ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 5 ล้มเลิกความคิดนี้ไปเสีย

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านสกุลหลี่นั้น เป็นธรรมดาที่ผู้คนในตระกูลเมิ่งจะไม่รู้เรื่อง ในแต่ละวัน เมิ่งจงจวี่วางแผนเรื่องที่ตัวเองจะอยู่ที่นี่ต่ออย่างมีความสุข เมิ่งต้าจินและเหล่าพี่น้องยุ่งวุ่นวายอยู่กับการต้อนรับผู้คนในหมู่บ้านที่มาแสดงความเป็นมิตร เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนนั้นยิ่งไม่ว่างเข้าไปใหญ่ ไม่เพียงเพราะจูหลานที่พาเด็กเล็กคนชรากลับมาด้วย กระทั่งนายอำเภอและเจ้าเมือง รวมไปถึงผู้คนที่มีชื่อเสียงเรียงนาม และเหล่านายท่านเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่อยู่ในละแวกนี้ ก็พากันมาเยี่ยมเยียนอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเป็นเวลานานหลายวันติดต่อกัน รถม้าสารพัดรูปแบบที่หน้าประตูบ้านตระกูลเมิ่งขวักไขว่ไปมาไม่ขาดสาย ตั้งแต่เช้ายันค่ำ เมิ่งเชี่ยนโยวรับมือเสียจนปวดศีรษะ จึงโยนเรื่องราวทั้งหมดให้เมิ่งอี้เซวียนอย่างไม่ลังเล 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนสะบัดมือครั้งหนึ่ง ส่งต่อให้กับเมิ่งเสียน 

 

 

เมิ่งเสียนครุ่นคิดดูแล้ว ก็ลากเมิ่งเหรินมา พูดอยู่นานสองนานกว่าจะทำให้เขารับเรื่องน่ารำคาญใจนี้ไปจัดการได้ 

 

 

เมิ่งเหรินอาศัยอยู่ที่สภาฮั่นหลิน[1]มาหลายปีแล้ว จึงคล่องแคล่วกว่ามาก การรับมือกับเหล่าผู้มาเยือนนั้นก็ง่ายดังปอกกล้วยเข้าปาก 

 

 

แม้ว่าจะไม่ได้พบกับซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อ แต่เมิ่งเหรินก็เป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนักเช่นกัน ถ้าหากว่าประจบสอพลอได้สำเร็จ ก็มีประโยชน์อันใหญ่หลวง ผู้คนที่มาเยี่ยมเยียนถึงที่นี่ก็ล้วนน้อมรับน้ำใจนี้ไว้ด้วยความยินดี 

 

 

อึกทึกครึกโครมติดต่อกันหลายวัน ผู้คนที่มาเยี่ยมเยียนก็ลดน้อยลง ในที่สุด ภายในบ้านก็สงบเงียบได้อีกครั้ง 

 

 

เมิ่งจงจวี่เรียกทุกคนในตระกูลมารวมตัวกัน บอกถึงความตั้งใจของตัวเองที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป คราวนี้ บรรยากาศวุ่นวายอลหม่านขึ้นมาทันที เมิ่งชิงกระโดดออกมาคัดค้านเป็นคนแรก “ท่านปู่ ไม่ได้นะขอรับ ข้าเพิ่งจะเข้าร่วมกองทัพ ท่านปู่ยังไม่ได้เห็นข้าสร้างผลงานด้วยตาท่านเองเลย ท่านจะอยู่ที่นี่ต่อได้อย่างไรขอรับ” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นคัดค้านเป็นคนที่สอง “ท่านพ่อ หลายปีมานี้ กิจการของตระกูลล้วนถูกย้ายไปที่เมืองหลวงหมดแล้ว ถ้าหากว่าท่านอยู่ต่อที่นี่ แล้วจะทำอย่างไรกับกิจการดีเล่า” 

 

 

เมิ่งต้าจินคัดค้านเป็นคนที่สาม “ท่านพ่อ เด็กพวกนี้ล้วนอยู่ที่เมืองหลวงกันทั้งนั้น ท่านกล่าวว่าท่านต้องการจะอยู่ที่บ้าน พวกเราจะวางใจกันได้อย่างไรเล่า” 

 

 

คนที่เหลือทั้งหมดก็คัดค้านเช่นกัน 

 

 

เมิ่งจงจวี่คิดเอาไว้แล้วว่าพวกเขาจะคัดค้าน แต่คิดไม่ถึงว่าคนทั้งบ้านจะไม่มีใครสักคนที่สนับสนุน รวมไปถึงเหล่าเมิ่งซื่อด้วย จึงลังเลไปชั่วขณะ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูเหตุการณ์ตรงหน้า ยิ้มกริ่ม ก้าวเดินมาถึงหน้าเขา “ท่านปู่ ข้ารู้ว่าท่านคิดถึงบ้าน เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ข้ารับปากท่าน รอผ่านไปสักสองสามปี รอให้เด็กๆ โตกันหมดแล้ว พวกเราทุกคนก็วางมือจากเรื่องของเมืองหลวง และกลับมาอยู่เป็นเพื่อนท่านในช่วงบั้นปลายชีวิตทั้งหมดดีไหมเจ้าคะ” 

 

 

ชั่วชีวิตมนุษย์เรา ต้องการก็เพียงแค่ช่วงชีวิตในบั้นปลายที่สงบก็เท่านั้น ประโยคนี้ของนาง พูดถึงสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจเมิ่งจงจวี่ เขาหัวเราะ ฮ่าๆ ความคิดที่จะอาศัยอยู่ที่บ้านต่อนั้นเลือนหายไป พร้อมกับผงกศีรษะ “ดีๆ ๆ อาศัยช่วงที่กระดูกของข้ายังแข็งแรงดี ไปอยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้าที่เมืองหลวงสักหลายปี” 

 

 

ทุกคนเป่าปากโล่งอก พวกเมิ่งเสียนก็พากันลอบยกนิ้วโป้งให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขยิบตาใส่พวกเขาด้วยความลำพองใจ เมิ่งอี้เซวียนล้วนเห็นอยู่ในสายตา นัยน์ตามีประกายพาดผ่านเงียบๆ  

 

 

เกรงว่าจะมีเพียงแค่เมิ่งจงจวี่ที่รู้สึกเสียใจในภายหลัง หลังจากที่ทุกคนออกจากเรือนของเขาไป ก็รีบหารือเรื่องกลับเมืองหลวงกันทันที เมิ่งอี้เซวียนจับมือเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นมาโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม “โยวเอ๋อร์ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตามเขากลับไปยังห้องของตัวเองโดยไร้ซึ่งความแคลงใจ เพิ่งจะก้าวเข้าไปในห้อง นางก็ถูกเมิ่งอี้เซวียนอุ้มขึ้นมาแล้วกดไว้บนเตียง 

 

 

“เจ้าจะทำอะไรน่ะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท้องฟ้าด้านนอกยังสว่างอยู่ จึงดิ้นรนขัดขืน แต่จนปัญญาที่นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา จึงถูกเขาทับเอาไว้ใต้ร่างจนมิอาจจะกระดิกตัวได้ 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเงยหน้ามองนาง พร้อมรอยยิ้มอันเจิดจ้า 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถูกรอยยิ้มของเขาทำให้มึนงง ใจลอยไปชั่วขณะ รอจนกระทั่งได้สติกลับคืนมาแล้ว เสื้อผ้าบนร่างกายก็หายไปไหนหมดแล้วไม่รู้ 

 

 

“เจ้าคนหื่นกาม! ไม่ได้นะ!” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมุบขมิบเอ่ยออกมาได้แค่สองคำ ก็ถูกเขาจับกลืนลงท้องอย่างร้อนแรงไปแล้ว 

 

 

  

 

 

หมู่บ้านสกุลหลี่  

 

 

วันรุ่งขึ้น เศรษฐีหวังก็พาหลี่ชุ่ยฮวาที่สวมเสื้อผ้าชุดใหม่กลับไปยังบ้านแม่ยาย 

 

 

แม้ว่าจะมีเครื่องแต่งกายที่พอดีตัวอำพรางอยู่ แต่เส้นผมสีขาวโพลนบนศีรษะของบุตรสาวก็มิอาจปิดบังความทุกข์ทรมานที่ได้รับยามอยู่ที่จวนเศรษฐีหวังในหลายปีนี้ได้ เมื่อผู้เป็นมารดาของหลี่ชุ่ยฮวาได้พบหน้ากับบุตรสาว ก็กอดนางร้องไห้โฮยกใหญ่ 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาก็ร้องไห้จนตาบวมเช่นกัน ในใจก็รู้สึกเสียใจต่อเรื่องที่ตัวเองทำผิดในปีนั้นอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบของนาง ตอนนี้ก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ได้กินอิ่ม เสื้อผ้าก็สวมไม่อุ่น ในทุกวันยังต้องถูกทรมานราวกับไม่ใช่คน 

 

 

บิดาของหลี่ชุ่ยฮวายืนสูบยาสูบ ซู้ด ซู้ด อยู่อีกด้านอย่างไม่ใส่ใจ รอจนสูบไปพอสมควรแล้ว ถึงได้ใช้ส้นรองเท้าเคาะปล้องยาสูบที่ทำขึ้นเอง พร้อมกับเอ่ยด้วยความหงุดหงิดว่า “พอแล้วๆ นี่ก็กลับมาในสภาพดีอยู่ไม่ใช่หรือ ยังจะร้องไห้อะไรอีก เร็วๆ เข้า ไปจัดเตรียมอาหารสักหลายอย่าง จะได้ให้เศรษฐีหวังทานข้าวที่บ้าน” 

 

 

เศรษฐีหวังรีบเอ่ยว่า “ท่านแม่ยายไม่ได้เจอกับชุ่ยฮวามานานหลายปี เจ้าอยู่พูดคุยกับนางเถิด วันนี้ข้านำเครื่องปรุงและพ่อครัวของจวนมาด้วย ให้เขาทำอาหารดีๆ เต็มโต๊ะ พวกเราพ่อตาและลูกเขยจะได้ดื่มกันสักจอก” 

 

 

บิดาของหลี่ชุ่ยฮวาไม่เคยได้รับการดูแลและปฏิบัติเช่นนี้ ชั่วขณะหนึ่งจึงอึ้งไป ไม่รู้ว่าจะตอบรับอย่างไร กลายเป็นหลี่เหล่าซานที่เอ่ยแทนว่า “ดีสิ วันนี้พวกเราจะได้มีลาภปากด้วย กินข้าวอย่างสบายอกสบายใจกันสักมื้อ” 

 

 

“นั่นเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว พ่อครัวที่ข้าพามาด้วยวันนี้ เป็นพ่อครัวที่ยอดเยี่ยมที่สุดในจวนของข้า ให้เขาทำอาหารจานเด็ดออกมาให้พวกท่านชิมสักหลายจานหน่อย” 

 

 

เอ่ยจบแล้วก็กำชับความกับพ่อบ้าน “นำคนและเครื่องปรุงเข้ามา” 

 

 

พ่อบ้านรับคำ และเดินออกไป 

 

 

เศรษฐีหวังเอ่ยกับหลี่เหล่าซานยิ้มๆ ว่า “พี่ชายสาม รบกวนท่านช่วยนำทางพวกเขาไปยังห้องครัวหน่อยเถอะ” 

 

 

“ได้เลย!” 

 

 

หลี่เหล่าซานตอบรับด้วยความดีใจ และเดินตามออกไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

อาหารทำเสร็จแล้ว กลิ่นหอมลอยอบอวลไปทั่วหมู่บ้าน ส่งผลให้ผู้คนไม่น้อยพากันสูดจมูกดม 

 

 

นัยน์ตาบิดาของหลี่ชุ่ยฮวาทอประกายสว่างวาบ ชั่วชีวิตนี้ของเขาก็ไม่เคยได้ดมกลิ่นอาหารที่หอมขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน หากได้กินสักมื้อ แม้จะต้องตายก็คุ้มค่าแล้ว 

 

 

หลี่เซิ่งสามพี่น้องก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายหลายอึก 

 

 

พ่อบ้านเดินเข้ามา รายงานอย่างนอบน้อมว่า “นายท่าน อาหารทำเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ” 

 

 

หลี่เหล่าซานพับชายแขนเสื้ออย่างเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ 

 

 

พ่อบ้านมองไปทางเศรษฐีหวัง 

 

 

เศรษฐีหวังพยักหน้า พ่อบ้านถึงได้ก้าวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว สั่งให้คนเช็ดโต๊ะโกโรโกโสตัวนั้นของบ้านสกุลหลี่รอบแล้วรอบเล่า จนกระทั่งสะอาดแล้ว ถึงได้ย้ายเข้าไปไว้ด้านในตัวบ้าน อาหารทั้งหมดก็มีบ่าวเป็นผู้ยกมาให้ 

 

 

บิดาของหลี่ชุ่ยฮวาและสามพี่น้องตระกูลหลี่มองอาหารที่ไม่เคยเห็น และไม่รู้ว่ามีชื่อเรียกว่าอะไรเหล่านั้นแล้ว ก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป พากันพุ่งตัวไปที่ข้างโต๊ะ ไม่ทันได้นั่งเรียบร้อย ก็คว้าตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารด้วยความร้อนอกร้อนใจ กินอย่างตะกละตะกลามเสียแล้ว 

 

 

มุมปากเศรษฐีหวังเบะลงเล็กน้อย เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะคิดเผื่อหลานทั้งสองคนนั้นของตัวเองล่ะก็ อาศัยแค่ท่าทางการกินของคนสกุลหลี่ หลังจากกลับไปเขาจะบีบหลี่ชุ่ยฮวาให้ตายคามือตัวเอง ทำลายความคิดที่จะเกี่ยวดองเป็นญาติกับสกุลหลี่ในภายหลังเสีย 

 

 

“น้องเขย เจ้าก็มากินด้วยกันสิ” 

 

 

หลี่เหล่าซานที่มือถือน่องไก่น่องหนึ่ง พูดจาอู้อี้ เพราะกัดเข้าไปคำโต 

 

 

เศรษฐีหวังโบกมือไปมา หัวเราะชอบใจ “วันนี้ข้ากินข้าวสายไปหน่อย จึงยังไม่หิวเท่าไร พวกท่านกินกันไปก่อนเลย มีอะไร พวกเราค่อยคุยกันทีหลัง” 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกข้าไม่เกรงใจล่ะนะ” 

 

 

หลี่เหล่าซานคีบอาหารเข้าปากคำโต เคี้ยวไปพลาง พูดไปพลาง 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] สภาฮั่นหลิน มีหน้าที่บันทึกและแก้ไขประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ และเป็นสถานศึกษาและฝึกงานของผู้ที่ผ่านการสอบหน้าพระที่นั่ง เพื่อเตรียมตัวเป็นขุนนางชั้นสูงต่อไป