ตอนที่ 588 จิ้งจอก

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ฟ่านอิงหันไปมองดูนางแวบหนึ่ง แววตาที่อยู่หลังหมอกสีดำมีแต่แสงของความสับสน 

 

 

“ชาวสวรรค์นั้นอันตรายมาก เจ้าสมควรอยู่ให้ห่างเข้าไว้” เนิ่นนาน เขาถึงได้เอ่ยเตือนออกมาประโยคหนึ่ง 

 

 

“ท่านตารู้จักชาวสวรรค์หรือเจ้าคะ?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ข้างกายตู๋กูเจวี๋ย นางสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆหลายต่อหลายครั้ง จึงค่อยสงบลงได้ 

 

 

คำถามของนาง ได้รับแต่เพียงความเงียบงันจากฟ่านอิงเป็นคำตอบ เขากำลังกังวล กำลังชั่งน้ำหนัก 

 

 

……… 

 

 

บนเกาะลอยฟ้า ก่อนที่ตู๋กูซิงหลันจะกลับไปที่ห้องของตนเอง 

 

 

สายลมพัดเข้ามาทางหน้าต่าง กลิ่นหอมของสุรากุ้ยฮวาภายในห้องจึงอ่อนจางลงไปบางส่วน 

 

 

ท่านเจ้าสำนักซบอยู่บนโต๊ะ ขนตาของเขาทั้งงอนยาวและหนาเป็นแพ แต่ละเส้นล้วนชัดเจน แสงจันทร์จากนอกหน้าต่างทอทาบลงมาบนใบหน้าของเขา ทิ้งเงาสีดำเข้มเอาไว้ใต้แพขนตา 

 

 

ยามนี้เหล้าในจอกก็ยังคงหยดติ๋งๆออกมา เหล้าหยดเปื้อนติดปลายนิ้วของเขา 

 

 

บนเกาะลอยฟ้า มีแต่กลิ่นหอมของดอกไม้ แต่ว่าในตอนนี้ ท่ามกลางกลิ่นดอกไม้เหล่านั้น กลับมีกลิ่นของบางสิ่งบางอย่างปะปนอยู่ด้วย 

 

 

“ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นอยู่” 

 

 

ที่นอกหน้าต่าง มีเงาร่างในชุดสีแดงร่างหนึ่ง แขนเสื้อของเขาโบกสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลมแรง เป่าจนแม้กระทั่งเส้นผมก็ยังเริงระบำขึ้นมา 

 

 

น้ำเสียงของเขาคล้ายจะเกียจคร้านและเย้ายวน 

 

 

รูปโฉมของเขาก็หมดจดงดงามราวกับว่าปั้นขึ้นมาจากน้ำอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

หากว่าท่านเจ้าสำนักรูปโฉมหล่อเหลางดงามดุจภูติผี คุณชายในชุดสีแดงผู้นี้ก็ดูบริสุทธิ์งดงาม เย้ายวนราวกับเป็นปีศาจ 

 

 

รอบกายของเขามีหมอกสีแดงบางๆรายล้อม หมอกสีแดงนี้คล้ายจะมาจากด้านหลังที่มีปลายหางสีแดงทั้งเก้าหางของเขา 

 

 

เส้นผมของราวสะอาดราวหิมะ ส่องประกายงดงามอยู่ใต้แสงจันทร์ 

 

 

เส้นผมเช่นนี้ ทั้งเล็กบางและนุ่มนวลดุจเส้นไหม ยามสะท้อนแสงจันทร์จึงยิ่งงดงามจนลืมหายใจ 

 

 

แพขนตาของท่านเจ้าสำนักขยับเบาๆ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยลืมขึ้นมาเป็นเส้นบางๆ แสงจันทร์ที่ส่องลงมาเข้าสู่นัยตาของเขากลายเป็นแสงสะท้อนเย็นเฉียบราวจันทรากลางฤดูหนาว 

 

 

ดวงหน้าที่งดงามของเขาแดงระเรื่อเพราะพิษเหล้า ริมฝีปากก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ แม้แต่น้ำเสียงก็แฝงความเมามายอยู่หลายส่วน “จิ้งจอก….พวกขี้อ่อย” 

 

 

อ่อยที่ท่านเจ้าสำนักหมายถึง มาจากกลิ่นในร่างกายของเขา ที่จริงกลิ่นนั้นอ่อนจางมาก หากเป็นคนทั่วไปได้กลิ่นก็จะรู้สึกว่าเป็นกลิ่นหอมชนิดหนึ่ง ราวกับมีกลิ่นกุหลาบปนอยู่จางๆ 

 

 

แต่เพราะจมูกของท่านเจ้าสำนักว่องไวจนเกินไป จึงได้รู้สึกว่ากลิ่นพิเศษนี้เป็นกลิ่นของพวกจิ้งจอก 

 

 

คุณชายในชุดแดงผู้นั้นพลิ้วมาในสายลม ในมือยังประคองบุปผาวิญญาณจิ่วโจวสีแดงอมทองดอกใหญ่ดอกหนึ่งมาด้วย ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นเหลือบมองดูเขาเล็กน้อย 

 

 

“เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วจริงๆหรือ?” 

 

 

ว่าแล้วเขาก็เอ่ยอีกสองคำ “ซื่อมั่ว” 

 

 

ท่านเจ้าสำนักลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ ดวงตาที่ตอนแรกเปิดเพียงครึ่งเดียว ยามนี้ค่อยลืมตาอย่างเต็มที่ พลางหันไปมองดูคุณชายชุดแดงที่อยู่นอกหน้าต่างอย่างเต็มตา 

 

 

กลีบดอกไห่ถางที่หล่นลงมาเกาอยู่บนเส้นผมและบ่าของเขา 

 

 

หากมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก คุณชายชุดแดงผู้นี้จัดว่าอยู่ในประเภทเดียวกับศิษย์น้อย เป็นพวกหน้าตาดีที่มองดูแล้วสบายตา 

 

 

แต่ว่าเขาไม่ชอบกลิ่นบนร่างของจิ้งจอกผู้นี้ และยิ่งไม่ชอบที่คนผู้นี้สวมใส่ชุดสีแดงเพลิงตลอดร่าง ราวกับว่าต้องการจะมาจับคู่กับศิษย์น้อยของเขา 

 

 

เขาไม่ได้รีบร้อนปฏิเสธ เพียงทอดสายตามองไปยังร่างของคุณชายชุดสีแดงชนิดหัวจรดเท้ารอบหนึ่ง จากนั้นค่อยๆหันคืนมาช้าๆ 

 

 

เขาแน่ใจว่าตนเองไม่เคยเห็น และไม่รู้จักคนผู้นี้มาก่อน 

 

 

ครู่หนึ่ง คุณชายชุดแดงผู้นั้นถึงได้เอ่ยปากออกมาว่า “ดูท่า จะจำไม่ได้แล้วจริงๆ….” 

 

 

เขาขยับร่างไปด้านหน้าอีกนิด คนลอยอยู่เหนือหน้าต่างด้านนอก สองมือกอดอกเอาไว้ ในอ้อมแขนกอดบุปผาวิญญาณดอกใหญ่เอาไว้ โน้มเข้ามาหาหน้าต่างอย่างช้าๆ 

 

 

ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นยังมองลึกเข้าไป “ใบหน้านี้ของเจ้า ลอกเลียนมาจากข้าหรือ?” 

 

 

ท่านเจ้าตำหนัก “……” 

 

 

“ตัวเจ้าแต่ก่อนนี้ หน้าตาโบราณคร่ำครึกว่าตอนนี้มากนัก” เขาขำออกมาคำหนึ่ง แววตาที่เหลือบมองมายังคงหยิ่งผยองไม่คลาย 

 

 

“เพราะรู้แล้วว่าอาหลันน่ะชอบข้า เจ้าก็เลยพยายามจะเลียนแบบข้าใช่ไหมเล่า?” 

 

 

ท่านเจ้าสำนักมองดูเขาอย่างละเอียดลออคราหนึ่ง นอกจากริมฝีปากของทั้งคู่ที่เป็นสีแดงเหมือนกันแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่เหมือนกันทั้งสิ้น 

 

 

“จะโทษเจ้าก็คงจะไม่ได้ เพราะคนที่นางชอบมากที่สุดก็คือข้า นี่เป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ที่เจ้าอิจฉาข้าก็ใช่ว่าเป็นเรื่องแค่วันสองวันเสียเมื่อไหร่” 

 

 

จิ้งจอกที่เย้ายวนแย้มยิ้มดุจดอกไม้ พลิ้วร่างอย่างผ่อนคลาย บุปผาวิญญาณในมือก็พลอยโยกคลอนไปมา จนกลีบดอกแต่ละชั้นพลิ้วไปมา 

 

 

“จิ้งจอกขี้อ่อย พูดมากน่ารำคาญ” 

 

 

ท่านเจ้าสำนักเพียงนั่งคุกเข่าอยู่ข้างโต๊ะเตี้ย โดยมิได้ลุกขึ้นมา 

 

 

ก่อนหน้านี้เป็นเพราะคิดถึงเรี่องภาพที่ขุ่นมัว ศีรษะจึงปวดร้าวจนระบมไปหมด ทั้งยังดื่มสุรากุ้ยฮวาของจุ้ยเซียนจูไปหนึ่งไหเต็มๆ 

 

 

เหล้านั่นคนธรรมดาดื่มไปหยดเดียวก็ต้องเมาคว่ำแล้ว เหล้าไหหนึ่งเพียงพอจะทำให้ผู้คนเมามายกันทั้งเมือง 

 

 

ส่วนเขาดื่มไปเพียงคนเดียวทั้งไหถึงได้เมา 

 

 

พอถูกสายลมพัดเพียงครั้ง ก็ถูกกลิ่นจิ้งจอกนั่นรมใส่ จนตื่นขึ้นมาแล้วมิใช่หรือ? 

 

 

เจ้าจิ้งจอกตัวนั้นโกรธขึ้นมาแล้ว ขนฟูๆบนหูของมันตั้งชี้ขึ้นมาเกรียวทีเดียว ที่ข้างหูยังมีขนริมหูยาวๆอีกด้วย 

 

 

เขายิงฟันออกมา เผยให้เห็นเขี้ยวจิ้งจอกที่ขาวสะอาด 

 

 

“ไอ้แก่ที่ไม่รู้จักตาย เจ้ายังน่ารังเกียจยิ่งกว่า” 

 

 

เขาแทบอยากจะโผเข้าไปตะปบคนผู้นั้นให้ตายคาที่ 

 

 

ดวงตาจิ้งจอกมองเข้าไปที่ด้านใน  

 

 

ภายในห้องนอกจากท่านเจ้าสำนักแล้ว ก็มีแต่ความว่างเปล่า 

 

 

อาหลันไม่อยู่ เรื่องนี้เขารู้แต่แรกแล้ว ถึงแม้ว่าจะคิดถึงนางมาก แต่ว่าที่มาในคืนนี้ไม่ใช่เพื่อจะมาเจอนาง 

 

 

ช่วงเวลาที่อาหลันหายตัวไป ตัวเขาเองก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทั้งไม่อาจเล่าในรายละเอียด 

 

 

บุปผาวิญญาณนี้ ก็เป็นสิ่งที่เขามอบให้กับนาง 

 

 

ท่านเจ้าสำนักเองก็สังเกตเห็นดอกไม้ในอ้อมแขนของเขาแล้ว 

 

 

ว่ากันตามธรรมดาแล้ว ดอกไม้ที่ล้ำค่ามากเช่นนี้ สมควรปลูกอยู่ในกระถางด้วยความระมัดระวัง แต่บุปผาวิญญาณที่เขานำมานั้นถูกตัดแล้ว ต้องใช้พลังวิญญาณหล่อเลี้ยง 

 

 

“เจ้าก็คือเจ้าของสวนดอกไม้ผู้นั้น จิ้งจอกของเผ่าปีศาจ” 

 

 

ท่านเจ้าสำนักนั่งอย่าผ่าเผย “เข้ามาพูดคุยกับข้าดีๆ” 

 

 

เจ้าจิ้งจอกถึงกับหัวเราะออกมา “ข้ากับไอ้แก่ไม่ยอมตายอย่างเจ้ามีอะไรต้องพูดกัน? ตายหรือก็ตายไปแล้วยังจะลุกขึ้นมาได้อีก ทำไมไม่ตายๆให้จบๆไป ช่างน่ารำคาญ” 

 

 

ท่านเจ้าสำนักฟังทุกคำพูดของเขาทุกถ้อยคำ 

 

 

เขายกไหสุราบนโต๊ะขึ้นมา เขย่าเบาๆในมือ ไหสุราใบนั้นก็มีสุราเพิ่มขึ้นมาอย่างน่าประหลาด 

 

 

“ข้ามีเรื่องที่คิดอยากจะถามเจ้า กลัวขึ้นมาแล้วรึ ถึงได้ไม่กล้าเข้ามา?” 

 

 

เจ้าจิ้งจอกหรี่ดวงตาลง แม้แต่นัยตาก็หดตัว กลายเป็นเส้นแนวตั้งขึ้นมา 

 

 

ครู่หนึ่ง เขาก็ใช้มือข้างหนึ่งถือบุปผาวิญญาณเอาไว้ สะกิดปลายเท้าพลิกตัวข้ามหน้าต่างเข้ามา 

 

 

ร่างในชุดสีแดงเพลิง ร่อนลงตรงหน้าท่านเจ้าสำนักอย่างช้าๆ 

 

 

“นั่งสิ” 

 

 

ท่านเจ้าสำนักชี้ไปทางเบาะอ่อนที่วางอยู่บนพื้น 

 

 

ไม่ต้องให้เขาบอก เจ้าจิ้งจอกก็นั่งลงเอง 

 

 

เขาไม่สนใจท่าเจ้าสำนักที่วางท่าสง่าผ่าเผย นั่งหลังตรงดุจนักรบ ตนเองกลับเลือกนั่งไขว้ขาอย่างสบายสบาย ตามอำเภอใจ 

 

 

หมอกสีแดงที่กำจายออกมาจากหางทั้งเก้าด้านหลังก็มิได้จางหายไป ยังคงกำจายออกมาทั้งซ้ายและขวา 

 

 

สายลมยามค่ำพัดโชยเข้ามา เป่าจนเส้นผมของท่านเจ้าสำนักพลิ้วขึ้นไป 

 

 

ดวงหน้าที่หล่อเหลาและหมดจดงดงามเปิดเผยอยู่ตรงหน้าอย่างไร้สิ่งใดปิดบัง แม้แต่เจ้าจิ้งจอกยังอดไม่ได้ที่จะมองดูอยู่หลายครั้ง 

 

 

เขาคงต้องยอมรับ ว่านี่เป็นใบหน้าที่งดงามมากจริงๆ 

 

 

อืม จะว่าไปแล้ว ไอ้แก่ที่ไม่ยอมตายผู้นี้นับว่ายังพอใช้ได้อยู่บ้าง อย่างน้อยๆก็รู้จักยอมรับว่าเขาหน้าตาดี จากที่แต่ก่อนเอาแต่ว่างท่าทำตัวว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นมีเสน่ห์เย้ายวนขึ้นมาแล้ว 

 

 

…………………………