เล่มที่ 30 เล่มที่ 30 ตอนที่ 871 จุดอ่อนของฮ่องเต้หลู่

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

มู่หรงฉีคว้าข้อมือของตงหลิงหวงมาจับชีพจร เพียงแตะชีพจร คิ้วของเขาก็เริ่มขมวดแน่น

“เจ้าอยากตายหรือ? ”

อวัยวะภายในทั้งหมดไม่มีส่วนใดไม่เสียหาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาการบาดเจ็บภายใน

ตงหลิงหวงไม่สบตามู่หรงฉี

“มันไม่เกี่ยวกับเจ้า ฉีอ๋อง ที่นี่คือพระราชวังแคว้นตงเฉิน เจ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ? เจ้ารีบออกไปให้เร็วที่สุด! ”

ตงหลิงหวงพูดพลางลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล

มู่หรงฉีดูโกรธเคืองเล็กน้อย เขากดหัวไหล่ของตงหลิงหวงอย่างแรง

“เจ้าเป็นสตรีของข้า หากข้าไม่มา จะให้เจ้าสู้ตายเพียงลำพังหรือ? ”

หัวใจของตงหลิงหวงกระตุกอย่างรุนแรง ทว่านางไม่ได้แสดงท่าทางแปลกประหลาดใดๆ ออกมา ยามเผชิญหน้ากับมู่หรงฉี สีหน้าของนางยังคงเฉยเมย

“ข้าสู้ตายหรือไม่ แล้วมันเกี่ยวอันใดกับเจ้า? เจ้าหลีกไป อยู่ให้ห่างไว้จะดีที่สุด ตงหลิงชางในวันนี้ ไม่ใช่ตงหลิงชางในอดีตแล้ว ระวังชีวิตจะหาไม่”

แสงสว่างในดวงตาดำขลับของมู่หรงฉีจางลงเล็กน้อย รอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้งค้างอยู่บนมุมปาก เขามองไปยังผู้ที่กำลังลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลราวกับกวางน้อยบาดเจ็บ

“ดูเหมือนหวงเอ๋อร์จะเป็นกังวลเกี่ยวกับข้า”

ตงหลิงหวงชะงักครู่หนึ่ง ประโยคนั้น นางเป็นคนพูดออกมา ตัวนางเองยังไม่คิดอันใดมากนัก กลับไม่คิดว่ามู่หรงฉีจะตีความไปอีกแง่หนึ่งได้

ทว่านางยังคงเผชิญหน้ากับมู่หรงฉีด้วยท่าทีไม่แยแส

นางผลักมู่หรงฉีออกอย่างแรงและเอ่ยขึ้น “หยุด ผู้ใดเป็นกังวลเกี่ยวกับเจ้า! ”

มู่หรงฉีฉวยโอกาสบีบมือของตงหลิงหวงแผ่วเบา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลละลายหัวใจคนฟัง

“ก็ได้ จนถึงป่านนี้แล้วยังแสดงท่าทีโกรธเคืองข้าอยู่อีกหรือ ในเมื่อข้ามาแล้ว เจ้าก็ทำตัวเป็นสตรีตัวน้อยและยืนอยู่ข้างหลังข้าอย่างสบายใจ มอบเรื่องทั้งหมดให้ข้าจัดการเถิด”

สตรีตัวน้อย?

คำจำกัดความนั่นไม่เข้ากับนางแม้แต่น้อย

ตงหลิงหวงขมวดคิ้วแน่น นางกำลังจะพูดอันใดบางอย่าง ทว่ามู่หรงฉีไม่เปิดโอกาสให้นางได้พูด

เขาลุกขึ้นยืนและเดินถือกระบี่ไปยังทิศทางของหอสูง

ไม่รู้ว่าในสวนดอกไม้มีองครักษ์เงาและนักฆ่ามากมายตั้งแต่เมื่อไร นอกจากนั้น บนตัวของนักฆ่าเหล่านั้นยังมีสัญลักษณ์ของจวนฉีอ๋องแห่งแคว้นหนานหลี

มู่หรงฉีและนักฆ่าของเขามาถึงหอสูง แววตาเต็มไปด้วยไอสังหารรุนแรง เขามองขึ้นไปยังตงหลิงชางที่อยู่บนหอสูง ซึ่งตอนนี้ไม่มีความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง ราวกับเป็นปีศาจ

ตงหลิงชางมองมู่หรงฉี เปลวเพลิงสีแดงในดวงตาโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้นเล็กน้อย

เขาเปล่งเสียงดังก้อง “ฉีอ๋องแห่งแคว้นหนานหลี ไม่คิดว่าเจ้าจะรนหาที่ตาย หากข้าจำไม่ผิด แคว้นหนานหลีกับแคว้นตงเฉินของข้าเพิ่งจะพักรบ ทว่าไม่ได้ยุติสงคราม เจ้ากับตงหลิงหวงยังคงเป็นศัตรูต่อกัน

ฉีอ๋องบุกเข้ามาในดินแดนแคว้นตงเฉิงโดยไม่สนความเป็นความตายเช่นนี้ นอกจากนั้นยังเข้ามาในเขตพระราชวังเพื่อผู้ใด หรือว่าเพื่อตงหลิงหวง?

หากเป็นเช่นนั้นจริง การแสดงในวันนี้ยิ่งน่าดูมากขึ้นไปอีก ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ”

มู่หรงฉีถือกระบี่ในมือแน่น

“ข้ากับตงหลิงหวงแล้วอย่างไร? เจ้าไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย”

มู่หรงฉีพูดพลางกระโดดขึ้นไปพร้อมกระบี่ และแทงไปที่ฮ่องเต้หลู่ที่อยู่บนหอสูง นักฆ่าของมู่หรงฉีที่อยู่ด้านหลัง รวมทั้งนักฆ่าของฉีเฟิงและฉานเยวี่ยต่างชูกระบี่ขึ้นและเล็งไปที่ฮ่องเต้หลู่พร้อมกัน

การโถมกำลังต่อสู้เช่นนี้ ตงหลิงหวงเห็นมานักต่อนักแล้ว แม้นางจะใช้ความเร็วสูงหลายต่อหลายครั้ง ทว่าผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นอาวุธธรรมดาหรือกระบี่วิเศษโบราณ ครั้นเสียบเข้าไปในร่างของฮ่องเต้หลู่ก็เหมือนเสียบหุ่นไล่กา ไม่มีผลแม้แต่น้อย แม้แต่เลือดก็ไม่ไหลรินออกมา

ผลจะเป็นอย่างไร นางคาดเดาได้เรียบร้อย

นางไม่ต้องการเห็นการโจมตีที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ และเห็นการบาดเจ็บโดยไร้ความหมายของใครบางคน โดยเฉพาะมู่หรงฉี

ทว่าตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเหมือนกัน

นางจึงหลับตาลง ปิดประสาทการรับรู้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม คาดไม่ถึงว่าตอนที่นางหลับตา ทันใดนั้น ภาพคลื่นทะเลเมฆอันงดงามสดใสพลันปรากฏเข้ามาในจิตใจของนาง

ภาพทิวทัศกว้างขวางทำให้นางรู้สึกสบายใจในทันที ดังนั้นร่างกายของนางจึงค่อยๆ ผ่อนคลายการรับรู้

ตามมาด้วยเสียงที่ดังขึ้นในจิตใต้สำนึก

“หวงเอ๋อร์… หวงเอ๋อร์… ”

เป็นเสียงที่ทอดยาวและชราภาพเล็กน้อย

จิตใต้สำนึกของตงหลิงหวงพยายามอย่างหนักที่จะตามไปยังทิศทางของเสียงนั้น และค้นหาท่ามกลางคลื่นทะเลเมฆ ในที่สุด เบื้องหลังกระแสลมทะเลเมฆขนาดใหญ่ก็ปรากฏร่างหนึ่งเดินออกมา

คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีคราม รูปร่างสมถะ ในมือถือพู่ปัดหนึ่งด้าม ผมขาวราวหิมะและไว้เครายาว

ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อ ผมขาวดุจนกกระเรียน หน้าผากโหนกนูน มองเพียงแวบแรกก็รู้ว่าเขาต้องเป็นผู้ฝึกตนขั้นสูงมาก

คนผู้นี้ช่างดูคุ้นเคยเหมือนนางเคยเห็นที่ใดมาก่อน… ตงหลิงหวงหวนคิด และทันใดนั้น ดวงตาของนางก็เปล่งประกาย

“อาจารย์… ท่านคือท่านอาจารย์”

ตงหลิงหวงนึกออกทันทีว่าผู้บำเพ็ญเพียรท่าทางสมถะตรงหน้านั้น แท้จริงแล้วเหมือนกับภาพเหมือนของผู้วิเศษจิ่วเทียนในจวนจิ่วหลงเทียน นอกจากนั้น ตัวจริงยังมีความเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมากกว่าในภาพเหมือนอีกด้วย

ผู้วิเศษจิ่วเทียนหวนคืนสู่ดินแดนฮุ่นตุ้นแล้วมิใช่หรือ?

นางเห็นเขาได้อย่างไร?

“ท่านอาจารย์ ที่แท้ท่านยังไม่ตาย ศิษย์… ศิษย์ได้คำนับที่จวนจิ่วหลงเทียนแล้ว หลังจากนี้ ศิษย์คือศิษย์ของท่าน ศิษย์ไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้พบท่านอาจารย์อีก”

ผู้วิเศษจิ่วเทียนลูบเคราของตน

“ไม่ อาจารย์ตายไปแล้ว สิ่งที่เจ้าเห็นในตอนนี้ไม่ใช่กายเนื้อของข้า ทว่าดวงจิตของอาจารย์ยังหลงเหลืออยู่ในแหวนเก้ามังกร”

“ดวงจิต? ”

“ถูกต้อง เป็นดวงจิต ดวงจิตนี้จะปรากฏเพียงตอนที่เจ้าตกอยู่ในอันตรายที่สุด ชั่วชีวิตของเจ้า มันสามารถปรากฏได้เพียงสามครั้งเท่านั้น”

“หรือว่า… หรือว่าอาจารย์รู้ล่วงหน้าว่าในชีวิตของศิษย์จะมีเคราะห์ร้ายเช่นนี้? ”

ผู้วิเศษจิ่วเทียนแย้มยิ้มอย่างใจดีโดยไม่พูดอันใด

ตงหลิงหวงจึงเอ่ยถาม “อาจารย์ ท่านมาช่วยศิษย์จัดการกับตงหลิงชางใช่หรือไม่? ”

ผู้วิเศษจิ่วเทียนส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ ดวงจิตนี้ไม่สามารถออกจากแหวนเก้ามังกรได้ เจ้าต้องจัดการกับฮ่องเต้หลู่ด้วยตนเอง”

ตงหลิงหวงขมวดคิ้วแน่น “ทว่าตงหลิงชางในตอนนี้แข็งแกร่งมาก ฟันแทงไม่เข้า ศิษย์ไม่มีวิธีจัดการเขา นอกจากนั้น ฝีมือของศิษย์ในตอนนี้ยังมีไม่พอ”

รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้วิเศษจิ่วเทียนยังคงใจดีและอบอุ่นราวกับตะวันฉายบนขอบฟ้า

“สาเหตุที่ในตอนนี้ฮ่องเต้หลู่แข็งแกร่ง ไม่ใช่เพราะฝีมือของเขาเอง ทว่าเป็นเพราะพลังของยาวิเศษจินตาน”

จุดนี้ ในใจของตงหลิงหวงเข้าใจแจ่มแจ้ง ก่อนหน้านี้ นางเห็นตงหลิงชางกินยาวิเศษกับตาตนเอง หลังจากนั้นก็ใช้พลังของยาวิเศษเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกาย

ผู้วิเศษจิ่วเทียนจึงกล่าวต่อ “ยาเม็ดนั้น นักพรตแห่งโลกวิญญาณหลอมขึ้นมา นอกจากนั้น ยาวิเศษนี้ยังไม่สมบูรณ์ แม้จะเพิ่มสมรรถภาพทางกายของฮ่องเต้หลู่ ทว่าส่งผลร้ายแรงต่อร่างกายตนเองอย่างมาก ทั้งยังมีจุดอ่อนเช่นกัน

ขอเพียงเจ้าหาจุดอ่อนของเขาพบ ก็จะทำลายร่างคงกระพันของเขาได้ในพริบตา”

“จุดอ่อน… ท่านอาจารย์ จุดอ่อนของตงหลิงชางคือที่ใดหรือ?”