ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 6 ช้าไปก้าวหนึ่ง

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

พ่อลูกสกุลหลี่สี่คนกินอาหารมื้อหนึ่งกันอิ่มจนจุก คนทั้งหมดล้วนเรอออกมา นั่งลูบท้องอยู่บนม้านั่งโกโรโกโส 

 

 

เศรษฐีหวังมีประกายเหยียดหยามพาดผ่านนัยน์ตาไป หัวเราะฮ่าๆ พลางเอ่ยถามว่า “ท่านพ่อตา และพี่ชายทุกท่าน กินกันอิ่มแล้วสินะ” 

 

 

หลายคนที่กินจนอาหารขึ้นมาถึงคอหอย จึงลำบากที่จะพยักหน้า มีเพียงแค่ผู้เฒ่าหลี่ที่ฝืนผงกศีรษะเล็กน้อย “กินอิ่มแล้ว ข้ามีชีวิตมาจนอายุปูนนี้ ยังไม่เคยกินอิ่มขนาดนี้มาก่อนเลย” 

 

 

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” 

 

 

เศรษฐีหวังหัวเราะแหะๆ พลางตะโกนเรียกพ่อบ้านเข้ามา “เก็บกวาดอาหารเหล่านี้ลงไปได้” 

 

 

ไม่รอให้พ่อบ้านรับคำ สามพี่น้องสกุลหลี่ก็ยื่นมือออกมาบังไว้บนโต๊ะ “พวกท่านจะทำอะไรกัน” 

 

 

“ท่านตาใหญ่” 

 

 

พ่อบ้านใหญ่กล่าวด้วยความเคารพนบนอบ “อาหารเหล่านี้ไม่เหลืออะไรแล้ว หลังจากพวกเราเก็บกวาดแล้วก็จะนำไปให้หมูกินขอรับ” 

 

 

ทั้งสามคนส่ายศีรษะไปมาเหมือนกับปอหลังกู่ [1]“ไม่ได้ๆ อาหารชั้นดีขนาดนี้ จะนำไปให้หมูกินได้ที่ไหนกัน ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะว่า คนในครอบครัวข้ายังไม่ได้กินข้าวกันเลย เก็บอาหารพวกนี้กลับไป ก็ช่วยบรรเทาความหิวโหยของพวกนางได้พอดี” 

 

 

“นี่…” 

 

 

พ่อบ้านมองไปทางเศรษฐีหวัง 

 

 

เศรษฐีหวังยังไม่ทันจะได้กล่าวคำใด หลี่เหล่าซานก็ตะโกนขึ้นมาเสียก่อน “นี่อะไรกัน ในเมื่ออาหารพวกนี้วางอยู่ในบ้านของพวกข้า ก็ต้องเป็นของพวกข้าสิ แน่นอนว่าต้องเชื่อฟังคำพูดของข้าด้วย” 

 

 

“พี่ชายสามพูดได้ถูกต้อง” 

 

 

เศรษฐีหวังโบกมือให้พ่อบ้านถอยออกไป 

 

 

หลี่เหลาซานเรอออกมาแล้วลุกขึ้นยืน แหวกม่านที่ขาดรุ่งริ่ง เดินออกไปยืนตะโกนอยู่ที่หน้าประตูว่า “พวกเจ้าสองสามคน รีบมานี่สิ ยกอาหารที่อยู่ในห้องไปบรรเทาความหิวโหยให้เด็กๆ เร็วเข้า” 

 

 

เพิ่งจะสิ้นสุดเสียงของเขา หญิงสาวสามนางก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว วิ่งผ่านเขาเข้าไปในห้อง กระทั่งคำทักทายก็ไม่ได้พูดให้มากความ  

 

 

ท่ามกลางความตกตะลึงตาค้างจนพูดอะไรไม่ออกของเศรษฐีหวัง หญิงสาวทั้งสามนางก็ใช้ความเร็วที่เขาไม่เคยพบมาก่อนในการเทอาหารที่เหลือรวมกัน จากนั้นก็ยกออกไป รอจนหลี่เหล่าซานเข้ามาในห้องแล้ว บนโต๊ะก็เหลือเพียงแค่จานเปล่า 

 

 

หลี่เหล่าซานโซเซนั่งลง ขมุบขมิบปากอยู่หลายครั้ง “ให้น้องเขยได้พบเจอกับเรื่องน่าขันแล้ว” 

 

 

เศรษฐีหวังได้สติคืนมา โบกมือไปมา พลางหัวเราะฮ่าๆ “ไม่เป็นไรๆ ” 

 

 

พี่น้องสกุลหลี่ก็ไม่ใช่คนโง่ เศรษฐีหวังผู้นี้ไม่ยอมให้น้องสาวกลับมาบ้านเป็นสิบปี ตอนนี้ไม่เพียงแต่พานางกลับมาด้วยตัวเอง ยังนำของอร่อยมาด้วยอีก จะต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน หลี่เซิ่งเรอออกมา มือหนึ่งจับอยู่ที่โต๊ะ สูดลมหายใจลึกครั้งหนึ่ง “น้องเขยเอ๋ย เจ้ามาที่นี่วันนี้มีเรื่องอะไร ก็พูดออกมาเถอะ ขอเพียงแค่พวกข้าพี่น้องสามารถช่วยเหลือได้ จะต้องช่วยเหลือเจ้าแน่นอน” 

 

 

เศรษฐีหวังพยักหน้ายิ้มๆ ร่างกายอ้วนท้วมเขยิบไปนั่งอยู่บนม้านั่งข้างโต๊ะ “ท่านพ่อตา พี่ชายทุกท่าน ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่อ้อมค้อมแล้ว” 

 

 

ผู้เฒ่าหลี่เอ่ยออกมาสบายๆ คำหนึ่ง “พูด!” 

 

 

“ข้าได้ยินมาว่าลูกชายที่ชุ่ยฮวาทิ้งเอาไว้ที่หมู่บ้านหวงชุนได้เป็นจอหงวนฝ่ายบู๊ ข้าอยากทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่” 

 

 

ผู้เฒ่าหลี่ที่ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ก็พยักหน้าทันที “เป็นความจริง พวกเราไปสืบมาแล้ว จริงแท้แน่นอน ไม่ผิดหรอก” 

 

 

หลี่เซิ่งนั้นระแวดระวังเป็นอย่างมาก “ท่านถามเรื่องนี้ทำไมกัน” 

 

 

เศรษฐีหวังหัวเราะฮ่าๆ อยู่หลายรอบ “ข้าก็จะไม่ปิดบังพวกท่าน ข้าอยากจะอาศัยเส้นสายของเขา วางแผนการในอนาคตให้กับหลานชายสองคนนั้นของข้า” 

 

 

“ไม่ได้!” 

 

 

หลี่เหล่าซานฟังจบแล้ว ก็คัดค้านทันที “ท่านกับชิงเอ๋อร์ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน เขาจะช่วยท่านได้อย่างไร” 

 

 

เศรษฐีหวังร้อนใจบ้างแล้ว น้ำเสียงจึงร้อนรนขึ้นมา “จะไม่มีความเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร ชุ่ยฮวาเป็นอนุของข้า นับดูแล้ว ข้าก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสของเขาเช่นกันไม่ใช่หรือ” 

 

 

หลี่เหล่าเอ้อไม่ยอมถอยให้แม้แต่น้อย “จะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิด แต่ว่าสิบกว่าปีมานี้ ท่านมีชื่อเสียงในเรื่องทารุณกรรมชุ่ยฮวา ถ้าหากว่าชิงเอ๋อร์รู้เข้า ไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยเหลือท่าน เกรงว่าจะมองท่านเป็นศัตรูคู่อาฆาตแทนด้วยซ้ำ” 

 

 

น้ำเสียงของเศรษฐีหวังร้อนรนยิ่งขึ้น “ดังนั้น ข้าถึงได้ขอให้พวกท่านช่วยเหลืออย่างไรเล่า พวกท่านวางใจเถอะ ขอเพียงแค่เรื่องนี้สำเร็จ จะต้องมีประโยชน์สำหรับพวกท่านแน่นอน” 

 

 

“พูดเป็นเล่น ชิงเอ๋อร์เป็นหลานชายแท้ๆ ของข้า วันนี้เขาได้เป็นจอหงวนแล้ว จะต้องไม่ลืมพวกข้าอย่างแน่นอน หลังจากนี้จะไม่มีประโยชน์ต่อพวกข้าเสียที่ไหนกันเล่า 

 

 

เมื่อเอ่ยถึงเมิ่งชิง หลี่เหล่าซานก็มีท่าทางฮึกเหิมทรงพลังขึ้นมา พูดออกมาโดยไม่ได้ไตร่ตรองหรือยั้งคิดทันที 

 

 

“ข้ารู้ๆ แต่ว่าน้ำที่อยู่ไกล ไม่อาจช่วยดับกระหายในตอนนี้[2] ได้นินา ตอนนี้พวกท่านก็ยังไม่ได้ไปนับญาติกันที่บ้านเลยไม่ใช่หรือ 

 

 

ทั้งสี่เงียบกริบในทันที 

 

 

เศรษฐีหวังเห็นแล้ว ก็ขยิบตาส่งสัญญาณให้พ่อบ้านครั้งหนึ่ง 

 

 

พ่อบ้านที่เข้าใจแล้ว ก็เดินออกไป ครู่เดียวก็ถือห่อผ้าเข้ามาหนึ่งห่อ และจัดการบางส่วนบนโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้าทุกคนให้สะอาด พร้อมกับวางห่อผ้าลงบนโต๊ะ 

 

 

หลี่เหล่าซานถลึงตา “นี่คืออะไร” 

 

 

เศรษฐีหวังยื่นมือออกมาเปิดห่อผ้า เงินสี่แท่งใหญ่ก็ปรากฏอยู่ด้านหน้าหลายคนในตอนนี้ 

 

 

ทั้งสี่คนเบิกตาโตในทันที 

 

 

ผู้เฒ่าหลี่ถึงขั้นยื่นมือออกไปลูบด้วยความตื่นเต้นอย่างควบคุมไม่อยู่ 

 

 

เศรษฐีหวังปล่อยเหยื่อล่อออกมา “นี่คือเงินสี่สิบตำลึง ทุกแท่งเงินเท่ากับสิบตำลึง ขอเพียงแค่พวกท่านรับปากช่วยเอ่ยถึงข้าต่อหน้าเมิ่งชิง ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นของพวกท่านแล้ว” 

 

 

ทั้งสี่คนกลืนน้ำลายอย่างลืมตัว ผู้เฒ่าหลี่ถามอย่างไม่เชื่อว่า “นี่ นี่คือของจริงหรือ” 

 

 

“แน่นอนว่าเป็นของจริง” 

 

 

พูดถึงตรงนี้ ก็ชูขึ้นมาห้านิ้ว และเอ่ยต่อว่า “ไม่เพียงเท่านี้นะ หลังจากเรื่องนี้สำเร็จแล้ว ข้าจะให้พวกท่านทุกคนอีกคนละห้าสิบ…” พูดถึงตรงนี้แล้ว ก็เปลี่ยนเป็นหนึ่งนิ้ว “ไม่ ทุกคนคนละหนึ่งร้อยตำลึง” 

 

 

ทั้งสี่คนร้องเสียงสูงเป็นเสียงเดียวกัน ตื่นเต้นเสียจนตาถลน 

 

 

เศรษฐีหวังพยักหน้า “ไม่ผิด ร้อยตำลึง” 

 

 

ผู้เฒ่าหลี่ยื่นมือออกไปคว้าเงินแท่งมากำเอาไว้ในมืออย่างสบายใจด้วยความรวดเร็ว “เรื่องนี้ ข้ารับปากแล้ว รอพวกข้าเตรียมการวางแผนสักสองวัน ตอนที่ไปพบหน้าชิงเอ๋อร์ จะช่วยพูดถึงคำพูดของท่านแน่นอน” 

 

 

พี่น้องสกุลหลี่เห็นเช่นนั้น ก็ไม่เกรงใจอีกแล้ว ต่างยื่นมือออกไปคว้าเงินแท่งของแต่ละคนเอาไว้ในมือ 

 

 

การกระทำของพวกเขา ทำให้เศรษฐีหวังใจสงบ จึงประสานมือไว้ระดับอกทำความเคารพต่อทุกคน “เช่นนี้ ข้าก็จะรอคอยข่าวดีจากพวกท่าน” 

 

 

“อย่างน้อยสามวัน อย่างมากห้าวัน พวกข้าจะให้คนนำจดหมายไปส่งท่าน” 

 

 

“ดี!” 

 

 

เศรษฐีหวังรับคำอย่างอารมณ์ดี ลูบเครา พลางหัวเราะออกมา 

 

 

พ่อลูกสกุลหลี่ที่กำเงินแท่งเอาไว้ในมือก็หัวเราะออกมาเช่นกัน 

 

 

หลายคนคิดคำนวณกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าเมิ่งจงจวี่จะเสนอความคิดที่จะอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้ต่อโดยไม่กลับไปออกมากะทันหัน พาให้ทุกคนตกใจแทบตาย หลังจากพูดโน้มน้าวเขาได้สำเร็จแล้ว ก็รีบเก็บสัมภาระทันที พรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางกลับเมืองหลวง รอถึงตอนที่พ่อลูกสกุลหลี่สี่คนเตรียมการวางแผนกันด้วยความยากลำบากเสร็จ รวบรวมความกล้ามาที่หมู่บ้านหวงชุน เมิ่งชิงก็ตามกลับเมืองหลวงไปเสียแล้ว 

 

 

ผู้เฒ่าหลี่ตบขาด้วยความเสียใจสุดซึ้ง แต่ว่าไม่มีหนทางอื่น ทุกคนจึงทำได้เพียงแค่เดินกลับไปยังหมู่บ้านสกุลหลี่อย่างหมดอาลัยตายอยาก ส่งหลี่เหล่าซานไปจวนเศรษฐีหวัง เพื่อแจ้งข่าวนี้แก่เขาด้วยความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน 

 

 

เศรษฐีหวังฟังจบแล้ว ก็ตบเข้าที่ไหล่ของหลี่เหล่าซาน “พี่ชายสาม ไม่พบคนก็ไม่เป็นไร พวกเราสามารถไปหาที่เมืองหลวงได้” 

 

 

  

 

 

  

 

 

[1] ปอหลังกู่ เป็นเครื่องดนตรีโบราณ ปัจจุบันใช้ใน 3 ลักษณะคือ เป็นเครื่องให้สัญญาณในพิธีกรรมบางพิธี เป็นเครื่องมือในการค้าขายของคนขายสินค้าหาบเร่ สินค้าประเภทผ้า และเป็นของเล่นเด็กที่มักจะเรียกกันว่า กลองป๋องแป๋ง  

 

 

[2] น้ำที่อยู่ไกล ไม่อาจช่วยดับกระหายในตอนนี้ หมายความว่า ญาติที่อยู่ไกล ไม่อาจสู้เพื่อนบ้านมิตรเรือนเคียงได้