บทที่ 1447 : ที่มา
ดาบคู่มารสะบั้นเทวะของเย่ซิงเฉินนั้นนอกจากจะมีรูปร่างที่แปลกประหลาดมากและมีความคมอย่างยิ่งยวดแล้ว อาวุธทั้งสองยังมีรูปร่างที่แตกต่างกันด้วย อันหนึ่งมีลักษณะเป็นวงกลมคล้ายกับดวงอาทิตย์ ส่วนอีกอันเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว และความหนาของอาวุธทั้งสองชิ้นยังแตกต่างกันอีกด้วย น้ำหนักก็แตกต่างกันเล็กน้อย
อันที่เป็นทรงกลมรูปดวงอาทิตย์นั้นมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับแผ่นดิสก์และรูตรงกลางก็มีขนาดเท่าข้อมือ ส่วนที่เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวนั้นมีลักษณะเป็นครึ่งวงกลมซึ่งคมทั้งสองด้านนั้นเรียบเงา
ทันทีที่หลิงหยุนเอื้อมมือไปจับอาวุธทั้งสองนั้นเขาสัมผัสได้ถึงน้ำหนักที่หนักอึ้ง และสามารถคาดเดาน้ำหนักของมันได้อย่างแม่นยำ
สำหรับผู้บ่มเพาะพลังนั้นยิ่งมีพลังจิตแข็งแกร่งมากเพียงใด การมองภาพและประเมินขนาด และน้ำหนักของวัตถุต่างๆ ก็จะยิ่งแม่นยำยิ่งขึ้น
และเมื่อได้ยินว่าดาบคู่มารสะบั้นเทวะนี้เป็นอาวุธที่มารดาของตนเคยใช้มาก่อนหลิงหยุนจึงได้แต่พินิจมองอย่างละเอียดอีกครั้ง และยิ่งสำรวจอย่างละเอียดมากขึ้น เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าอาวุธทั้งสองนี้ทำจากโลหะที่พิเศษยิ่งนัก จนถึงกับต้องเอ่ยถามออกไปว่า
“โลหะที่ใช้ทำอาวุธทั้งสองนี้..ใช่แกนอุกกาบาตที่ร่วงหล่นจากห้วงอวกาศหรือไม่”
เมื่อครั้งที่หลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินพบกันครั้งแรกนั้นทั้งคู่ได้เคยประมือกัน และครั้งนั้นแม้แต่กระบี่โลหิตแดนใต้ของเขายังมิสามารถทำอะไรดาบคู่มารสะบั้นเทวะนี้ได้เลย
เมื่อคืนก่อน..เย่ซิงเฉินก็ได้ใช้อาวุธทั้งสองนี้รับมือกับกระบี่เหินของศิษย์คุนหลุนหลัวหย่งฉี และกระบี่เหินของตี๋เฮ่อหมิง แต่กลับมิมีร่องรอยเสียหายปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ทั้งหลัวหย่งฉีและตี๋เฮ่อหมิงต่างก็อยู่ในด่านกลางขั้นก่อสร้างรากฐานกระบี่เหินของคนทั้งคู่ย่อมต้องใช้โลหะที่พิเศษยิ่งในการหลอม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมิอาจทำอะไรดาบคู่มารสะบั้นเทวะได้
“เจ้ามองออกด้วยรึ!”เย่ซิงเฉินเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ท่านอาจารย์เคยบอกข้าว่าดาบคู่มารสะบั้นเทวะทั้งสองนี้ มิใช่อาวุธที่เพิ่งหลอมในยุคสมัยนี้ แต่เป็นอาวุธที่หลอมมาแต่โบร่ำโบราณ”
“เมื่อครั้งโบราณกาลนั้นได้มีอุกกาบาตสองลูกตกลงมาบนโลกพร้อมๆกัน ระหว่างที่พุ่งผ่านชั้นบรรยากาศมานั้น อุกกาบาตทั้งสองลูกมีลักษณะคล้ายลูกไฟขนาดใหญ่ ที่กำลังพุ่งลงสู่พื้นโลกด้วยความเร็วสูงยิ่ง ก่อนจะร่วงหล่นลงในแถบภูเขาแห่งหนึ่ง..”
“ผู้ที่พบเห็นอุกากบาตทั้งสองลูกนี้ได้นำไปมอบให้กับฮ่องเต้ฉู่ ฮ่องเต้ฉู่ดีใจยิ่งจึงสั่งให้คนนำไปหลอมเป็นอาวุธ..” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้เย่ซิงเฉินก็หันไปถามหลิงหยุนว่า “กั้นเจียงมั่วเย่.. เจ้าเคยได้ยินคำพวกนี้หรือไม่”
หลิงหยุนพยักหน้า“อืมม.. เป็นชื่อของดาบคู่ – ดาบบุรุษกั้นเจียง และดาบสตรีมั่วเย่..”
เย่ซิงเฉินถึงกับยิ้มออกมาและตอบกลับไปว่า“ท่านอาจารย์เล่าให้ฟังว่า โลหะที่ใช้หลอมดาบสุริยันต์จันทรานี้ เป็นโลหะที่ได้มาจากที่เดียวกันกับดาบคู่กั้นเจี้ยมั่วเย่นี้!”
“…”
หลิงหยุนถึงกับนิ่งอึ้งไปก่อนจะเอ่ยถามเสียงสั่น“จริงรึ! ดาบคู่นี้หาใช่พรรคมารของเจ้าหลอมขึ้นมาเองแน่รึ?”
เย่ซิงเฉินไม่ตอบแต่กลับถามขึ้นว่า“เจ้ารู้หรือไม่ว่า เหตุใดในพรรคมารของเรา ผู้อาวุโสและผู้คุ้มกฏแต่ละคน จึงสามารถคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นโอรสพรรคมารได้ถึงหนึ่งหรือสองคน ในขณะที่ธิดาพรรคมารจักต้องมีเพียงแค่ผู้เดียวเท่านั้น” หลิงหยุนครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงตอบกลับไปว่า“เพราะดาบสุยันต์จันทราคู่นี้ใช่หรือไม่”
“ถูกต้อง!”
เย่ซิงเฉินยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดต่อว่า“มีเพียงธิดาพรรคมารเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ใช้ดาบคู่มารสะบั้นเทวะนี้ และในทางกลับกัน.. หญิงที่ครอบครองดาบคู่มารสะบั้นเทวะนี้ ก็ย่อมได้รับการยอมรับจากพรรคมารว่าเป็นธิดาสวรรค์!”
“หลังจากที่ข้าหลอมใหม่ให้เจ้าแล้วรับรองได้ว่าดาบคู่มารสะบั้นเทวะของเจ้า จะกลายเป็นอาวุธที่ล้ำเลิศยิ่งกว่านี้ทีเดียว!” ระหว่างที่พูดหลิงหยุนก็ได้เรียกดาบคู่นี้กลับเข้าไปไว้ในแหวนพื้นที่ของตน
“หลิงหยุน..ขอบใจเจ้ามาก!”
จู่ๆเย่ซิงเฉินก็เม้มริมฝีปากบางของตน แล้วจึงก้มหน้าก้มตาเอ่ยขอบใจหลิงหยุน
หลิงหยุนจึงถามกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“เหตุใดต้องขอบคุณข้าด้วยเล่า”
เย่ซิงเฉินหันไปหาหลิงหยุนพร้อมกับเหาะขึ้นไปบนท้องนภาโดยมีหลิงหยุนเหาะตามขึ้นไปด้วยก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียที่ไม่ดังนัก
“เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ข้ายังมิคาดคิดว่าตนเองจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ อีกทั้งไม่คิดว่าจะสามารถเหาะเหินกลางอากาศได้เช่นนี้ด้วย แต่เวลานี้.. ข้ากลับสามารถทำได้อย่างง่ายดาย..”
“ยังมีวิชาดาราคุ้มกายวิชาสุญตาดูดดาว วิชามังกรพรางร่าง แหวนจักรวาล ศิลากลั่นวิญญาณ…”
“ได้อยู่กับเจ้าแล้ว..ข้ามีความสุขยิ่งนัก!”
ประโยคสุดท้ายนั้นแทบไม่มีเสียงดังออกมาจากริมฝีปากของเย่ซิงเฉิน แต่หลิงหยุนกลับได้ยินอย่างชัดเจน!
ฟิ้ว…
ร่างของหลิงหยุนเหาะพุ่งไปขวางหน้าเย่ซิงเฉินไว้อย่างรวดเร็วจากนั้นจึงอ้าแขนทั้งสองข้างออกพร้อมกับเอ่ยว่า
“เหตุใดต้องขอบคุณด้วยวาจาเล่าขอบคุณข้าด้วยการกระทำมิดีกว่ารึ?”
“เจ้าได้ฝันไปเลย!”
เย่ซิงเฉินเหาะหลบอ้อมแขนของหลิงหยุนทันทีก่อนจะกล่าวออกไปว่า “หากเจ้าไม่รีบร้อนกลับไปนัก ก็เหาะเล่นชมทิวทัศน์ของเขาเทียนซานเป็นเพื่อนข้าหน่อย..”
“เป็นความคิดที่ดีทีเดียว!”
จากนั้น..ทั้งคู่จึงได้เหาะเคียงข้างกันไปอย่างช้าๆ และค่อยๆเหาะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ราวกับว่ากำลังไต่ขึ้นไปบนบันไดล่องหน
ทั้งคู่เริ่มฝึกดาราคุ้มกายไปด้วยและเวลานี้แสงจันทราก็ได้สาดส่องลงสู่ร่างทั้งสอง แสงนวลของดวงจันทร์ได้ห่อหุ้มร่างของทั้งคู่ไว้ ทำใหดูราวกับเทพจากสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน..
ระหว่างที่เหาะไปบนท้องฟ้านั้นเย่ซิงเฉินก็ได้เรียกเอาศิลากลั่นวิญญาณออกมาถือไว้ส่วนหลิงหยุนก็เรียกธงวายุออกมาเช่นกัน
“ธงเล็กๆในมือเจ้าคืออะไรงั้นรึ”เย่ซิงเฉินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“นี่คือยุทธภัณฑ์วิเศษธาตุลมที่หาได้ยากยิ่งในวันข้างหน้า.. สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อข้ายิ่งนัก แต่ข้าต้องหาทางทำลายการสะกดของคุนหลุนเสียก่อน จึงจะสามารถใช้ธงนี้ได้!”
“ยากหรือไม่”เย่ซิงเฉินเอ่ยถาม
หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมตอบกลับไปว่า“เรื่องเล็กน้อย..”
“คุนหลุนได้ยินเจ้าพูดเข้าคงคลั่งตายแน่!”
จากนั้นเย่ซิงเฉินจึงเปลี่ยนเรื่องพูด“สองสามวันหลังจากนี้ไปเจ้าจะทำสิ่งใดต่อ”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“จะทำอันใดได้เล่า นอกจากเก็บตัวฝึกฝนวิชาน่ะสิ แล้วก็หลอมกลั่นยุทธภัณฑ์..”
“เหตุใดเจ้าจึงสามารถทำหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกันเช่นนี้” “ก็ข้าหาใช่คนธรรมดา..ข้าคืออัจฉริยะผู้ล้ำเลิศ!!”
“ข้ารู้ว่าเจ้านั้นเป็นอัจฉริยะเหนือผู้คนทั่วไปแต่เจ้าจะเป็นเช่นนั้นไม่ได้หากไร้ซึ่งอาจารย์มิใช่รึ”
“เอ่อ..ซิงเฉิน เจ้ายังมีอาวุธอื่นจะให้ข้าหลอมอีกหรือไม่”
……
หลิงหยุนไปเที่ยวชมเขาเทียนซานกับเย่ซิงเฉินอยู่นานร่วมสามชั่วโมงเลยทีเดียว..
ความงดงามของเขาเทียนซานนั้นแทบมิต้องบรรยายออกมาเป็นคำพูดระหว่างที่เที่ยวชมเขาเทียนซาน หลิงหยุนยังค้นพบสถานที่ซึ่งเหมาะแก่การฝึกฝนวิชาอีกหลายแห่งด้วย แต่ละที่ล้วนพลังชีวิตที่แข็งแกร่งยิ่งนัก และตั้งใจไว้ว่าหากมีเวลามากพอ เขาจะมาสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง
ราวตีสองของเช้าวันใหม่..หลิงหยุนก็ได้เหาะกลับไปที่สำนักกระบี่หลิงหยุน ในขณะที่เย่ซิงเฉินยังมิได้กลับมาด้วย นางขึ้นไปฝึกฝนวิชาบนยอดเขาแห่งหนึ่งแทน
นางให้เหตุผลกับหลิงหยุนว่านางจะต้องเร่งฝึกฝนเพื่อให้ก้าวหน้าทัดเทียมกับหนิงหลิงยู่ให้ได้ และนั่นทำให้หลิงหยุนถึงกับกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย..
“เซียนเอ๋อ..”
“พี่หลิงหยุน!!”
เมื่อกลับมาถึงสำนักกระบี่หลิงหยุนหลิงหยุนก็ตรงไปหาไป๋เซียนเอ๋อทันที
“เซียนเอ๋อ..บอกข้ามาตามตรง เจ้ารู้สึกว่าหลิงยู่เปลี่ยนไปหรือไม่”
หลิงหยุนพาเซียนเอ๋อออกไปหาที่เงียบๆสนทนากันและเมื่อไปถึงก็เอ่ยถามออกไปอย่างตรงไปตรงมามิมีอ้อมค้อม..
“เปลี่ยน!”ไป๋เซียนเอ๋อตอบโดยที่ไม่ต้องคิด
“เปลี่ยนไปมากเพียงใด”หลิงหยุนถามต่อทันที “นางเปลี่ยนไปจากเดิมมากทีเดียว!”ไป๋เซียนเอ๋อตอบหลิงหยุนไปตามตรง
“เหตุใดเจ้าจึงรู้สึกเช่นนั้นมีสิ่งใดที่ทำให้เจ้ารู้สึกเช่นนั้น?”
“ก็นางเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนเย็น…”
ไป๋เซียนเอ๋อบอกหลิงหยุนเช่นเดียวกับที่บอกเย่ซิงเฉินและไม่ต่างจากที่เย่ซิงเฉินเล่าให้หลิงหยุนฟัง..
สีหน้าของหลิงหยุนเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดพร้อมกับถามต่อว่า“เซียนเอ๋อ.. บอกข้ามาว่าแรงกดดันที่เจ้าสัมผัสได้นั้น เหมือนหรือแตกต่างจากแรงกดดันเมื่อครั้งที่เจ้ารับทัณฑ์สวรรค์”
ไป๋เซียนเอ๋อส่ายหน้า“แตกต่าง.. ดูเหมือนว่าจะหนักหนากว่านั้น..”
“เอาล่ะ..ข้าพอที่จะเข้าใจแล้ว!”
หลิงหยุนพยักหน้าและหยุดถามเพียงเท่านั้น เขายื่นฝ่ามืออกไปลูบไล้ศรีษะของไป๋เซียนเอ๋ออย่างอ่อนโยน พร้อมกับกำชับว่า
“เซียนเอ๋อ..เรื่องนี้ห้ามเจ้าบอกกล่าวให้ผู้ใดรู้ เข้าใจหรือไม่”
ไป๋เซียนเอ๋อพยักหน้าหงึกๆ“ข้ารู้.. พี่ซิงเฉินก็กำชับข้าเช่นนั้น!”
“เซียนเอ๋อ..ระหว่างพี่หลิงยู่กับพี่ซิงเฉิน เจ้าชื่นชอบผู้ใดมากกว่า”
คำตอบของไป๋เซียนเอ๋อทำให้หลิงหยุนถึงกับชะงัก“ข้าชอบที่หลิงหยุนที่สุด!”
หลิงหยุนขยิบตาให้พร้อมกับย้ำว่า“ไม่ใช่.. เจ้าต้องเลือกระหว่างพวกนางทั้งสองคนต่างหากเล่า”
ไป๋เซียนเอ๋อทำท่าครุ่นคิดก่อนจะตอบไปว่า“เมื่อก่อนเป็นพี่หลิงยู่ แต่ตอนนี้เป็นพี่ซิงเฉิน!”
หลิงหยุนถึงกับนิ่งอึ้งไป..นั่นเพราะคำตอบนี้บ่งบอกถึงปัญหาบางอย่าง..
“เซียนเอ๋อ..ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าตามไปช่วยข้าหลอมอาวุธ ข้าจำเป็นต้องใช้ไฟจากเจ้า!”
“ได้ๆๆเวลานี้ไฟโลกันต์ของข้าร้อนแรงมากทีเดียว!” ไป๋เซียนเอ๋อร้องออกมาด้วยความดีใจ