ตอนที่ 591 จิ้งจอกขี้ประจบ?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

แต่ว่าท่านเจ้าสำนักกลับบีบเขาเอาไว้อย่างแนบแน่น ไม่มีวี่แววจะคลายมือแม้แต่น้อย 

 

 

หากว่าเปลี่ยนเป็นยามปกติ เกรงว่าตอนนี้ตู๋กูเจวี๋ยคงเสือกดาบใส่เขาไปหลายครั้งแล้ว แต่ว่าตอนนี้แม้แต่จะหายใจเขาก็ยังทำได้อย่างยากลำบาก 

 

 

ท่านเจ้าสำนักมองดูเขาอย่างเย็นชา พลางหันกลับไปเหลือบมองศิษย์น้อยแวบหนี่ง เอ่ยอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “ที่สำนักหยินหยางมีไม้มู่หนานลายทองอยู่พอดี หากเอามาทำโลง สามารถรักษาศพให้ไม่เสื่อมสภาพได้เป็นร้อยปี” 

 

 

“เจ้ารูปร่างหน้าตาดี ศิษย์น้อยชมชอบ หากว่าเจ้าตายไป แล้วศิษย์น้อยเกิดคิดถึงเจ้าขึ้นมา จะได้หาเวลาไปที่สุสานดูเจ้าสักหน่อย” 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยถึงกลับกระอักเลือดออกมาในทันที ฟังสิ นี่มันใช่คำพูดของคนหรือ? 

 

 

เขายังไม่ตายเสียหน่อย แต่ว่าเจ้านี้กลับคิดจะจัดการเรื่องราวภายหลังให้เขาเรียบร้อยแล้ว 

 

 

ทั้งยังกล่าวออกมาต่อหน้าต่อตาน้องเล็ก? 

 

 

นี่มิเท่ากับบอกว่า เขามันขัดลูกนัยตา อยากให้เขาตายไปเร็วๆหรอกหรือ? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันที่ยืนอยู่ข้างๆ เดี๋ยวนะ…ที่นางพาพี่รองกลับมาก็เพราะคิดจะรีบยับยั้งพิษให้เขาเสียก่อน 

 

 

ซูเยายังคงกุมใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ยืนอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน  ดวงตาจิ้งจอกยังคงมีแววตาเจ้าเล่ห์ไม่จางหาย 

 

 

“อาหลัน ที่เผ่าจิ้งจอกของข้ามีของวิเศษมากมาย มิสู้เจ้าติดตามข้ากลับไป ไม่แน่ว่าอาจจะมีของวิเศษที่พอจะสามารถช่วยเหลือคุณชายรองได้อยู่” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองไปเห็นบุปผาวิญญาณที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ย ภายใต้แสงจันทร์ บุปผาวิญญาณเรืองแสงระยิบระยับออกมา ตอนที่นางมาถึง แสงสว่างนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่เพราะว่าใจนางไม่ได้อยู่ที่ดอกไม้ จึงไม่ทันได้สังเกต 

 

 

“เจ้าก็รู้ ข้าไม่เคยโกหกเจ้ามาก่อน” ซูเยาจดจ้องไปที่นาง “ข้าไม่เหมือนกับจีต้าฉุยหรอก คนที่เจ้าห่วงใย ข้าก็จะขอห่วงใยด้วย” 

 

 

พูดตามจริงแล้ว พอได้ยินชื่อจีต้าฉุยจากปากของเขา ตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้สึกไม่สนิทใจอยู่ดี 

 

 

แต่ว่าคำพูดนี้ของเขาทำให้นางเกิดความประทับใจเล็กๆขึ้นมา 

 

 

พักใหญ่ ตู๋กูซิงหลันถึงได้ยื่นมือออกมาตบลงไปบนบ่าของเขา “เจ้าจิ้งจอกน้อย ขอบใจนะ” 

 

 

แค่คำว่าจิ้งจอกน้อยคำเดียว ก็ทำให้ซูเยาเกือบจะน้ำตาไหลได้แล้ว 

 

 

เขากระพริบตาถี่ๆ ดวงตาจิ้งจอกทั้งสองมีแต่หมอกน้ำ 

 

 

เดิมทีคิดว่า….เขาสามารถทำใจหลบลี้หนีหน้านางได้ 

 

 

แต่ว่าพอได้พบกับนางอีกครั้ง…. แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เงาของนาง เขาก็รู้ว่าตนได้ประเมินตัวเองสูงส่งไปแล้ว 

 

 

ตั้งแต่แรกเริ่ม นางก็คือมุกงามที่ทอประกายอยู่ในใจของเขา และไม่เคยเปลี่ยนแปลง 

 

 

มิว่าจะมีเหตุผลใดๆ แต่เพียงได้มองนางชั่วแวบเดียวทั้งหมดก็ไม่สำคัญแล้ว 

 

 

“อาหลัน ในใต้หล้านี้ผู้ที่เจ้าไม่จำเป็นจะต้องกล่าวขอบคุณมากที่สุดก็คือข้า” 

 

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าอาหลัน ดวงตาของซูเยาก็ปราศจากแววตาเจ้าเล่ห์อย่างสิ้นเชิง 

 

 

นัยตาคู่นั้นกระจ่างใสดั่งดวงดาวบนท้องฟ้า 

 

 

“ที่ข้าชอบเจ้า ก็เป็นเรื่องของข้า ทุกสิ่งที่ทำลงไปเพื่อเจ้าล้วนเป็นความเต็มใจ” 

 

 

ใช้แล้ว สารภาพมันต่อหน้าจีต้าฉุยไปเลย! 

 

 

เพราะสำหรับซูเยาแล้ว ต่อให้ยอมวางตนเองอยู่ในตำแหน่งตัวสำรอง ก็ยังขอหยามมันให้เจ็บช้ำบ้าง 

 

 

ความรู้สึกของเขาที่มีต่ออาหลันนั้นไม่เคยแปลกปลอม ถึงแม้ว่าซื่อมั่วจะดูแลนางด้วยความห่วงใยอย่างที่สุด แต่เกรงว่าแม้แต่คำว่า ‘ข้าชอบเจ้า’ ก็คงยังไม่เคยบอกออกมา 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยรู้สึกว่ามือของจีต้าฉุยที่หิ้วเสื้อของเขาเอาไว้ส่งเสียงลั่นดังกรอบ พลังที่รุนแรงนั้นถึงกับทะลวงผ่านเสื้อผ้าเขาไปในตัวเขาเสียด้วยซ้ำ 

 

 

แทบจะบดขยี้ร่างกายของเขาให้แหลกลาญ 

 

 

เห็นไหม เขาบอกแต่แรกแล้ว ว่าเจ้าสำนักผู้นี้มีแผนไม่ดีอยู่ในใจ เขาคิดอะไรกับน้องเล็กอยู่จริงๆ 

 

 

เห็นได้ชัดเจนเลยว่า พอไม่ได้มาก็โกรธเคือง โกรธเคืองจนถึงขั้นจะอาละวาดทำลายล้างแล้ว! 

 

 

ส่วนร่างกายของเขา เมื่อครู่ถูกเจ้าสำนักผู้นี้ระบายพลังขุ่นเคืองลงมา กลับรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เขารู้สึกว่าพอพลังของเจ้าสำนักที่ถ่ายทอดเข้ามา มิได้ทำให้รู้สึกย่ำแย่เท่าใด 

 

 

ทำเอาเขารู้สึกสงสัยว่าตนเองมีอะไรผิดปกติหรือไม่  

 

 

ท่ามกลางบรรยากาศที่น่าเก้อเขินเช่นนั้น อยู่ๆท่านเจ้าสำนักก็คลายมือออก ปล่อยตู๋กูเจวี๋ยลงไปบนเก้าอี้ 

 

 

จากนั้นก็ขยับไปด้านข้างก้าวหนึ่ง ดวงตาหงส์คู่นั้นจับจ้องอยู่ที่ร่างของตู๋กูซิงหลัน และซูเยา มองคนทั้งสองสลับกันอยู่ไปมาครู่หนึ่ง 

 

 

จากนั้นก็เอ่ยช้าๆว่า “ศิษย์น้อย ตัวสำรองเช่นนี้ใช้การไม่ได้หรอก อย่างมันขนาดสุนัขยังจะประจบเลย” 

 

 

“เป็นถึงจิ้งจอกตัวหนึ่ง ยังจะไปเลียสุนัข[1] ในโลกนี้มีคำพูดอยู่ว่า มีสหายอย่างหมาและจิ้งจอก[2] หากว่าอาจารย์เข้าใจไม่ผิดละก็ นี่เป็นเรื่องน่าอาย ไอ้จิ้งจอกนี่มันใช้ไม่ได้” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?” 

 

 

เดี๋ยวก่อนนะ จุดประสงค์ในตอนแรกของนางคืออะไร? 

 

 

พออยู่ๆจีต้าฉุยก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ทำเอานางลืมเรื่องที่จะต้องทำไปหมดแล้ว 

 

 

ในสมองมีแต่เรื่องจิ้งจอกที่ขี้ประจบเหมือนสุนัข ดังนั้นตกลงแล้วจิ้งจอกน้อยไปประจบอะไรเขากัน 

 

 

ซูเยาที่เดิมตั้งใจจะเกทับจีต้าฉุยตอนนี้เลยถูกจูงออกนอกเรื่องไปแล้ว ประเด็นหลักของเรื่องประหลาดนี้มันคืออะไรกันแน่? 

 

 

ริมผีปากสีแดงของเขาอ้าค้าง ในใจมีวาจามากมาย แต่ว่ากลับพูดอะไรไม่ออก 

 

 

ท่านเจ้าสำนักรู้สึกว่า อย่างซูเยาที่เคยไปอยู่ในโลกยุคปัจจุบันมาก่อน ยังเป็นเพียงตัวสำรอง เป็นทั้งหมาขี้ประจบ แล้วจะไปเข้าใจอะไรอย่างถ่องแท้ได้อย่างไร? 

 

 

“ในชีวิตของอาจารย์ไม่มีทางเป็นหมาขี้ประจบ เป็นแต่อาจารย์ที่ดี” ว่าแล้ว ท่านเจ้าสำนักก็หันมาพูดกับตู๋กูซิงหลันด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ว่าคำพูดนี้ราวกับว่าเขากล่าวคำสาบานออกมาอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

“อาจารย์ก็สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเจ้าได้เช่นกัน และยังจะทำได้ดีกว่าเจ้าจิ้งจอกนั่นอีก” 

 

 

ซูเยาถึงกับหัวเราะออกมาแล้ว “งั้นแบบนี้เจ้าก็เป็นสุนัขขี้ประจบเหมือนกันมิใช่หรือ?” 

 

 

ท่านเจ้าสำนัก “ไม่ประจบ” 

 

 

คราวนี้ทั้งสองคนก็เปลี่ยนเป็นทำสงครามถกเถียงกันไปใหญ่ว่าอะไรคือขี้ประจบอะไรคือสุนัขที่ชอบชะเลีย 

 

 

ทำเอาตู๋กูซิงหลันกับตู๋กูเจวี๋ยถึงกับงงงวยไปใหญ่แล้ว 

 

 

รอจนกว่าทั้งสองจะได้ข้อสรุปออกมา ตู๋กูซิงหลันก็เฝ้าไข้ตู๋กูเจวี๋ยจนใกล้จะหลับไปแล้ว 

 

 

ท่ามกลางความง่วงงุน ในสมองของนางก็ครุ่นคิดไปถึงคำพูดของฟ่านอิงที่พูดกับนางเอาไว้เมื่อครู่ 

 

 

  

 

 

“เปรี้ยง!” อยู่ดีๆ สายฟ้าฟาดก็ผ่าลงมากลางอากาศ ซ้ำยังผ่าลงมาบนเกาะลอบฟ้าอย่างไม่มีวี่แววใดๆมาก่อนเลยทั้งสิ้น 

 

 

เกาะลอยฟ้าที่เดิมทีก็กลวงโบ๋ตรงกลางอยู่แล้ว ตอนนี้ถึงกับเสียสมดุลสั่นไหวอยู่ตลอด 

 

 

หินก้อนใหญ่ๆร่วงลงไปจากเกาะลอยฟ้า ทำเอาพื้นหินใต้เกาะยุบลงไปเป็นหลุมขนาดใหญ่เช่นกัน 

 

 

ในหอชมจันทรา ฟ่านอิงที่กำลังหลับตาอยู่ก็พลันลืมตาขึ้นมา 

 

 

ทันทีที่เขาลืมตา ก็มองเห็นเงาร่างสีทองของผู้คนอยู่ตรงหน้า 

 

 

คนเหล่านี้แต่ละคนสวมใส่เกราะสีทอง ทั่วร่างมีแต่ไอสีทองหมุนวนอยู่รอบกาย แม้แต่หมอกสีดำบนร่างของฟ่านอิงก็ยังถูกไอสีทองเหล่านี้กดเอาไว้ 

 

 

เขาเพ่งตาออกไป ในแววตามิได้มีความแปลกใจเท่าไรนัก “คิดเอาไว้แล้วว่าพวกเจ้าจะต้องมา แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาไวเสียขนาดนี้” 

 

 

น้ำเสียงของเขายังคงแหบแห้งจนยากจะฟัง  

 

 

สายตาของเขามอบผ่านคนเหล่านี้ไปรอบหนึ่ง “ท่านผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นมิได้มาด้วยตนเองสินะ” 

 

 

พอเขาพูดจบ ก็เห็นว่าด้านหลังของกลุ่มคนในชุดเกราะสีทอง มีหนุ่มน้อยอายุประมาณยี่สิบปีเดินออกมา 

 

 

เขามองดูฟ่านอิงด้วยแววตาที่เย็นเฉียบ น้ำเสียงก็เย็นชา 

 

 

“ใต้เท้าได้มอบชีวิตใหม่ให้กับเจ้า แต่เจ้ากลับตอบแทนเขาเช่นนี้” 

 

 

ฟ่านอิงมองดูหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง “ชีวิตใหม่…อย่างงั้นหรือ?” 

 

 

“หนุ่มน้อย เจ้าจงดูให้ดี ข้าก็เพียงแค่กระเสือกกระสนวนเวียนอยู่ในความทุกข์ทรมานเท่านั้น นี่แหละที่เรียกว่า…. อยู่มิสู้ตาย” 

 

 

พูดแล้ว เขาก็สลายหมอกสีดำรอบกายออกไป เผยให้เห็นโฉมหน้าที่ทั้งอัปลักษณ์และน่าเกลียดน่ากลัว 

 

 

………………….. 

 

 

  

 

 

[1] 舔狗:หมายถึง คนขี้ประจบ หรือคนที่หลงรักผู้อื่นข้างเดียงอย่างหัวปักหัวปำ 

 

 

[2] 狐朋狗友: คำเปรียบเทียบ เพื่อนเลวที่เอาแต่กินเที่ยว