ตอนที่ 589 ศิษย์น้อยชมชอบผู้ใด?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ถ้าเป็นเรื่องของรูปลักษณ์ ท่านเจ้าสำนักดูเหมือนจะยอมรับเจ้าจิ้งจอกอยู่ในที 

 

 

เขาคอยหรี่ตามองดูอีกฝ่ายอยู่เสมอ 

 

 

“ดื่มสิ” ท่านเจ้าสำนักเทสุราลงมาจอกหนึ่ง ปัดเบาๆจอกสุรานั้นก็ไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าจิ้งจอก 

 

 

“ตระกูลซูของข้า ไม่ดื่มสุรา” เจ้าจิ้งจอกไม่แม้แต่จะมองดู ตั้งแต่ต้นจนจบเอาแต่จ้องมาที่เขา “เจ้าไม่จำเป็นจะต้องมอมเหล้าข้า อยากรู้อะไร ข้าจะบอกเจ้าเอง” 

 

 

เปิดอกคุยกันตรงๆ จึงจะเป็นรูปแบบของเขา 

 

 

เขาไม่ชอบการพูดจาอ้อมค้อมวกวนไปมา 

 

 

ท่านเจ้าสำนักไม่เปลี่ยนสีหน้า ข้างแก้มยังคงมีสีแดงระเรื่อ 

 

 

“มีตระกูลซูด้วย….” เขาทบทวนแซ่นี้เบาๆ “ข้าเคยได้ยินว่าพวกจิ้งจอกล้วนมาจากชิงชิว[1]และถูซาน[2]เป็นหลัก ไม่เคยได้ยินแซ่ซูมาก่อน” 

 

 

อยู่ในดินแดนจิ่วโจวมานานถึงครึ่งปีแล้ว กับเรื่องของเผ่ามารและปีศาจต่างๆจะมากจะน้อยเขาก็พอจะรู้มาอยู่บ้าง 

 

 

เพียงแต่ยามปกติมิได้ใส่ใจเท่าไร 

 

 

เจ้าจิ้งจอกถึงกับกรอกตามองบน เอ่ยเสียงเย็นว่า “สายตระกูลลึกลับที่มีอยู่มาแต่โบราณ ซุกงำประกายอยู่เสมอ ลูกหลานสายตระกูลซูมีแต่คนงาม พี่สาวของข้าคือพระสนมต๋าจี่ รู้จักหรือไม่?” 

 

 

“ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” ท่านเจ้าสำนักแกว่งจอกสุราเบาๆ น้ำสุราในจอกกระทบแสงจันทร์เป็นประกยระยิบระยับ 

 

 

เจ้าจิ้งจอก “……” ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่งดงามเย้ายวนไปแล้ว แต่ยามที่พูดคุย คนผู้นี้ก็ยังสามารถยั่วโทสะผู้อื่นได้อยู่ดี 

 

 

“สรุปว่า ตระกูลซูของข้านอกจากจะเป็นสายตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าปีศาจแล้ว ยังเป็นเผ่าปีศาจที่งดงามที่สุดอีกด้วย เจ้ารู้แค่นี้ก็พอแล้ว” ปลายนิ้วของท่านเจ้าสำนักกระตุกน้อยๆ เขายักคิ้วขึ้นมา ในดวงตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยประกายจากแสงจันทร์ “งดงามเหมือนศิษย์น้อยหรือ?” 

 

 

เจ้าจิ้งจอกชะงักไปเล็กน้อย ในอ้อมแขนของเขายังคงตระกองกอดบุปผาวิญญาณเอาไว้ พักใหญ่ค่อยตอบว่า “งดงามคนละแบบกัน” 

 

 

คนหนึ่งคือผู้ที่งดงามที่สุดในเผ่าปีศาจ อีกคนคือคนที่งดงามที่สุดในใจของเขา นั่นย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว 

 

 

ยังดีที่ท่านเจ้าสำนักมิได้สนใจในตระกูลซูของเขาเท่าไรนัก ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายหันเหหัวข้อสนทนา 

 

 

“ซื่อมั่ว คืออาจารย์ในอีกดินแดนหนึ่งของศิษย์น้อย” 

 

 

เขาเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาสั้นๆด้วยความมั่นใจ และตรงประเด็น 

 

 

ถึงแม้ว่าชื่อของซื่อมั่วที่เอ่ยออกมาจากปากของศิษย์จะไม่บ่อยครั้งเท่าชื่อของจีเฉวียน 

 

 

แต่เขาก็เชื่อว่า ซื่อมั่วผู้นี้เป็นคนสำคัญสำหรับศิษย์น้อยอย่างยิ่ง 

 

 

พอได้ยินเขาเอ่ยขึ้นมา เจ้าจิ้งจอกก็หรี่ตาลงอีกครั้ง พลางหัวเราะออกมาอย่างเ**้ยมเกรียมอยู่บ้าง 

 

 

“ใช่แล้ว เขายังเป็น….” 

 

 

พอพูดถึงตรงนี้ เจ้าจิ้งจอกก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ในแววตาปรากฏแสงเย็นยะเยือกที่เข้มข้นขึ้นมา ร่างท่อนบนของเขาโน้มเขาไป ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นจ้องเขม็งไปที่ท่านเจ้าสำนัก 

 

 

หางจิ้งจอกสีแดงทั้งเก้าเส้นเคลื่อนไหวอย่างคึกคักและรวดเร็ว 

 

 

“เป็นคู่แค้นที่สังหารข้าอีกด้วย….”   

 

 

พลังที่พวยพุ่งออกมาจากร่างกำจายออกมาจนเป่าเสื้อผ้าและเส้นผมของท่านเจ้าสำนักพลิ้วออกไปด้านหลัง 

 

 

แต่ว่าตัวเขาก็ยังคงนั่งนิ่งอย่างผ่าเผย แม้แต่ขนตาก็ไม่กระพริบ 

 

 

เพียงเอ่ยอย่างเอาเหตุเอาผลว่า “เจ้าเป็นบุรุษที่เหมือนกับสตรี นิสัยก็ออดอ้อนออเซาะ ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าขัดนัยตา” 

 

 

เจ้าจิ้งจอกเงียบไปครู่หนึ่ง  “ข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังด่าข้า” 

 

 

ท่านเจ้าสำนัก “จิ้งจอกขี้อ่อย อย่าได้คิดว่าเป็นความรู้สึก มันใช่อยู่แล้ว” 

 

 

เจ้าจิ้งจอกที่งดงามและเย้ายวนถึงกับพูดไม่ออก หมัดของเขาส่งเสียงดังกรอบแกรบออกมา 

 

 

แทบจะอยากยกหมัดชกใส่คนผู้นี้สักครั้งในทันที ต่อยมันให้ตายไปเลย! 

 

 

แต่พอคิดถึงคนผู้นั้น ก็ได้แต่สะกดอารมณ์ ลงไปก่อน 

 

 

“เห็นแก่อาหลัน ข้าจะไม่ถือสาเอาความกับเจ้า แต่ว่าเรื่องที่ตอนนั้นเจ้าทำให้ข้าต้องพบความทุกข์จากการตาย วันนี้เจ้าจะต้องได้รับผลตอนแทนนับสิบเท่า!” 

 

 

เจ้าจิ้งจอกพูดแล้วก็มองดูเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “ยังมี ข้าเรียกว่า ซูเยา” 

 

 

เขาไม่ชอบให้มาเรียกว่าจิ้งจอกขี้อ่อยอะไรนั่น เพราะว่าเขาไม่ได้อ่อยใครสักหน่อย หากว่าเขาอ่อยได้สำเร็จ ไหนเลยอาหลันจะยังมีบุรุษอื่นในหัวใจได้อีก? 

 

 

“ซูเยา….” ท่านเจ้าสำนักทวนชื่อของเขาช้าๆ พลางส่ายศีรษะ “ชื่อของเจ้านี้ ยังไม่น่าฟังเท่ากับ จีต้าฉุยของข้า” 

 

 

ซูเยา “….” 

 

 

ไม่ถูกแล้ว เมื่อครู่ตอนที่ปีศาจน้อยมารายงานเขา ยังบอกว่าเมื่อกลางวันนี้เจ้านี้ประกาศออกมาว่าตนเองมีนามว่า ตู๋กูต้าฉุย ทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นจีต้าฉุยเสียแล้วละ? 

 

 

แล้วชื่อนี้พอได้ยินแล้ว ทำไมมันถึงได้รู้สึกแปลกอย่างไรก็ไม่รู้ 

 

 

ว่าแล้ว ท่านเจ้าสำนักก็ใคร่ครวญอย่างจริงจังครู่หนึ่ง “ที่จริงแล้ว ศิษย์ของข้ามีพรสวรรค์ในการตั้งชื่อระดับปรมาจารย์ เอาไว้วันไหนให้นางตั้งชื่อให้กับเจ้าใหม่ ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นบุรุษที่ดูเหมือนสตรี แต่ก็ยังนับว่าเข้าตาอยู่บ้าง ชื่อนี้ไม่เหมาะกับเจ้าเท่าไหร่” 

 

 

ซูเยาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าวิธีการเลือกประเด็นหลักของเขาจะแปลกประหลาดเช่นนี้ 

 

 

ไม่เพียงไม่ได้ถามเรื่องของซื่อมั่ว หรือว่าเรื่องของตนให้มากๆ กลับเอาแต่สนใจเรื่องชื่อ มีอะไรสนุกนักหรือ? 

 

 

“อ้อจริงสิ ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่าข้าก็คือซื่อมั่ว?” วิชาอ่านใจของท่านเจ้าสำนักย่อมไร้เทียมทานอยู่แล้ว 

 

 

สายตาของซูเยาเข้มข้นขึ้นมา ขณะที่กำลังจะพูดออกไป ก็ได้ยินท่านเจ้าสำนักเอ่ยอีกว่า “ศิษย์น้อยกับเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนต่างก็คิดว่าข้าคือจีเฉวียน เช่นนั้นเจ้าลองบอกมาซิ ว่าข้าคือผู้ใดกันแน่?” 

 

 

เขาคือใครกันแน่ คำถามนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน 

 

 

แต่เพราะว่าในสมองตอนนี้อยู่ก็เกิดมีภาพความทรงจำที่พร่ามัว ทำให้เขาเกือบจะเชื่อว่าตนเองคือจีเฉวียนไปแล้ว 

 

 

แต่พออยู่ๆเจ้าจิ้งจอกเก้าหางตัวนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมา และบอกว่าเขาคือซื่อมัว 

 

 

เขารู้จักวิชาอ่านใจ ทั้งยังรู้ว่าเจ้าจิ้งจอกนี่พูดแต่ความจริง 

 

 

“ตอนนั้นเจ้าเหวี่ยงข้าลงไปในวงล้อวัฏสงสาร ทำให้ข้าต้องสูญเสียความทรงจำ และร่างที่แท้จริง ต้องเป็นชายแต่งหญิงอยู่ในต้าโจวหลายต่อหลายปี รับความทุกข์ยากมากมาย ต่อให้เจ้ากลายเป็นขี้เถ้า ข้าก็ยังจดจำเจ้าได้” 

 

 

ซูเยาเอ่ยอย่างมั่นใจ ตอนที่เกิดระเบิดครั้งใหญ่ที่ก้นทะเลนั้น ความทรงจำทั้งหมดของเขาก็ฟื้นคืนมา พร้อมกับความความจำเรื่องชาติที่แล้วด้วย 

 

 

หลังจากนั้น ก็มีคนในตระกูลซูมาตามหาเขา พาเขากลับไปยังสถานที่ที่ควรจะอยู่ 

 

 

แต่ตลอดระยะเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยหยุดตามหาอาหลันเลย 

 

 

และในที่สุด ก็ตามหานางจนเจอแล้ว 

 

 

แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าไปเจอกับนางโดยง่าย ….ตัวเขาในตอนนี้ กลายเป็นปีศาจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไปแล้ว 

 

 

และนางก็คือยอดปรามาจารย์คุณไสยที่ปราบปรามเหล่าภูติผีปีศาจ เขาและนางยืนอยู่กันคนละขั้วแต่แรกแล้ว 

 

 

สิ่งที่เขาสามารถทำได้เพื่อนาง ก็คือนำผู้คนที่นางให้ความสำคัญกลับคืนสู่ข้างกายของนาง 

 

 

ถึงแม้ว่า เขาจะเกลียดเจ้าคนผู้นี้อย่างที่สุด 

 

 

แต่ว่าของเพียงเป็นสิ่งที่อาหลันชอบ สำหรับเขาแล้ว ก็มีแต่จะสนับสนุนเท่านั้น 

 

 

พี่สาวเคยหัวเราะเยาะเขา ว่าเขามันชอบเป็นตัวสำรอง 

 

 

แต่ว่าตัวสำรองก็มีข้อดีของตัวสำรองมิใช่หรือ? 

 

 

การรักชอบคนผู้หนึ่ง ก็คือการมีนางอยู่ในหัวใจ เมื่อได้เห็นนางมีความสุข ตนเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย 

 

 

เขาไม่เคยคิดจะบีบบังคับแย่งชิงมาก่อนเลย 

 

 

พอท่านเจ้าสำนักได้ยินคำพูดของเขา สมองก็ครุ่นคิดทบทวนดูอยู่ครู่หนึ่ง แต่ว่าก็ไม่มีภาพใดที่เกี่ยวข้องกัน 

 

 

พอศิษย์น้อยไม่อยู่ข้างกาย สมองของเขาก็เหมือนจะแจ่มใสขึ้นมามาก 

 

 

ความเจ็บปวดก็เบาลงไปไม่น้อย 

 

 

เห็นเขาไม่พูดอะไร ซูเยาก็วางบุปผาวิญญาณลงไปบนโต๊ะเตี้ย “ดอกไม้ดอกนี้มอบให้อาหลัน อย่าได้บอกนางว่าข้าหมอบให้” 

 

 

ท่านเจ้าสำนัก “ตัวสำรองคืออะไร?” 

 

 

 ซูเยา “! ! !” 

 

 

เขาอยากจะต่อยกับคนผู้นี้จริงๆ 

 

 

เจ้ามัน…เจ้าแอบอ่านใจของผู้อื่นได้ก็แล้วไปเถอะ แต่ว่าอย่าได้สาดเกลือลงมาในปากแผลของผู้อื่นได้หรือไม่ นี่มันเท่ากับการเหยียบย่ำจิตใจของผู้อื่นชัดๆ 

 

 

ตัวสำรองก็คือ คนที่ข้ารัก นางไม่ได้รักข้า  แต่ข้าก็ยังยินดีจะเฝ้ารอเฝ้าปกป้องทนุถนอม เป็นสุนัขต่ำต้อยที่เชื่อฟัง พอใจแล้วหรือไม่? 

 

 

พอได้รับคำตอบจากความในใจของเขา ท่านเจ้าสำนักก็ถามกลับไปอีกว่า “แล้วศิษย์น้อยชมชอบผู้ใดกัน? ซื่อมั่ว จีเฉวียน หรือว่าตัวข้า?” 

 

 

………………… 

 

 

  

 

 

[1] 青丘 ชิงชิว :ชื่อดินแดนในแผนที่ของเผ่นดินจีนยุคโบราณ ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตซานตงของจีน ได้ชื่อว่ามีอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี (มีแต่ฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง) 

 

 

[2] 涂山หุบเขาถูซาน:หุบเขาโบราณที่ถูกอ้างอิงอยู่ในแผ่นที่โบราณของจีน มีข้อมูลหลายสาย เช่น ตั้งอยู่ในอันหุยเป็นที่อยู่ของชนกลุ่มน้อยเผ่าจิง ซึ่งเป็นชมกลุ่มน้อยที่อพยพมาจากตอนบนของเวียดนามอีกที หรือหุบเขาในเจียงหนาน, เจ๋อเจียงและฉงชิ่ง