ภายในดินแดนลับ ในเวลานี้ฉินอวี้โม่ก็ถูกส่งออกมานอกถ้ำโดยพลังที่ลึกลับบางอย่าง ทว่านางก็เก็บสมบัติทั้งหมดในถ้ำไว้ในคฤหาสน์เฟิงหัวแล้วและเรียกได้ว่าเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งยิ่งใหญ่ทีเดียว

ทว่าก่อนที่จะได้ไตร่ตรองหรือวางแผนสิ่งใด นางก็เหลือบไปเห็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่กำลังสลายหายไปอยู่กลางอากาศ

จากนั้นฉินอวี้โม่ก็ไม่ลังเลแม้แต่เสี้ยวอึดใจเดียวและพุ่งตรงเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายทันที

ณ อีกฝั่งหนึ่งของค่ายกลเคลื่อนย้าย จ้าวตั๋วมาถึงหน้าค่ายกลแล้วและกำลังจะก้าวเข้าไป ทว่าจู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลบางอย่างที่พุ่งพรวดออกมาจากในค่ายกลเคลื่อนย้ายและจำต้องหลบหลีกออกไปโดยสัญชาตญาณ

“เอ๋…? ท่านลุงจ้าว”

เมื่อฉินอวี้โม่ปรากฏตัวขึ้นมาในลานจัตุรัสแห่งนี้ นางก็พบกับจ้าวตั๋วที่ยืนตกตะลึงอยู่ตรงหน้าและอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

“เสี่ยวอวี้โม่ ?”

จ้าวตั๋วเรียกสติกลับคืนมาและเมื่อพบว่าสตรีตรงหน้าคือฉินอวี้โม่ เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ความกังวลในสีหน้าของเขาหายไปเล็กน้อยทว่าน้ำเสียงยังฟังดูไม่มั่นใจนัก

“ข้าเองเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ ก่อนกวาดสายตามองทุกคนในลานจัตุรัสและพบว่าสายตาของทุกคนที่มองมาล้วนเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนยากจะอธิบาย

นางคาดเดาสถานการณ์ได้ในทันทีและเข้าใจว่าเหตุใดจ้าวตั๋วจึงทำสีหน้าท่าทางประหลาดเช่นนี้

“เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นเล็กน้อย ต้องขออภัยด้วยที่ข้าทำให้ท่านลุงจ้าวต้องกังวล”

สำหรับการค้นพบสุสานเทพมังกรในดินแดนลับ รวมถึงข้อมูลและสมบัติมากมายที่อยู่ภายในนั้น นางไม่คิดที่จะบอกกับผู้ใด ยิ่งไปกว่านั้น สุสานมังกรก็สลายหายไปแล้วและบรรพบุรุษมังกรก็ไม่ต้องการให้ผู้อื่นทราบว่ามันล่มสลายอยู่ที่นั่น

“เอาล่ะ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว มาเถอะ”

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของจ้าวตั๋วและความกังวลที่เคยมีหายไปทั้งหมด

เมื่อครู่จ้าวเหลียงก็กำลังจะตามน้องชายของตนเข้าไปช่วยฉินอวี้โม่ ทว่าเมื่อเห็นนางออกมาอย่างปลอดภัยดี เขาและคนอื่น ๆ ต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและหยุดอยู่ที่เดิม

ฉื่อไท่หลางและบรรดาศิษย์ของตระกูลฉื่อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน ในเวลานี้ เห็นเพียงแค่ว่าฉินอวี้โม่พยักศีรษะให้กับพวกเขาเบา ๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใดออกมา

“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนออกมาแล้ว คงได้เวลาประกาศผลเสียที”

เห็นได้ชัดว่าโจวปิ่งฮุย—ผู้นำตระกูลโจวไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อเห็นผู้เข้าร่วมแข่งขันทุกคนกลับออกมาจากดินแดนลับ เขาก็กล่าวขึ้นทันทีเพื่อให้เจ้าเมืองจ้าวเหลียงประกาศผลของการคัดเลือกครานี้

“ช้าก่อน… ก่อนที่จะประกาศผล มีเรื่องบางอย่างที่ต้องจัดการเสียก่อน”

โหรวฉิงยืนขึ้นและกล่าวออกไป นางทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในดินแดนลับจากศิษย์ของตระกูลโหรวแล้ว

ตระกูลเฝิงและตระกูลโจวกล้าวางแผนชั่วร้ายกำจัดศิษย์ของทั้งสามตระกูลระหว่างการแข่งขันในดินแดนลับ อีกทั้งยังต้องการสังหารฉินอวี้โม่และสหาย หากไม่ได้รับคำแถลงไขหรือสะสางเรื่องที่เกิดขึ้น ตำแหน่งผู้นำตระกูลของพวกนางก็คงจะไร้ความหมาย

“แม่นางโหรวฉิงพูดถูก เรื่องบางเรื่องก็ปล่อยผ่านไปไม่ได้”

เฉินเซี่ยวลั่ว—ผู้นำตระกูลเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็น สายตาที่มองไปยังโจวปิ่งฮุยและเฝิงรุ่ยเฉิงมีประกายจิตสังหารฉายวาบขึ้นมา

“ผู้นำเฉิน ข้าทำสิ่งใดที่ผิดต่อหลักศีลธรรมไปอย่างนั้นหรือ ? เหตุใดจึงมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น ?”

โจวปิ่งฮุยมีสีหน้าฉงนงุนงงอย่างชัดเจน แม้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเฉินเซี่ยวลั่วจะไม่สนิทสนมกัน อีกฝ่ายก็ไม่เคยแสดงความเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจนเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น เขาทราบถึงความแข็งแกร่งและอิทธิพลของทั้งสามตระกูลเป็นอย่างดีและแทบไม่เคยคิดทำสิ่งใดยั่วยุพวกเขา แล้วเหตุใดเฉินเซี่ยวลั่วจึงมองตนด้วยแววตาไม่เป็นมิตรเช่นนี้ ?

“เหตุใดผู้นำโจวจึงต้องเสแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นนี้ ? ตระกูลโจวของท่านร่วมมือกับตระกูลเฝิงเพื่อโจมตีเราทั้งสามตระกูลในดินแดนลับ ซ้ำร้ายพวกท่านยังคิดสังหารคนของตระกูลเราและโยนความผิดทั้งหมดไปให้กับสหายน้อยอวี้โม่ หากมิใช่เพราะความแข็งแกร่งของสหายน้อยอวี้โม่ เกรงว่าแผนการชั่วร้ายของท่านคงจะประสบผลสำเร็จเป็นแน่ !”

เฉินเซี่ยวลั่วกล่าวเพื่อลองเชิงโจวปิ่งฮุย ดูเหมือนว่าโจวปิ่งฮุยจะไม่ทราบเรื่องนี้จริง ๆ หากเป็นเช่นนั้น ต่อให้โจวเฉียนและโจวหังรุ่ยทำข้อตกลงร่วมมือกับตระกูลเฝิงอย่างลับ ๆ พวกเขาก็ยังตัดสินใจที่จะปล่อยโจวปิ่งฮุยและตระกูลโจวไปได้

“เหตุใดผู้นำเฉินจึงกล่าวเช่นนี้ ? ก่อนหน้านี้ข้าสั่งให้ศิษย์ของตระกูลโจวทุกคนเข้าไปในดินแดนลับและทำการแข่งขันตามปกติ เป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาจะร่วมมือกันโจมตีคนของสามตระกูลใหญ่ ?”

ความสงสัยในสีหน้าของโจวปิ่งฮุยเผยออกมาชัดเจนมากยิ่งขึ้นและเขาไม่อาจอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย พลังอำนาจของตระกูลโจวอยู่ในระดับต่ำสุดของทั้งสี่ตระกูลใหญ่ แน่นอนว่าเขาจะไม่คิดทำสิ่งที่โง่เขลาอย่างการยั่วยุหรือท้าทายคนของทั้งสามตระกูลใหญ่ ก่อนหน้านี้เขาก็ถึงขั้นกำชับศิษย์ของตระกูลโจวทั้งหมดให้แข่งขันกันด้วยวิธีการที่ซื่อสัตย์และยุติธรรม รวมถึงไม่ได้มอบไพ่ตายใดให้กับคนเหล่านั้นเป็นพิเศษ

“แม้เฝิงรุ่ยเฉิงจะมาหาข้าและชวนให้ร่วมมือกันจัดการกับฉินอวี้โม่และสามตระกูลใหญ่จริง ทว่าข้าก็ปฏิเสธไป การที่ผู้นำเฉินกล่าวเช่นนี้เป็นการปรักปรำใส่ร้ายข้าเกินไป”

เขากล่าวต่อด้วยความรู้สึกที่ไม่สบอารมณ์นัก

เฉินเซี่ยวลั่วและโหรวฉิงก็มองหน้ากันเล็กน้อยเพื่อยืนยันว่าโจวปิ่งฮุยคงจะไม่ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ

“ผู้นำโจว เราอาจเข้าใจท่านผิดไป อย่างไรก็ตาม ต่อให้ท่านปฏิเสธเฝิงรุ่ยเฉิงไป มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีผู้ใดในตระกูลโจวที่คิดร่วมมือกับเขา ท่านลองถามผู้อาวุโสของตระกูลโจวดูเถอะว่าเขามีความสัมพันธ์ใดกับตระกูลเฝิงรึไม่และพวกเขามีการตกลงร่วมมืออะไรอยู่รึไม่”

โหรวฉิงกล่าวเตือนสติโจวปิ่งฮุยอย่างใจเย็นและคิดว่าผู้นำตระกูลโจวบริหารจัดการกับตระกูลของตนเองไม่ดีพอ การที่ปล่อยให้โจวเฉียนทำอะไรลับหลังตนเองได้เช่นนี้ ตำแหน่งผู้นำตระกูลโจวคงจะไม่เป็นที่เคารพนับถือเท่าไหร่นัก

“โจวเฉียน…จะต้องเป็นเขาแน่ !”

โจวปิ่งฮุยไม่สงสัยในวาจาของเฉินเซี่ยวลั่วและโหรวฉิงแม้แต่น้อย ทั้งสองมิใช่คนที่จะหาเรื่องปรักปรำใส่ร้ายผู้อื่นโดยที่ไร้มูลเท็จและพลังอำนาจของทั้งสองตระกูลก็เหนือชั้นกว่าตระกูลโจวของเขามากนัก ไม่มีความจำเป็นที่ผู้นำของทั้งสองตระกูลใหญ่จะต้องโกหกเขาอย่างแน่นอน

“โหรวรั่ว พาคนพวกนั้นออกมา”

โหรวฉิงกล่าวพร้อมขยิบตาส่งสัญญาณให้กับโหรวรั่วเพื่อให้เขาพาตัวเฝิงต้าเป่าและคนอื่น ๆ ออกมา

ก่อนกลับออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายในดินแดนลับ เพื่อป้องกันมิให้คนนอกค้นพบ พวกเขาจึงเตรียมความพร้อมด้วยการเปลี่ยนรูปลักษณ์ของคนเหล่านี้ให้ต่างไปจากเดิมเล็กน้อย

เฝิงรุ่ยเฉิงเกิดความหวั่นใจขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะไม่เห็นศิษย์ของตระกูลเฝิง ทว่าเขาก็ไม่กล้าเอ่ยถามสิ่งใด แท้ที่จริงแล้วเฝิงต้าเป่าและคนอื่น ๆ ก็ถูกควบคุมตัวไว้นี่เอง

โหรวรั่วพยักศีรษะตอบรับ หลังจากนั้นเขาก็นำตัวเฝิงต้าเป่าและสมาชิกตระกูลเฝิงคนอื่น ๆ รวมถึงสมาชิกตระกูลโจวที่ร่วมแผนการชั่วร้ายออกมา

“ท่านเจ้าเมือง ตระกูลเฝิงและผู้อาวุโสตระกูลโจววางแผนการชั่วร้ายร่วมกันและใช้ยาพิษเพื่อทำให้พวกเราสูญเสียพลังมายาทั้งหมดเป็นการชั่วคราว หากมิใช่เพราะความแข็งแกร่งอันน่าทึ่งของแม่นางอวี้โม่ เกรงว่าพวกเราอาจตายไปแล้ว ท่านคิดว่าควรจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดีขอรับ ?”

ซ่างจู๋มู่เดินตรงไปหาจ้าวเหลียงและคนอื่น ๆ พร้อมพยักศีรษะให้กับฉินอวี้โม่และกล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อหน้าทุกคน

“ถูกต้อง แม้ท้ายที่สุดแล้วพวกเราจะไม่ได้รับอันตราย ทว่าเราก็ไม่พอใจอย่างที่สุด คนจากทั้งสองตระกูลใช้แผนการที่สกปรกและชั่วร้ายเกินไป วันนี้เราจะต้องคิดบัญชีให้ได้”

เฉินหยางชั่วตามเข้ามาอย่างใกล้ชิดและกล่าวในฐานะตัวแทนของตระกูลเฉิน หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่ พวกเขาคงถูกกำจัดไปแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลเฝิงและตระกูลโจวจะถือโอกาสนั้นเพื่อเจริญรุ่งเรืองขึ้นและพวกเขาทั้งสามตระกูลจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก

“ไปเรียกโจวเฉียนมาเดี๋ยวนี้ !”

ใบหน้าของโจวปิ่งฮุยเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินวาจาของศิษย์ตระกูลใหญ่ที่ออกมาจากดินแดนลับ เขาหันไปสั่งให้คนของตนเองเรียกโจวเฉียนมาที่ลานจัตุรัสทันที

เขาไม่ทราบถึงแผนการเหล่านี้แม้แต่น้อยและไม่คิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น ไม่คิดเลยว่าโจวเฉียนจะกล้าปิดบังเรื่องนี้และแอบร่วมมือกับตระกูลเฝิงลับหลังเขาเพื่อวางแผนกำจัดสามตระกูลใหญ่

วันนี้หากไม่ได้จัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสม ตระกูลโจวของพวกเขาคงจบสิ้นเป็นแน่

“ผู้นำของทั้งสามตระกูล ท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ ข้าไม่ทราบเรื่องนี้เลยจริง ๆ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อตระกูลโจวของเรามีส่วนร่วมในแผนการชั่วร้ายนี้ ข้าก็จะรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น โจวเฉียนและโจวหังรุ่ย…ข้าจะปล่อยให้ทุกคนจัดการได้ตามต้องการ สำหรับคนอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วม ข้าก็จะขับไล่ออกจากตระกูลโจวทันที ส่วนความเดือดร้อนที่ทุกท่านต้องเผชิญ ข้าจะหาทางชดเชยอย่างเหมาะสมและหวังว่าทุกท่านจะเข้าใจได้”

โจวปิ่งฮุยกล่าวด้วยความจริงใจอย่างที่สุด เดิมทีเขาก็เป็นคนที่มักจะยืดหดและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงไม่รู้สึกแย่กับการกล่าวขอโทษเช่นนี้ หากเทียบกับการอยู่รอดของตระกูลโจว คำขอโทษต่อฉินอวี้โม่และผู้นำตระกูลทั้งสามมิใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรง ต่อให้ต้องสูญเสียสมบัติความมั่งคั่งของตระกูลไปครึ่งหนึ่ง ตราบใดที่ตระกูลโจวยังดำรงอยู่ต่อไปได้ มันก็ถือว่าคุ้มค่า

เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะต้องปฏิรูปแก้ไขตระกูลโจวใหม่และกำจัดแกะดำตัวร้ายในตระกูลไปให้หมดสิ้น

“ข้าคาดเดาไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าผู้นำตระกูลโจวคงจะไม่ทราบเรื่องนี้ ในเมื่อท่านผู้นำไม่รู้เห็นจริง ๆ ข้าก็ไม่ติดใจสิ่งใด อย่างไรก็ตาม ข้าสังหารโจวหังรุ่ยไปในดินแดนลับแล้วและไม่มีทางที่เขาจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีก หวังว่าผู้นำโจวจะไม่ถือสากับเรื่องนี้”

ฉินอวี้โม่เหาะเข้าไปหาโจวปิ่งฮุยและกล่าวตามความจริง

“ข้าจะถือโทษโกรธเคืองได้อย่างไร…เขาคิดร้ายและพยายามเล่นงานท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การตายของเขาไม่น่าเห็นใจเลยสักนิด รอให้โจวเฉียนมาที่นี่ก่อนและข้าจะปล่อยให้ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่จัดการกับเขาตามที่เห็นสมควร ตระกูลโจวของเราจะไม่คัดค้านสิ่งใดทั้งสิ้น”

โจวปิ่งฮุยกล่าวด้วยแววตาจริงใจและรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย แม้ฉินอวี้โม่มิใช่ตัวแทนความคิดของทั้งสามตระกูลใหญ่ ตราบใดที่นางไม่คิดติดใจ ทั้งสามตระกูลก็คงไม่ติดใจเช่นกัน อย่างมากเขาก็เพียงต้องชดเชยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งยังเป็นสิ่งที่เขาสามารถทำได้

“ในเมื่อผู้นำโจวแสดงความจริงใจเช่นนี้ พวกเราก็จะไม่ถือโทษใด ๆ เราเพียงหวังว่าผู้นำโจวจะจัดการดูแลตระกูลโจวให้ดีเพื่อมิให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต มิฉะนั้นเมืองเทียนหยวนแห่งนี้ของเราอาจไม่มีพื้นที่รองรับตระกูลโจวอีก”

ซ่างสี่ซานกล่าวแสดงความคิดของตนซึ่งเป็นความคิดแบบเดียวกับเฉินเซี่ยวลั่วและโหรวฉิง

“ขอบคุณสหายซ่าง”

เวลานี้โจวปิ่งฮุยก็โล่งใจได้อย่างเต็มที่ขณะรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าและไม่กังวลอีกต่อไป

“เฝิงรุ่ยเฉิง แล้วตระกูลเฝิงของเจ้าล่ะ ?”

เฉินเซี่ยวลั่วกล่าวขึ้นมาอย่างเยือกเย็นในขณะที่สายตาของทุกคนหันไปมองเฝิงรุ่ยเฉิงเป็นตาเดียว

“เหอะ ตลกสิ้นดี บางทีอาจเป็นพวกเจ้าทั้งสามตระกูลเองที่คิดร่วมมือกับฉินอวี้โม่เพื่อจัดการกับตระกูลเฝิงของเรา ทว่ากลับคิดใส่ร้ายว่าตระกูลเฝิงของเราวางแผนชั่วร้ายเช่นนั้นไว้”

เฝิงรุ่ยเฉิงไม่คิดยอมรับและแสยะพร้อมกล่าวต่อไป “พวกเจ้าพร่ำบอกว่าตระกูลเฝิงและตระกูลโจวร่วมมือกันเพื่อจัดการกับทุกคน ทว่ามีหลักฐานอะไรอย่างนั้นรึ ? อีกอย่าง..ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ก็ไม่มากเท่ากับซ่างจู๋มู่ด้วยซ้ำ หากข้ามียาพิษที่ร้ายแรงอย่างที่ว่าจริง นางจะรอดออกมาได้อย่างไร ? ข้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องโกหกที่พวกเจ้าทั้งสามตระกูลแต่งขึ้นมาเพื่อหาทางกำจัดตระกูลเฝิงของข้ามากกว่า”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็หันไปมองจ้าวเหลียงและกล่าว “ท่านเจ้าเมือง ท่านจะต้องให้ความเป็นธรรมกับตระกูลเฝิงของเรา !”

ในเวลานี้จุดลมปราณของเฝิงต้าเป่าและคนอื่น ๆ ก็ถูกคลายออกแล้วและสามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ เมื่อได้ยินวาจาของเฝิงรุ่ยเฉิง พวกเขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าควรทำอย่างไรขณะเดินตรงไปหาเฝิงรุ่ยเฉิงทีละคนและมองจ้าวเหลียงด้วยแววตาไม่พอใจก่อนกล่าวอย่างพร้อมเพรียง “ท่านเจ้าเมือง เป็นพวกเขาต่างหากที่ร่วมมือกันเพื่อจัดการกับพวกเราตระกูลเฝิง พวกเขาฆ่าโจวหังรุ่ยและใส่ร้ายว่าเป็นแผนการของพวกเรา ท่านเจ้าเมืองจะต้องทวงความเป็นธรรมให้กับพวกเราด้วยนะขอรับ”

ตอนนี้มีเพียงการปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาเท่านั้นที่จะรักษาตระกูลเฝิงไว้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนในโลกภายนอกก็ไม่มีทางทราบความจริงที่เกิดขึ้นในดินแดนลับได้และคนจากสามตระกูลก็ไม่มีหลักฐานใดมากพอที่จะทำให้จ้าวเหลียงใช้จัดการกับตระกูลเฝิงของพวกเขาได้เช่นกัน