บทที่ 622 ผลัดกันชมไปมา

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 622 ผลัดกันชมไปมา

“เธอมาทำงานแล้วเรื่องกับข้าวของกั๋วต้งล่ะจะทำยังไง? นั่นไม่วิ่งวุ่นมากเกินไปหน่อยเหรอ? เมื่อก่อนพี่สาวเธอยังสะดวกหน่อยตรงที่อยู่ใกล้กัน เดี๋ยวก็กินข้าวบ้านนี้มื้อหนึ่งเดี๋ยวก็ไปกินบ้านนั้นอีกมื้อหนึ่งได้ แต่บ้านของพวกเธอห่างจากที่ร้านไกลอยู่นะ” หลินชิงเหอพูด

เธอไม่แนะนำให้โจวซื่อนีมาทำงานต่อ

คุณแม่เวิงรับลูกค้าเสร็จแล้ว เมื่อหล่อนส่งลูกค้าออกจากร้านหลังจากขายเสื้อผ้าได้สองตัวจึงค่อยเดินมาพูด “ฉันรู้ว่าสะใภ้ใหญ่อยากไปทำงานที่นั่น แต่เธออยู่กับแม่ที่นี่ที่จริงมันก็เหมือนกันนั่นแหละจ๊ะ เธอวิ่งรอกไป ๆ มา ๆ แบบนี้แม่เป็นห่วง ตอนนี้ท้องของเธอยังไม่ใหญ่ แต่ถ้าใหญ่กว่านี้ล่ะจะทำยังไง?”

โจวซื่อนีเม้มปากมองไปทางน้าสะใภ้สี่ของเธอ

หลินชิงเหอพูดออกมาตามตรง “อาเห็นด้วยกับที่แม่ของเธอพูดนะ อยู่ดูแลตัวเองที่นี่เถอะจ้ะ ไปให้คุณปู่คุณย่าได้เจอบางครั้งบางคราวก็พอ”

โจวซื่อนีลังเลเล็กน้อยจึงจะพูดว่า “งั้นหนูจะอยู่ที่นี่ค่ะ ถ้ามีเวลาว่างหนูจะไปหานะคะ”

คุณแม่เวิงพูดด้วยรอยยิ้ม “แบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ? แม่ให้เงินเดือนเธอทุกเดือนอยู่แล้ว เธอไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีรายได้ในแต่ละเดือนหรอกนะจ๊ะ รอให้เธอคลอดลูกแล้วถึงตอนนั้นแม่จะให้อั่งเปาซองใหญ่เธออีกแน่แม่ให้สัญญาเลย”

“ขอบคุณนะคะคุณแม่” โจวซื่อนีกล่าวยิ้ม ๆ

แม่สามีของหล่อนไม่มีอะไรให้ติ ท่านปฏิบัติกับหล่อนดีมากจริง ๆ แม้จะแต่งเข้าบ้านมา 3 ปีแล้วเพิ่งท้องเมื่อปีที่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรหล่อนเลย เพียงพูดว่าชีวิตของพวกเขาให้พวกเขาเป็นคนตัดสินเองเท่านั้น

สำหรับเรื่องลูกก็ไม่ได้บอกว่าต้องมีลูกชาย ยังพูดอีกว่าจะลูกผู้ชายหรือลูกผู้หญิงก็เหมือน ๆ กัน ไม่มีความคิดเรื่องผู้ชายสำคัญกว่าผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย

แม้โจวซื่อนีไม่ได้พูดอะไรออกมาจากปากตัวเอง แต่ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งใจเช่นกัน

และหล่อนยิ่งรู้สึกซาบซึ้งที่ตอนแรกอาสะใภ้สี่ของหล่อนส่งเสริมเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ หล่อนไม่มั่นใจเลยจริง ๆ ว่าถ้าแต่งงานกับคนอื่นไปแล้ว ชีวิตหลังจากนี้จะดีเท่านี้หรือเปล่า

แต่โจวซื่อนีไม่รู้เลยว่า เวิงกั๋วต้งและคุณแม่เวิงแม่สามีคนนี้ต่างก็พึงพอใจในตัวลูกสะใภ้คนนี้มากเช่นกัน

บ้านหลักตระกูลเวิงขึ้นชื่อว่าเป็นครอบครัวมีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง ซึ่งมีฐานะดีมาก

ครอบครัวแบบนี้อยากได้สะใภ้ที่สามารถบริหารงานบ้านงานเรือนได้สักคน

เห็นชัดว่าซื่อนีเป็นแม่ศรีเรือนมากคนหนึ่ง ฝีมือทำอาหารก็ทำออกมาได้อร่อย อีกทั้งยังเป็นคนรู้จักพัฒนาตัวเอง ชอบเรียนหนังสือ ผู้หญิงแบบนี้ครอบครัวไหนจะไม่ชอบกันเล่า?

แน่นอนว่ายิ่งไม่ต้องกล่าวถึงคนที่ไม่เป็นโล้เป็นพายพวกนั้น

เรื่องทำงานของโจวซื่อนีเป็นอันว่าตกลงกันแล้ว หลินชิงเหอจึงพูดเรื่องอื่นกับคุณแม่เวิงต่อ

รายได้ของคุณแม่เวิงในเวลา 2 ปีนี้ถือว่าเยอะมาก ปกติหล่อนจะได้กำไรต่อเดือนอยู่ที่ 1,000 กว่าหยวน ไม่นับร้านเสื้อผ้ารอบ ๆ ที่ทำแบบเดียวกับหล่อน แค่ร้านของหล่อนร้านเดียวก็ได้กำไรดีแล้ว

มันทำให้หล่อนมีเงินเก็บอยู่ไม่น้อยเลย

“ฉันได้ยินกั๋วต้งพูดว่าตอนนี้เขากำลังแบ่งสวัสดิการบ้านกันแล้ว เป็นความจริงหรือ?” คุณแม่เวิงหันไปถามโจวซื่อนี

โจวซื่อนีพยักหน้าพูด “ใช่ค่ะ จะแบ่งกันแล้ว”

ที่จริงตั้งแต่พวกเขาแต่งงานกัน เวิงกั๋งต้งก็สามารถขอแบ่งสวัสดิการบ้านได้แล้ว จะเรียกว่าเป็นอะพาร์ตเมนต์ก็ได้ ที่กล่าวว่าเป็นอะพาร์ตเมนต์ก็เพราะว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเหมือนรูปแบบของบ้านเดี่ยว

มีห้องครัว ห้องน้ำและก็ห้องนอน

เพราะมีนโยบายแบ่งสวัสดิการบ้านนี่เอง ดังนั้นราคาบ้านจึงยังไม่ขึ้นเร็วมากนัก เพราะคนส่วนมากต่างจับจองและรอคอยการแบ่งบ้านสวัสดิการนี้

เพราะว่ายังมีสวัสดิการบ้านอยู่ ราคาบ้านจึงยังถูกควบคุมเอาไว้ได้ แต่ระบบบ้านสวัสดิการจะถูกยกเลิกในปี 90 หลังจากนี้

“กั๋วต้งน่าจะเลือกดีแล้วใช่ไหมจ๊ะ?” หลินชิงเหอพูด

โจวซื่อนียิ้มพูด “เขาบอกว่าเขาเคยดูแล้ว สภาพไม่เลวเลยค่ะ อีกสักพักก็จะย้ายเข้าไปแล้ว”

ตอนนี้บ้านที่หล่อนกับเวิงกั๋วต้งอยู่นั้นเป็นบ้านเช่า แต่ไม่ใหญ่นัก ไว้อยู่พักชั่วคราวก็ถือว่าไม่แย่ จัดว่าอยู่ในระดับปานกลางเช่นกัน

หล่อนเองก็รู้สึกคาดหวังสวัสดิการบ้านที่กั๋วต้งของหล่อนพูดอยู่เหมือนกัน

“ในเมื่อกั๋วต้งบอกว่าไม่เลว งั้นก็แปลว่าไม่เลวจริง ๆ” หลินชิงเหอพยักหน้า

คุณแม่เวิงยิ้ม “ยังต้องมีการแบ่งบ้านกันอีกค่ะ ไม่งั้นด้วยเงินเดือนเล็กน้อยของเขาบวกกับเงินตอนเกษียณก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถซื้อได้สักหลังเลย”

“อะไรกันคะ เขาเป็นชามข้าวเหล็กนะคะ ถ้าไม่พอสามารถกู้ธนาคารแล้วค่อยผ่อนเอาก็ได้” หลินชิงเหอพูด

“ฉันได้ยินว่าจะกู้ธนาคารคือกู้ไปทำธุรกิจ ไม่เคยได้ยินว่ากู้ไปซื้อบ้านเลยนะคะ” คุณแม่เวิงพูด

“งั้นนี่ไม่ได้แปลว่าได้ยินมาจากฉันอีกทีเหรอคะ” หลินชิงเหอพูดยิ้ม ๆ

หัวข้อสนทนาเลยมาหยุดที่ตรงนี้ แล้วก็ย้ายกลับมาที่เรื่องของโจวข่ายกับเวิงเหม่ยเจี่ย

“เจ้าเด็กดื้อสองคนนั้นคนหนึ่งก็แต่งงานไปแล้ว อีกคนหนึ่งก็จะแต่งอีก ปีนี้ถึงตาของโจวข่ายกับเหม่ยเจี่ยแล้วนะคะ ฉันน่ะรอมาตั้งนานแล้ว” คุณแม่เวิงพูด

“หลังจากเหม่ยเจี่ยแต่งงานแล้ว พวกเขาทั้งสองคนก็อยู่ที่นั่นกันหมด พวกเราคงดูแลพวกเขาไม่ได้” หลินชิงเหอพูด

“ฉันเคยได้ยินเหม่ยเจี่ยบอกว่าที่นั่นมีโรงเรียนอนุบาลที่หนึ่ง เพียงแต่ต้องมีเงินหนาพอถึงจะเข้าไปได้ ต่อไปเมื่อหล่อนตั้งท้อง ก็ลาหยุด 7-8 เดือน สักพักค่อยทำงานเก็บเงิน เอาลูกไปไว้ที่โรงเรียนอนุบาลก็ได้แล้ว” ท่านแม่เวิงพูด

“พี่ยังจะถามเรื่องนี้อีกเหรอคะ แต่ว่าที่นั่นปลอดภัยไหมคะ?” หลินชิงเหอพูด

“มันอยู่ในเขตพื้นที่เล็ก ๆ มีผู้เชี่ยวชาญเรื่องเด็กเล็กโดยเฉพาะอยู่ด้วย ปลอดภัยอยู่นะ ทั้งยังมีให้ดื่มนมกินคุ้กกี้ อาหารเลี้ยงเด็กพวกนี้ที่นั่นก็ให้การดูแลอย่างครบครัน เพียงแต่ค่าเรียนแพงไปหน่อย บอกว่าเดือนหนึ่ง 50 หยวนน่ะจ้ะ” คุณแม่เวิงพูด

ตอนนี้หลายคนได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นแล้ว แต่หนึ่งเดือนต้องจ่าย 50 หยวนก็ยังแพงเกินไปจริง ๆ

“ขอแค่ดูแลอย่างดีก็พอแล้วค่ะ 50 หยวนก็ 50 หยวน ทางฉันจะออกให้เอง” หลินชิงเหอพูด

เงินเดือนทั่วไปของที่นั่นค่อนข้างสูง อย่างเช่นโจวข่ายที่เดือนหนึ่งเขาก็ได้ถึง 200-300 หยวนแล้ว เพิ่มเวิงเหม่ยเจี่ยเข้าไปอีกคนก็มีรายรับเพิ่มมาอีก 200 กว่าหยวนต่อเดือน ค่าใช้จ่ายเรื่องลูกจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับพวกเขาเลย

เนื่องจากนั่นก็เพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น

รอจนเด็กโตแล้ว ค่าเรียนหนังสือก็จะถูกลงมากกว่านี้ เพราะเริ่มจัดการอะไร ๆ ได้แล้ว ตอนยังเป็นเด็กเล็กพวกเขาต้องใช้แรงใจอย่างมากจริง ๆ อย่างเรื่องเปลี่ยนผ้าอ้อมอะไรพวกนั้นพวกเขาก็ไม่รู้เรื่องเลยสักอย่าง

“ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้แต่งเลยค่ะ คุณแม่กับอาสะใภ้สี่ก็ปรึกษาเรื่องนี้กันแล้วเหรอคะเนี่ย” โจวซื่อนีได้ยินก็พูดขึ้นพลางหัวเราะ

“ไม่ใช่ว่าจะแต่งงานกันปีนี้หรือไง การแต่งงานน่ะนะ เรื่องลูกก็ควรต้องคิดได้แล้ว” คุณแม่เวิงพูด

“ดูว่าพวกเขาคิดเห็นยังไงก่อนเถอะค่ะ พวกเขาอยากจะมีก็มี หรือยังไม่อยากมีตอนนี้ก็แล้วแต่ พี่อย่าไปพูดกับเหม่ยเจี่ยนะคะ พวกเราช่วยเหลืออะไรพวกเขาไม่ได้ ให้พวกเขาไปตัดสินใจกันเองเถอะค่ะ” หลินชิงเหอพูด

คำเหล่านี้คุณแม่เวิงรับฟังแล้วก็เข้าใจดี หล่อนยิ้มพูด “เหม่ยเจี่ยแต่งเข้าตระกูลโจว ก็เป็นโชคของหล่อนแล้วเหมือนกัน”

“พี่อย่าพูดอย่างนี้เลยค่ะ เจ้าใหญ่ของฉันได้แต่งหนูเหม่ยเจี่ยมาเป็นภรรยา นั่นน่ะถือว่าเขาโชคดีแล้วต่างหากค่ะ” หลินชิงเหอพูด

สองคนผลัดชมกันไปมา โจวซื่อนีที่เป็นคนฟังก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกแล้ว

หลังเสร็จสิ้นธุระหลินชิงเหอจึงพูดว่า “มะรืนนี้ฉันวางแผนว่าจะไปแช่บ่อน้ำพุร้อนค่ะ ถึงตอนนั้นให้ฉันมารับพี่ไปด้วยกันไหมคะ?”

“ตอนนี้มีลูกสะใภ้ใหญ่เต็มใจมาช่วยงานที่ร้านแล้ว เวลาไหนฉันก็ว่างหมดแหละค่ะ เธอมารับฉันตอนไหนฉันก็ไปตอนนั้นแหละจ้ะ” คุณแม่เวิงพูดอย่างอารมณ์ดี “แต่ว่ารอบนี้ฉันเลี้ยงนะ”

“ฉันจะพาโจวเสี่ยวเหมยกับเอ้อร์นีไปด้วยนะคะ ถ้าพี่ไม่กลัวล่ะก็งั้นฉันให้พี่จ่ายนะคะ” หลินชิงเหอพูด

“งั้นก็ไปด้วยกันนั้นแหละจ้ะ” คุณแม่เวิงพูดยิ้ม ๆ

……………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

รอแค่งานแต่งของเจ้าใหญ่กับเหม่ยเจี่ยนี่แหละค่ะ แค่หมั้นไว้แต่ยังไม่ได้แต่ง แม่ ๆ ทั้งสองก็คิดถึงตอนมีหลานกันแล้ว

ไหหม่า(海馬)