ซูเยาถึงกับต้องขบคิดปัญหาข้อนี้อย่างจริงจัง ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าปัญหาข้อนี้มันมีอะไรๆพิกลอยู่
จิ้งจอกอย่างเขามันช่างน่าสงสารเสียจริงๆ อาหลันไปชอบผู้อื่นที่ไม่ใช่เขา เขายังจะต้องมาช่วยเจ้าพวกนี้ชี้ชัดว่าอาหลันชอบใครอีก อย่างนั้นหรือ?
ถ้าทำเกรงว่าสมองของเขาคงจะมีแต่น้ำแล้ว!
คราวนี้ ซูเยาถึงกับมองด้วยสายตาเย็นยะเยือก พลางเอ่ยออกมาว่า “อยากจะต่อยกันสักหน่อยใช่ไหม?”
ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นปลุกไอสังหารขึ้นมาในทันที
ว่าตามจริงแล้ว เขาก็อยากจะต่อยเจ้าผู้นี้สักรอบหนึ่ง ต่อให้บนร่างของเขาจะต้องมีรอยแผลเป็นสักหลายรอย แต่ก็ถือว่ายังได้ระบายความแค้นออกมา
ตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบัน เนื่องเพราะว่าอาหลันดีต่อเขา คอยอยู่ข้างกายเขาทุกวัน ตกกลางคืนก็นอนด้วยกันบนเตียง ดังนั้นไอ้แก่ที่ไม่ยอมตายซื่อมั่วถึงได้อิจฉาตาร้อน
และเพราะว่าทั้งอิจฉาและริษยาสุดชีวิต ถึงได้จับเขาที่เป็นเพียงจิ้งจอกตัวหนึ่งโยนลงไปในวงล้อวัฏสงสาร
ตอนนั้น เป็นเพราะว่าเขาไม่ทันได้ระมัดระวังตัว หากว่าบังเอิญไปเกิดเป็นวัวเป็นหมาเป็นหมูมิเท่ากับว่าอนาถหนักหรอกหรือ?
ยังโชคดีที่เขามีดาวนำโชคคุ้มครอง ถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ พื้นฐานครอบครัวก็นับว่าไม่เลว อย่างน้อยๆก็ยังเป็นจวนอ๋องแห่งหนึ่ง
แต่ใครเลยจะคิดว่า ยามที่อยู่ในแคว้นต้าโจว เขาจะได้บังเอิญเจอกับอาหลันอีกครั้ง
อย่างน้อยๆก็นับว่า ท่ามกลางการกระทำที่เหมือนไม่ใช่มนุษย์เขาทำกัน ซื่อมั่วยังได้ทำเรื่องที่มีมนุษยธรรมอยู่บ้าง
ซูเยากระพริบขนตาถี่ๆคิดไปถึงช่วงเวลายามที่อยู่ในแคว้นเหยียนกับตู๋กูซิงหลัน มุมปากก็อดที่จะโค้งขึ้นมาน้อยๆไม่ได้
ชาติก่อนเขาได้อยู่ในสวนกุหลาบกลางหุบเขาปีศาจกับนาง ชาตินี้ยามที่อยู่ในวังหลวงของแคว้นเหยียนกับนางเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุด และก็พึงพอใจที่สุดด้วย
เมื่อได้มีวันเวลาเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นความสุขแล้ว
ท่านเจ้าสำนักเห็นเขาประเดี๋ยวก็คิดจะต่อยตีประเดี๋ยวก็ยิ้มออกมา หางจิ้งจอกทั้งเก้าเส้นที่ด้านหลังก็โบกสบัดซ้ายๆขวาๆไม่มีหยุด อยู่ๆเขาก็พลันรู้สึกว่ากำลังถูกท้าทายอยู่
“จิ้งจอกขี้อ่อย สู้ข้าไม่ได้หรอก” ท่านเจ้าสำนักเอ่ยอย่างมีความมั่นใจ
จากนั้นก็ยังเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “ศิษย์น้อยชื่นชอบสิ่งที่มองดูแล้วสวยงามสบายตา หากว่าข้าต่อยเจ้าจนไม่น่าดู นางก็จะไม่พอใจ”
หากว่ากันตามรสนิยมทางสายตาของเด็กน้อย เจ้าตัวที่อยู่ตรงหน้านี้ก็นับว่าสวยงามอยู่เหมือนกัน
ศิษย์น้อยชมชอบทองคำ ชมชอบคนงาม เขาย่อมไม่อาจทำลาย หากว่าเสียโฉมไป ศิษย์น้อยคงจะโกรธขึ้นมา
ซูเยา “…..” คนผู้นี้มีปัญหาจริงๆ!
อะไรคือสบายตา ไม่สบายตา ช่วยพูดให้มันเป็นภาษาคนหน่อยได้ไหม?
มุมปากของเขาแสยะแยกเขี้ยวออกมา จนมองเห็นเขี้ยวจิ้งจอกที่แหลมคม
ท่านเจ้าสำนักเองก็อดทนไม่ไหว ต่อยหมัดออกไปในทันที
ซูเยากำลังคิดจะหลบ แต่พลันเหลือบไปเห็นเงาร่างสีแดงที่พุ่งเข้ามาทางหน้าต่าง
เขารีบเก็บสีหน้าและท่าทางที่ไม่น่าดูอย่างรวดเร็ว นั่งตัวตรงดุจพู่กัน
หมัดนั้นของท่านเจ้าสำนักเองก็พุ่งออกไป ขณะที่เข้าไปใกล้เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งขึ้นมา ก่อนที่หมัดจะสัมผัสกับใบหน้าของซูเยาจึงหยุดลงอย่างกระทันหัน
แม้แต่พลังที่ปล่อยออกมาพร้อมกับหมัดก็ยังดึงกลับไป จนเหลือแต่เพียงเสียงลมเท่านั้น
ท่านเจ้าสำนักทำสีหน้าเย็นชา ดวงตาหงส์เย็นยะเยือกอย่างที่สุด
“คิดจะเล่นตลกกับข้าหรือยังไง?”
ซูเยากลับไม่ยอมตอบเขา ในตอนที่เงาสีแดงพุ่งเข้ามานั้น เขาก็พุ่งตัวเข้าหาหมัด
“ตึ้ง!” ได้ยินเสียงดังลั่น
จากนั้นก็มีเสียงกระดูกหักตามมา
ตอนที่ตู๋กูซิงหลันมาถึงก็ได้เห็นสภาพเช่นนี้เข้าพอดี
จากมุมมองที่นางอยู่ หมัดนั้นเป็นท่านเจ้าสำนักต่อยใส่ใบหน้าของซูเยาอย่างเต็มๆ
นางยังคงแบกพี่รองของตนเองเอาไว้บนบ่า พอเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็พลันตกตะลึงไป
คราวนี้สายตาของนางหันหยุดมองที่ร่างของซูเยา
นางประหลาดใจ ดวงตาก็พลันมีประกายเจิดจ้าขึ้นมา ยังไม่ทันที่นางจะเอ่ยปาก ซูเยาชิงลุกขึ้นมาก่อน จากนั้นก็กุมใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง สาวเท้าตรงมาที่ข้างกายของนาง
“อาหลัน เขาต่อยข้า!”
ดวงตาจิ้งจอกที่เมื่อคู่ยังกลิ้งกลอก ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นน่าสงสาร
“อาหลัน กว่าที่ข้าจะตามหาเจ้าจนเจอนั้นไม่ง่ายเลย เจ้าตัวแสบนี้กลับต่อยข้า จะหลบก็หลบไม่ทัน!”
ซูเยายืนอยู่ข้างกายนาง ชี้นิ้วไปทางท่านเจ้าสำนัก
ท่านเจ้าสำนัก “เมื่อครู่เจ้ายังบอกอยู่เองว่าไม่อยากเจอนาง”
หากว่าเขาจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้าจิ้งจอกขี้อ่อยนี้ต้องการจะปิดบังอาหลัน
ซูเยากระทืบเท้า น้ำเสียงก็เอ่ยอย่างเจ็บช้ำ “อาหลัน เจ้าดูสิ เจ้าตัวแสบนี้คือก้อนหินขวางทางการกลับมาพบกันของพวกเรา!”
ท่านเจ้าสำนัก “ข้าไม่ใช่ตัวแสบ ข้าคือจีต้าฉุย”
ตอนนี้ แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็พูดอะไรไม่ออก
วันนี้ยามกลางวันพอได้เห็นปีศาจสุนัขน้อย เดิมทีนางก็คิดจะเสาะหาพวกปีศาจมาช่วยนางตามหาจิ้งจอกน้อย คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันอย่างรวดเร็วเช่นนี้
ตอนแรกนางก็ดีใจอยู่หรอก แต่เพราะเรื่องของพี่รองที่ถูกพิษไร้ยาถอน ทำให้นางดีใจไม่ออก
ตอนนี้ยังมาเห็นเจ้าจิ้งจอกน้อยกับฉุยซือทะเลาะกันอีกจึงยิ่งไม่ยินดี
อยู่ๆนางก็คิดไปถึงภาพของ เสี่ยวเฉวียนเฉวียนกับซูเยา และท่านอาจารย์กับเจ้าจิ้งจอกน้อย
นับตั้งแต่ที่นางเก็บเจ้าจิ้งจอกน้อยกลับไปเลี้ยงดูที่สวนกุหลาบ ท่านอาจารย์ก็ดูเหมือนจะไม่ชอบมันอย่างมาก
หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นซูเยา และปรากฏตัวขึ้นที่ต้าโจวได้อย่างไร นางก็ยังไม่เข้าใจชัดเจน
แต่ก็รู้สึกได้ว่าระหว่างทั้งสองเหมือนจะมีอะไรที่ไม่ถูกต้องสักอย่าง
ซูเยายังคงร้องไห้กระซิกๆอยู่ที่ข้างกายตู๋กูซิงหลันด้วยท่าทางราวดอกบัวขาวที่เจ็บช้ำเพราะโดนรังแก
แถมใบหน้าที่งดงามนั้นยังได้รับบาดเจ็บ ทำให้คนเห็นแล้วก็ยิ่งรู้สึกสงสาร
“ศิษย์น้อย อาจารย์ไม่ต่อยคน” พอท่านเจ้าสำนักเห็นซูเยาไปออเซาะอยู่ที่ข้างกายศิษย์น้อยของตนเอง ก็พูดโพล่งอธิบายออกมาคำหนึ่ง
ซูเยาหัวเราะเสียงเย็นชา “ จีต้าฉุย เมื่อครู่เจ้าพึ่งจะต่อยข้าไปครั้งหนึ่งจริงๆ”
ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?” ไม่ใช่สิน้องชาย ทำไมเจ้าถึงได้สามารถเรียกเขาว่าจีต้าฉุยได้อย่างคล่องปากขนาดนั้น?
ประเด็นของนางมันผิดเพี้ยนไปหน่อยหรือไม่?
ท่านเจ้าสำนักไม่แม้แต่จะมองดูซูเยาเลยสักนิด เพียงเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “อาจารย์เพียงฆ่าคนเท่านั้น”
ตู๋กูซิงหลัน “! ! !”
ชั่วขณะนั้น นางพลันรู้สึกขึ้นมาว่า ในแววตาของทั้งสองมีประกายไฟพวยพุ่งออกมา
จนตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้ว่าในอากาศมีกลิ่นควันไฟแล้ว
แสงจากแววตาของพวกเขาเอาจริงเอาจังจนถึงขนาดทำให้พี่รองที่สลบไสลจนนางต้องแบกเอาไว้บนหลังร้อนจนแทบจะถูกเผาขึ้นมา
พี่รองทนไม่ไหวจนกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
ทำเอาแผ่นหลังของตู๋กูซิงหลันเปียกชุ่มไปหมด
“น้องเล็ก…..ข้า….”
เขาโบกมือโบกไม้ พูดอะไรไม่ทันได้ใจความ ท่านเจ้าสำนักก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย จับคนหิ้วตัวขึ้นมา
ถึงแม้ว่าตู๋กูเจวี๋ยจะไม่ใช่คนบึกบึน แต่อย่างน้อยๆก็ต้องหนักร้อยสามสิบกว่าชั่ง (ประมาณ 70กิโล)
ตอนนี้กลับถูกเขาหิ้วขึ้นมาราวกับลูกไก่น้อยตัวหนึ่ง
ดวงตาหงส์คู่นั้นกวาดมองดูตู๋กูเจวี๋ยด้วยแววตาเย็นชารอบหนึ่ง
พลางเอ่ยออกมาอย่างช้าๆว่า “ใกล้ตายแล้ว”
ตู๋กูเจวี๋ย “ข้าคิดว่ายังพอจะยืดชีวิตได้อยู่…..”
…………………..