บทที่ 3003 มารแปลง 4
“…หลังจากทั้งทวีปกลายเป็นมารแล้ว พลังของมันจะไร้ที่สิ้นสุด มันจะฮุบกลืนทวีปที่อยู่ข้างเคียง เมื่อเป็นเช่นนี้มันก็จะเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ความเร็วในการกลืนกินก็จะรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ หากยับยั้งเอาไว้ไม่ทันกาล เกรงว่าทั้งจักรวาลคงจะถูกมันกลืนกินจนหมด…ดังนั้นทุกคนจึงต้องออกโรงจัดการมหันตภัยนี้…”
เถิงเสอเงียบงันไปแล้ว…
มันอดไม่ได้ที่จะแหงนหน้ามองไปทางทะเลทรายผืนนั้น สีสันชายขอบทะเลทรายแห่งนี้ประหลาดยิ่ง ในไอมืดทะมึนเจือแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองเอาไว้ด้วย
ในทะเลทรายแห่งนี้ผนึกสัตว์ประหลาดอันใดเอาไว้กันแน่? ไม่น่าเชื่อว่าจะมีพลังมหาศาลขนาดนี้…
….
ตี้ฝูอีบุกเข้าไปแล้ว!
เห็นได้ชัดว่าทะเลทรายแห่งนี้บ้าคลั่งไปแล้ว ไม่ได้จำกัดให้เข้าไปได้เฉพาะคู่รักอีก ขณะที่แผ่ขยายออกไปอย่างบ้าคลั่งเมื่อพบคนก็กวาดม้วนเข้ามา เพียงแต่ด้านในของมันมีอุณหภูมิสูงเกินไป ราวกับตะวันดวงน้อย หลังจากคนเหล่านั้นถูกกวาดม้วนเข้ามา พัดหมุนอยู่ท่ามกลางพายุทรายอันบ้าคลั่ง ถูกแผดเผาจนวอดวายไปทันที ผสมผสานเข้ากับพายุทราย…
รอบกายของตี้ฝูอีมีเขตแดนคุ้มกันอยู่ ไม่เกรงกลัวความร้อนระอุที่ดุจจะแผดเผานี้ หลังจากเขาหมุนคว้างอยู่ในพายุทรายรอบหนึ่งก็ร่อนลงสู่พื้นแล้ว
เขานึกว่าด้านในจะต้องร้อนจนคนทนรับไม่ไหวเป็นแน่ กลับคาดไม่ถึงเลยว่าหลังจากเข้ามาได้จริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าภายในจะราวกับแดนสุขาวดี
บรรพตขจีสูงต่ำลดหลั่น ธารมรกตไหลริน บุปผาพืชพรรณเขียวชอุ่ม อากาศบริสุทธ์ดุจชะล้างด้วยวารี
ขนาดคนที่สุขุมเยือกเย็นเช่นตี้ฝูอี ก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าด้านในจะมีทิวทัศน์เช่นนี้ จึงนิ่งงันไปชั่วขณะ
ผืนดินที่เขาร่อนลงเหยียบคือเนินเขาแห่งหนึ่ง บนเนินเขามีดอกท้อผลิบานไปทั่ว เป็นช่วงฤดูที่ดอกท้อผลิบานอย่างเต็มที่พอดี ดอกท้อสีแดงอมชมพูเบ่งบานชูช่อเป็นกลุ่มๆ มองจากที่ไกลๆ แล้ว ราวกับหมู่เมฆาสีแดงกลุ่มใหญ่ที่เรียงรายกัน
ด้านล่างเนินเขามีลำธารไหลเลี้ยวลดผ่านเนินเขา แว่วเสียงติงตัง ราวกับเสียงหยก ในสายธารมีกลีบบุปผาร่วงโรยอยู่นับไม่ถ้วน บ้างรวมบ้างแยกกระจายกันไป
ท่ามกลางดงดอกท้อมีชายคาเขียวมุมหนึ่งโผล่ออกมารางๆ แขวนกระดิ่งเงินเอาไว้ แว่วเสียงกรุ๊งกริ๊งอยู่ท่ามกลางสายลม
ตี้ฝูอีชะงักเท้า เมื่อเห็นทุกอย่างที่นี่แล้ว รู้สึกอยู่รางๆ ว่าที่นี่ค่อนข้างคุ้นตา ราวกับเมื่อนานแสนนานมาแล้ว เคยมีคนผู้หนึ่งเอ่ยถึงสถานที่เช่นนี้กับเขามาก่อน สุ้มเสียงเปี่ยมไปด้วยความมุ่งหวัง…
แน่นอน รายละเอียดที่ว่าผู้ใดเป็นคนกล่าว เขาก็นึกไม่ออกไปชั่วขณะจริงๆ
เขาคิดดูเล็กน้อย แล้วก้าวเข้าไปในดงดอกท้อ
ทันใดนั้น ฝีเท้าเขาพลันชะงักลง
เบื้องหน้าบนต้นท้อต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล มีสตรีชุดเขียวนางหนึ่งกำลังนอนเอนหลังดื่มสุราอยู่บนกิ่งดอกท้อ ท่าทางของนางดูเอื่อยเฉื่อยอยู่บ้าง เรือนผมสลวยใช้กิ่งบุปผากิ่งหนึ่งเกล้ามวยเอาไว้อย่างลวกๆ สยายเคลียไหล่อยู่ครึ่งหนึ่ง
นัยน์ตากระจ่างดั่งวารี ริมฝีปากแดงเรื่อ งดงามดุจภาพวาด
เป็นกู้ซีจิ่ว...
ไม่น่าเชื่อว่านางจะสบายอุราถึงเพียงนี้…
คล้ายว่านางจะสัมผัสถึงอะไรได้ สายตาพลันหันเหมองมาที่ตี้ฝูอี ยามที่มองเห็นดวงหน้าของเขาชัดๆ นางก็คลี่ยิ้มปานบุปผาในทันใด กระโดดลงมาจากต้นไม้ “ฝูอี ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว!” กางสองแขนออก แล้วโผเข้าหาเขา
ตี้ฝูอีถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยื่นมือไปประคองนาง “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม? มาเถอะ ให้สามีดูหน่อยว่าเจ้าบาดเจ็บหรือไม่?”
แล้วเพ่งพินิจนางขึ้นๆ ลงๆ
ดวงหน้าพิลาสของกู้ซีจิ่วแดงซ่าน ปล่อยให้เขาเพ่งพินิจ ดวงตาคู่นั้นทอประกายวาววาม ราวกับคั้นน้ำออกมาได้
ผิวพรรณของนางสมบูรณ์ยิ่ง มองออกว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด
ตี้ฝูอีจับมือนางไว้ นั่งเคียงไหล่นางอยู่ใต้ต้นท้อ “สถานการณ์ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง? เฮ่าเอ๋อร์ล่ะ? หาเขาเจอไหม?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้านิดๆ “เฮ่าเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ที่นี่ พอข้าเข้ามาก็ติดอยู่ที่นี่เลย ออกไปไม่ได้ โชคดีที่สภาพแวดล้อมของที่นี่ยังนับได้ว่าไม่เลว ข้าเลยสร้างเรือนสำหรับพำนักอยู่ที่นี่ชั่วคราว มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปดูบ้าน ดูสิว่าจะถูกใจเจ้าไหม?”
นางลากเขาให้ออกเดิน
….
————————————————————————————-
บทที่ 3004 จิตมาร
ในที่สุดเรือนที่มีดอกท้อปกคลุมให้ร่มเงาก็เผยโฉมออกมาอย่างสมบูรณ์แล้ว
เป็นเรือนอิฐเขียวเล็กๆ หลังหนึ่ง กำแพงเรือนยาด้วยโคลนเหลือง มีเถาไม้เลื้อยสีเขียวที่คล้ายกับผาซานหู่[1]เลื้อยอยู่บนกำแพง มีบุปผาสีม่วงอ่อนแซมอยู่ประปราย บุปผานั้นบอบบาง ขนาดเท่าเหรียญกษาปณ์ ให้ความงามแบบพงไพรยิ่ง
ภายในลานเรือนปลูกต้นตองเอาไว้สามสี่ต้น หญ้าเซียนใบเรียวยาวสองสามต้น ใจกลางลานเรือนมีศิลาใหญ่ก้อนหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ ศิลาก้อนนั้นดูเก่าแก่โบราณ บนหินตะไคร่ขึ้นคลุม แถมยังมีเถาวัลย์พันเกี่ยวอยู่ด้วย บนเถาวัลย์มีบุปผาสีม่วงอ่อนเช่นเดียวกับที่อยู่บนกำแพงแซมอยู่สามสี่ดอก
ส่วนเรือนอิฐเขียวที่มีเพียงหลังเดียวภายในลานก็ดูมีรสนิยมยิ่ง ช่องหน้าต่างทรงแปดเหลี่ยม ขอบหน้าต่างเสมือนมีดอกท้อกิ่งหนึ่งพาดขวางอยู่
สรุปโดยรวมคือ เรือนหลังนี้เปี่ยมด้วยท่วงทำนองโบราณ มีกลิ่นอายของท้องทุ่ง ดุจที่พำนักของนักพรตผู้ถือสันโดษ
“ฝูอี เรือนนี้งามหรือไม่?” กู้ซีจิ่วกอดแขนข้างหนึ่งของตี้ฝูอีไว้ดวงหน้าน้อยๆ เงยขึ้นแล้วเอ่ยถามเขา
ตี้ฝูอีมองดูรอบข้าง พยักหน้าตอบรับ “เยี่ยมมาก เสี่ยวจิ่ว ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์ในการตกแต่งเรือนด้วย”
กู้ซีจิ่วยิ้มหวานปานบุปผา สุ้มเสียงค่อนข้างภาคภูมิ “แน่นอน อันที่จริงนี่คือสถานที่ที่ข้าวาดหวังตั้งตารอมาเนิ่นนานยิ่ง งามสง่า อบอุ่นใจ…”
งามสง่าและอบอุ่นใจยิ่งนักจริงๆ
โดยเฉพาะการจัดแต่งภายในเรือน ก็ยิ่งทำให้ปรมาจารย์ด้านความงามสง่าอย่างตี้ฝูอีไม่อาจหาจุดบกพร่องได้เลย
ตี้ฝูอีเป็นนักตกแต่งเรือนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรียกได้ว่าย่างเท้าทิวทัศน์แปร ทุกแห่งหนงามสำราญบุปผาผลิแย้ม
ที่พักของเขากับกู้ซีจิ่วเขาก็เป็นคนตกแต่งเสมอมา สามารถทำให้รสนิยมของคนทั้งสองผสมผสานให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ ปกติแล้วกู้ซีจิ่วไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย นางขอแค่พักอาศัยอย่างสะดวกสบายได้ก็พอแล้ว และเห็นด้วยกับรสนิยมของเขา
บางครั้งตี้ฝูอีก็ให้นางตกแต่งดูบ้างเช่นกัน นางล้วนเกียจคร้านยิ่ง บอกว่ามีปรมาจารย์ใหญ่ด้านการแต่งสวนอย่างเขาอยู่ที่นี่ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อ่อนด้อยด้านสุนทรียศาสตร์อย่างนางมาจัดแจงเรื่องพวกนี้แล้ว
แน่นอน บางครั้งตี้ฝูอีก็อยากจะเห็นการตกแต่งของนาง จึงให้นางออกแบบลักษณะที่ผสมผสานรสนิยมของทั้งสองคนเอาไว้ด้วยกัน หลังจากใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ถึงขั้นตะล่อมหว่านล้อมล่อลวง ในที่สุดก็ทำให้นางยอมออกแบบแล้ว
ผลคือลักษณะลานเรือนที่นางออกแบบทำให้ตี้ฝูอีหัวร่องอหงายไปเลย…
แน่นอน การหัวเราะของเขาทำให้นางหงุดหงิดพาลโกรธ คาดโทษไม่ให้เขาเข้าใกล้นางเป็นเวลาหนึ่งเดือน
เมื่อคำนึงถึงความสุขในการร่วมเรียงของตนแล้ว ต่อมาตี้ฝูอีจึงไม่ก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอีก
แต่ตอนนี้เขามองจากการตกแต่งเรือนนี้หลังนี้แล้ว สามารถเทียบชั้นกับผลงานของปรมาจารย์ชั้นหนึ่งได้เลย! เช่นนั้นที่ผ่านมาคือการซ่อนคมงั้นหรือ? หรือว่าอย่างไร?
ความก้าวหน้าระดับนี้สามารถใช้คำว่าน่าพรั่นพรึงมาบรรยายถึงได้เลย!
ตี้ฝูอีวนสำรวจแต่ละห้องอย่างสนอกสนใจรอบหนึ่ง เอ่ยชมบ้างประโยคสองประโยคเป็นครั้งคราว
กู้ซีจิ่วติดตามอยู่ข้างกายเขา ได้ยินคำชมเชยจากเขา ดวงตาก็ส่องประกายยิ่งขึ้น “ชอบหรือไม่?”
ตี้ฝูอีพยักหน้า “ชอบ! เสี่ยวจิ่ว ไม่นึกเลยว่าจะมีสุนทรียศาสตร์อันลึกล้ำเช่นนี้แฝงเร้นอยู่ในตัว…เมื่อก่อนเจ้าไม่สันทัดในด้านนี้เลย…”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างภาคภูมิ “จากกันสามวัน พบพานอีกครั้งต้องปรับมุมมอง ขอเพียงข้ายอมมุมานะพากเพียร ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ เมื่อก่อนข้าไม่มีความมานะในด้านนี้เท่านั้น พอมานะขึ้นมาก็ล้วนจะทำได้ดีกว่าผู้ใด ข้าเป็นภรรยาของเจ้า ความสามารถในด้านนี้ของเจ้าโดดเด่นเลิศล้ำ ข้าไม่มีทางด้อยไปกว่าเจ้าอยู่แล้ว…”
ตี้ฝูอียิ้มแล้ว เคาะมือน้อยๆ ของนางทีหนึ่ง “เจ้าพัฒนาขึ้นมากเลย อย่างไรก็ตาม เมื่อก่อนเจ้าบอกว่าสามีภรรยาควรส่งเสริมซึ่งกันและกัน ฝีมือในด้านนี้ของข้าเลิศล้ำแล้ว ตามหลักแล้วเจ้าไม่ควรจะโดดเด่นอีก เช่นนี้ถึงจะเป็นการมอบอำนาจในด้านนี้ให้ข้าทั้งหมด ถึงจะไม่ทำให้คนสองคนต้องมาทะเลาะแตกแยกเพราะเห็นไม่ตรงกัน ตอนนี้เจ้ากล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจมีหลักการยิ่งนัก”
กู้ซีจิ่วอับอายอยู่บ้าง “ตอนนั้นเป็นเพราะข้าไม่ได้เรียนรู้ให้ดี ไม่อยากจะขายหน้าต่อหน้าเจ้าถึงได้หยิบยกข้ออ้างออกมาก็เท่านั้น”
————————————————————————————-
นักแปลขอคุย : มาเล่นเกมจับผิดกันค่ะ นักอ่านที่น่ารักจับสังเกตอะไรกันได้บ้างหรือเปล่าน้า?
[1] ชื่อสากลคือ Boston Ivyเป็นไม้เลื้อยตระกูลองุ่น พบได้ในหลายพื้นที่ตั้งแต่เอเชีย ไปจนถึงยุโรป หนึ่งในไม้ที่มีใบสวยงาม ที่สุดในโลก ลำต้นและก้านมีความแข็งแรงมากและขยายได้ไกลตามอายุต้น ตามธรรมชาติแล้ว เพียงต้นเดียวก็สามารถเติบโตแผ่ขยายไปได้ไกลกว่า 60 ฟุตแล้ว จึงนิยมปลูกเพื่อแต่งรั้ว แต่งกำแพง