หลิงหยุนเอ่ยยิ้มๆ“อาวุธทั้งคู่ของเจ้านั้น หากเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขั้นพลังชี่ก็สามารถรับมือได้ไม่ยาก แต่ต่อหน้าศิษย์คุนหลุนทั้งสี่ กลับไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้เลย..”
เย่ซิงเฉินเข้าใจเจตนาของหลิงหยุนได้ในทันทีนางเรียกดาบคู่ของตนออกมาจากแหวนจักรวาล และเวลานี้ดาบทั้งสองก็เหาะวนอยู่รอบตัวคนทั้งคู่ “นี่เป็นอาวุธที่ท่านอาจารย์เคยใช้..”
เย่ซิงเฉินยังคงก้าวเดินต่อไปพร้อมกับบอกหลิงหยุนว่า“ความจริงแล้วมันมีชื่อว่าดาบสุริยันต์จันทรา..”
เย่ซิงเฉินยกมือขึ้นรวบดาบคู่ทั้งสองไว้ในมือแล้วจึงส่งให้หลิงหยุนพร้อมกับข่มขู่ว่า “หากเจ้าหลอมอาวุธของข้าเสียหายแล้วล่ะก็ ข้าไปฟ้องท่านอาจารย์!”
หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังและตอบกลับไปทันที “ฮ่าๆๆ เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลย อีกสองสามวันรับรองได้ว่าเจ้าจะได้อาวุธระดับวิญญาณกลับไปทีเดียว!”