บทที่ 621 ที่ดินสามารถทำการซื้อขายได้แล้ว

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 621 ที่ดินสามารถทำการซื้อขายได้แล้ว

“ที่ดินตรงนั้นไม่เลวเลย พวกเราสามารถซื้อเอาไว้ได้” โจวชิงไป๋มองภรรยาตัวเองแล้วพูด

หลินชิงเหอมุ่นคิ้วมองไปทางเขา “จะซื้อยังไงคะ? ครอบครัวเราไม่ได้มีเงินขนาดนั้น”

“กู้ธนาคาร” โจวชิงไป๋พูดแล้วมองภรรยาเขาอย่างสงบ

หลังจากเปิดประเทศแล้วก็จะมีการส่งเสริมให้คนกลุ่มหนึ่งร่ำรวยขึ้นมา จากนั้นพวกเขาก็จะพาคนด้านหลังรวยไปด้วยกัน ดังนั้นการกู้ธนาคารเป็นอะไรที่สะดวกและรวดเร็วยิ่ง ขอเพียงมีความสามารถนั้น คนคนนั้นก็สามารถกู้เงินจากธนาคารได้

อีกทั้งพวกเขายังมีกิจการในครอบครัวเยอะถึงขนาดนี้ แม้จะต้องกู้เงินเป็นจำนวนมหาศาล ก็สามารถทำเรื่องกู้ได้เช่นกัน

หลินชิงเหอไม่คิดเลยว่ายิ่งสามีอายุมากขึ้นก็ดูจะมีความอยากมากขึ้นด้วยนะเนี่ย เพื่อที่ดินผืนนั้นแม้แต่เรื่องกู้เงินธนาคารเขาก็ยังคิดถึงมันได้

หลินชิงเหอเองก็เคยคิดเช่นเดียวกัน เธอเพียงแค่รู้สึกลังเลเล็กน้อย เนื่องจากเงินที่จำเป็นต้องใช้นั้นมันมากไปจริง ๆ

“กู้มาแล้วเราค่อย ๆ ผ่อนคืน นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากนะครับ” โจวชิงไป๋พูด

ถ้าคิดจะซื้อหลังจากนั้นล่ะก็ไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้ว เพราะราคามันแพงมากจริง ๆ จะซื้อได้ง่าย ๆ ที่ไหนกัน?

หากต้องการซื้อล่ะก็ ตอนนี้ก็สามารถซื้อได้แล้ว

“ที่ไห่หนานเราจะได้กำไรไม่น้อย สามารถเอามารวมยอดได้อีกเยอะเหมือนกัน” โจวชิงไป๋พูด

หลินชิงเหอหัวเราะแล้วพูดว่า “ที่ดินผืนนั้นดีขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”

“ถ้าคุณต้องการเอามาปลูกของพวกนั้น ที่ดินผืนนั้นก็ไม่แย่เลย” โจวชิงไป๋พยักหน้า

เขาขับรถออกไปตระเวนดู แม้ว่าจะไกลไปสักหน่อย แต่ถ้าเอามาใช้ในการปลูกพืชล่ะก็นั่นไม่ใช่ที่ที่แย่เลย เนื่องจากมีหลายที่ที่ทำการซ่อมแซมถนน หลังจากนี้ถนนหนทางก็จะเดินทางสะดวกขึ้นมากอย่างแน่นอน

หลินชิงเหอพูดยิ้ม ๆ “ฉันก็นึกว่าคุณจะร่วมมือกับหวังหยวนเสียอีก อีกฝ่ายมีเงินหนาเสียด้วย”

“ทำเองดีกว่าครับ” โจวชิงไป๋พูด เขาไม่อยากให้กิจการของครอบครัวไปปนกับครอบครัวอื่น แม้จะเป็นสามีของหลานสาว แต่ของสิ่งหนึ่งที่เป็นอีกสิ่งหนึ่งก็ไม่ควรทำให้สับสน ไม่อย่างนั้นต่อไปจะวุ่นวายยิ่งขึ้น

อีกอย่างครอบครัวของเขาก็ไม่ใช่ว่าไม่มีความสามารถพอจะซื้อที่ตรงนั้นได้เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องแบ่งน้ำแกง*กับคนอื่นด้วย

* แบ่งน้ำแกง (杯羹) หมายถึง การแบ่งปันผลประโยชน์

หลินชิงเหอพูด “พรุ่งนี้พาฉันไปดูหน่อยนะคะ”

“ครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้าตอบตกลง

วันถัดมาพอส่งลูกสาวไปโรงเรียนอนุบาลเสร็จ จากนั้นเขาก็ขับรถพาภรรยาออกมาที่เขตชานเมือง

ที่ดินผืนนี้ค่อนข้างลาดเอียง แต่กลับกว้างขวางมาก อีกทั้งสภาพดินก็เหมาะที่จะเพาะปลูกมากเช่นกัน ซึ่งหลินชิงเหอรู้สึกว่าที่ผืนนี้ไม่เลวเลย

“คุณหาที่นี่เจอได้ยังไงคะ?” หลินชิงเหอเดินกับเขาแล้วก็พูดไปด้วย

“พอผมว่างไม่มีอะไรทำเลยออกมาสำรวจดู” โจวชิงไป๋พูด

เวลา 2 ปีกว่า ๆ นี้เขาไม่ได้ทำงานอะไรอื่นเลย แต่เขาได้ที่หน้าร้านจากอำเภอเมืองอื่นมาไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนโรงงานเขาก็ได้ซื้อเก็บไว้ 2-3 แห่ง ที่ดินก็เช่นกัน

หลินชิงเหอยังเคยล้อเขาเลยว่าซื้อเยอะขนาดนี้ไม่กลัวว่าจะลืมบ้างหรือ?

โจวชิงไป๋จึงเอาสมุดเล่มหนึ่งให้เธอดู ภายในนั้นเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่เขาจดไว้อย่างชัดเจน ยังมีเอกสารใบรับรองอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ อยู่อีกด้วย ลืมอย่างอื่นได้แต่เขาจะลืมของพวกนี้ได้อย่างไร?

นอกจากจะซื้ออสังหาริมทรัพย์เหล่านี้แล้ว ที่เหลือโจวชิงไป๋ยังตระเวนไปทั่วบริเวณเพราะอยากซื้อที่ดินผืนใหญ่ ที่ภรรยาเขาเคยพูดว่าต่อไปจะทำผักผลไม้ปลอดสารพิษนั่น

ที่จริงเขามาดูที่ดินผืนนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ว่าปีที่แล้วยังไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการซื้อที่ดินได้ ทว่าพอมาปีนี้ทางรัฐก็ได้ออกกฎใหม่ว่าสามารถทำการซื้อขายที่ดินได้แล้ว

เรื่องนี้ทำให้โจวชิงไป๋จิตใจสั่นไหว กระทั่งเรื่องกู้ธนาคารเขาก็คิดเสร็จสรรพในหัวเรียบร้อยแล้วด้วย

หลินชิงเหอเดินวนอยู่รอบหนึ่งเสร็จ เธอก็กลับมาพร้อมกับเขาและพูดขึ้นว่า “พวกเราไปดูที่ไห่หนานทางนั้นก่อนค่อยว่ากันค่ะ”

“อืม” โจวชิงไป๋ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาอ่านหนังสือพิมพ์บ่อย ๆ ย่อมรู้ว่าตอนนี้ที่ทางนั้นพัฒนาไปเร็วมากขนาดไหน ดังนั้นอย่างไรก็ต้องไปลองดูก่อนอยู่แล้ว

เนื่องจากนี่เป็นโอกาสครั้งใหญ่มากครั้งหนึ่งของพวกเขา

“จะพามี่มี่ไปด้วยกันไหมคะ?” หลินชิงเหออดที่จะถามไม่ได้

“ผมว่าควรพาไปด้วย ให้เธออยู่บ้านแล้วให้พวกนั้นดูผมไม่วางใจ” โจวชิงไป๋พูด

หลังจากลูกสาวเขาเกิด นอกจากโรงเรียนอนุบาลแล้วก็ไม่เคยจากเขาไปไหนเลย ดังนั้นเขาจะยอมให้เธออยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ให้เจ้าสามเลี้ยงเหรอ ก็ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กดื้อคนนั้นจะเลี้ยงน้องของตัวเองออกมาเป็นแบบไหนกัน

ดังนั้นแม้ว่าเขาจะไปไห่หนาน ก็ต้องพาเธอไปด้วย

“เด็กขนาดนั้นคุณคิดจะทำให้ตัวเองวุ่นวายอีกเหรอคะ” หลินชิงเหอพูดอย่างไม่พอใจ

“ผมไม่เหนื่อยกับลูกสาวหรอก” โจวชิงไป๋พูดปลอบ มีเขาคอยเลี้ยงอยู่ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยกให้เขาจัดการเอง

หลินชิงเหอไม่สนใจเขาแล้ว เมื่อกลับมาถึงบ้านโจวชิงไป๋ก็ไปเปิดร้านเกี๊ยว ส่วนหลินชิงเหอขับรถไปหาคุณแม่เวิงด้วยตัวเอง

2 ปีมานี้คุณแม่เวิงยังคงทำกิจการร้านเสื้อผ้าอยู่เช่นเดิม แต่เห็นได้ชัดกว่า 2 ปีก่อนหน้านี้เลยว่าคุณแม่เวิงดูเคร่งขรึมขึ้นกลายเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งแล้ว บุคลิกท่าทางของหล่อนจึงยิ่งดูมั่นใจมากกว่าเมื่อก่อนมาก

โจวซื่อนีก็มาช่วยงานทางนี้เช่นกัน เนื่องจากหล่อนรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก จนไม่ไปยุ่งวุ่นวายที่ร้านน้าสะใภ้สี่เธอแล้ว รอให้รู้สึกสบายขึ้นแล้วค่อยไปทำงานต่อ

“อาสะใภ้สี่” พอเห็นเธอ โจวซื่อนีก็เรียกอย่างดีใจ

“เป็นยังไงบ้างจ๊ะ ดีขึ้นหรือยัง?” หลินชิงเหอพูด

“สองวันมานี้ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ หนูคิดว่าพอผ่านไปสามเดือนก็คงจะไม่เป็นไรแล้ว” โจวซื่อนีพูด

“หล่อนรีบอยากไปทำงานจะแย่” คุณแม่เวิงรับลูกค้าไปด้วย แล้วก็หาจังหวะพูดด้วย

ในร้านมีเด็กสาวคนนี้และก็รวมถึงตัวของหล่อนเอง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว แต่ตอนนี้มีลูกค้า 2-3 คนมาเลือกดูเสื้อผ้า หล่อนจึงทำงานก่อน

“รีบอะไรจ๊ะ เมื่อวานอาโทรศัพท์คุยกับแม่เธอ ยังพูดกันเรื่องนี้ด้วยว่าให้เธอดูแลตัวเองให้ดีก่อน รอจนไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ ค่อยว่ากันทีหลัง อีกทั้งจากที่นี่เดินทางไปก็ห่างกันพอสมควร เธอก็ช่วยคุณแม่เธอทำงานเสริมที่นี่เถอะนะจ๊ะ” หลินชิงเหอพูด

“ฉันก็พูดแบบนี้แหละค่ะ เดือนหนึ่งได้เงินเดือนตั้งเท่าไหร่ ร้านนี้ฉันก็ยังต้องการคนช่วยอีกสักคนเหมือนกันนะ” คุณแม่เวิงพูด

หลินชิงเหอมองไปทางโจวซื่อนี โจวซื่อนียิ้มพูด “หนูชินที่จะไปทำงานที่ร้านของน้าสะใภ้สี่น่ะค่ะ”

แม่สามีปฏิบัติกับหล่อนนั้นดีจนแทบไม่ต้องกล่าวถึง แต่หล่อนกลับชอบไปทำงานที่ร้านของอาสะใภ้มากกว่า และชอบบรรยากาศที่นั่นด้วย แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดก็คือหล่อนอยู่ที่นั่นแล้วรู้สึกชินมากกว่าที่นี่นิดหน่อย

แม้ว่าความสัมพันธ์ของหล่อนกับแม่สามีจะดี แต่ก็ยังต้องรักษาระยะห่างกัน หล่อนจึงไม่ทำงานที่ร้านเสื้อผ้านี้แล้ว

ขนาดพี่เอ้อร์นีของหล่อนยังไม่ได้ไปทำงานที่ร้านเสื้อผ้าของพี่เขยรองเลย แต่มาดูแลร้านชาของอาสะใภ้สี่แทน

“เธอยังท้องอยู่ จะไม่สะดวกสบายเอาน่ะสิ” หลินชิงเหอพูด

“หนูไม่ลำบากเลยค่ะ นั่งรถสาธารณะไม่กี่ป้ายก็ถึงแล้ว แค่ท้องเท่านั้นเอง ตอนที่พี่สาวใหญ่ท้อง หนูเห็นพี่เขาทำไร่ทำนาด้วยซ้ำไป” โจวซื่อนีพูด

“เธอถูกแม่เธอเลี้ยงมาจนเคยตัวไปแล้ว ยังจะบอกว่าแค่ท้องเท่านั้นอีก อย่าทำเป็นเล่นไป เธอต้องระวังยิ่งกว่านี้เข้าใจไหม? ที่อาเอาโจ๊กปลิงทะเลมาให้ได้กินหรือเปล่า?” หลินชิงเหอพูด

“กินค่ะ” โจวซื่อนีพยักหน้า อาสะใภ้สี่บอกว่ากินแล้วดีต่อเด็ก หล่อนก็ต้องกินอยู่แล้ว

ไม่เห็นทั้งสองแฝดมังกรหงส์กับพั่งพั่งแล้วก็มี่มี่หรือว่าแต่ละคนฉลาดมากแค่ไหน? นั่นก็เพราะว่าตอนพวกเขาอยู่ในท้องได้กินของดีอย่างเพียงพอ

ดังนั้นแม้ว่าจะไม่ชินกับกลิ่นไปสักหน่อย แต่หล่อนก็ยังคงกินมันต่อไป

“ซุปปลาจี้อวี๋อะไรพวกนั้นก็ต้องกินเยอะ ๆ เหมือนกันนะ” หลินชิงเหอพูด

“อันนั้นหนูก็กินค่ะ แต่ว่าหนูก็ยังอยากไปทำงานที่นั่นที่สุดอยู่ดี” โจวซือนีพูด

…………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

สำหรับผู้อ่านที่งงว่าแม่จะเป็นชาวสวนตอนไหน อีกหน่อยแม่จะได้เป็นแล้วนะคะ ชาวสวนผักออแกนิคด้วย

เพื่อลูกสาวแล้วพ่อสู้ตาย

ไหหม่า(海馬)