ใบหน้าชราของเศรษฐีหวังแดงก่ำ จากนั้นหัวเราะออกมา “ท่านลุงสามช่างล้อเล่นเก่งเสียจริง มาๆๆ เชิญท่านนั่งก่อน”
หลี่เหล่าซานนั่งลงอย่างไม่เกรงใจ
หลี่ชุ่ยฮวายืนกล้าๆ กลัวๆ อยู่ที่เดิม ไม่กล้าขยับตัว
นัยน์ตาของเศรษฐีหวังมีประกายเย้ยหยันพาดผ่าน ทว่าใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าการที่ท่านลุงสามมาเยือนที่นี่ในวันนี้มีเรื่องอันใดหรือ”
เมื่อรู้ว่าหลานของตนเองได้เป็นจอหงวนฝ่ายบู๊ ตนเองก็สูงกว่าผู้อื่นขั้นหนึ่ง หลี่เหล่าซานจึงพิงหลังเข้ากับเก้าอี้ นั่งไขว่ห้าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แข็งข้อขึ้นไม่น้อย “นับตั้งแต่ที่น้องเล็กของข้าแต่งเข้าสกุลหวังของท่านมา ก็ไม่ได้กลับไปแม้แต่ครั้งเดียว ท่านแม่ของข้าคิดถึงนางจนล้มป่วยแล้ว วันนี้ข้าจะมาพานางกลับไปพักที่บ้านสักสองสามวัน”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่เอ่ยความจริง มุมปากเศรษฐีหวังก็เบ้เล็กน้อย แย้มรอยยิ้มเหยียดหยามออกมา “ท่านลุงสาม ในคราแรกชุ่ยฮวาแต่งเข้ามาเป็นอนุภรรยา ท่านเคยได้ยินมาว่าอนุภรรยาคนไหนสามารถกลับบ้านมารดาได้ตามใจชอบหรือ”
หลี่เหล่าซานเบิกตากว้าง ลุกขึ้นยืนทันที พลางเอ่ยถามด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรว่า “ความหมายของท่านคือ ไม่เห็นด้วยเช่นนั้นหรือ”
บนใบหน้าของเศรษฐีหวังยังคงมีรอยยิ้มเช่นเดิม “ข้าหมายความว่าบ้านของผู้อื่น แต่ที่บ้านข้านั้นไม่เหมือนกันแน่นอน ท่านถามชุ่ยฮวาดูสิว่า ที่นางแต่งเข้ามาในหลายปีมานี้ ของกิน ของใช้ เสื้อผ้าสวมใส่ ข้าเคยปฏิบัติต่อนางอย่างไม่เป็นธรรมหรือไม่ ข้าเห็นนางเป็นสิ่งล้ำค่า จะไม่อนุญาตในเรื่องเล็กน้อยอย่างเช่นการกลับไปบ้านมารดาได้อย่างไร”
เอ่ยจบแล้วก็หันไปทางหลี่ชุ่ยฮวา ยิ้มหวานพลางถามว่า “ใช่หรือไม่ ชุ่ยฮวา?”
หลี่ชุ่ยฮวาที่รับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมาของเขา ร่างกายก็สั่นสะท้าน ขยับเท้าหลบไปอยู่ด้านหลังหลี่เหล่าซานโดยไม่ต้องคิด
รอยยิ้มของเศรษฐีหวังแข็งค้างเล็กน้อย
หลี่ชุ่ยฮวาใช้ชีวิตผ่านคืนวันเช่นไรในเรือนของเศรษฐีหวังนั้น หลี่เหล่าซานรู้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ในอดีตจนปัญญาที่ไม่มีเงินทอง และไร้ซึ่งอำนาจ แม้ว่าอยากจะช่วยนางออกมาจากกองเพลิง ก็มีใจแต่ไร้เรี่ยวแรง แต่ในวันนี้ไม่เหมือนกัน เมิ่งชิงได้เป็นจอหงวนฝ่ายบู๊ หลังจากนี้ก็จะได้เป็นขุนนาง ไม่ว่าเขาจะยอมรับหรือไม่ หลี่ชุ่ยฮวาก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดเขา ตนเองก็เป็นลุงแท้ๆ ของเขา เมื่อมีความสัมพันธ์นี้ ถึงตอนนั้นยังต้องกลัวเศรษฐีหวังที่ไม่เคยพบเจอโลกภายนอกอีกหรือ ในใจคิดเช่นนี้ จึงมีท่าทางหยิ่งผยองมากขึ้น ยื่นมือไปขวางอยู่ด้านหน้าร่างหลี่ชุ่ยฮวา “เศรษฐีหวัง ท่านตอบมาเสียว่า การที่ข้าจะรับน้องสาวกลับไปในวันนี้ ท่านเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย”
เศรษฐีหวังเหลือบตามองท้องฟ้าเบื้องนอก แสร้งทำเป็นยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านลุงสาม ยามนี้ก็ดึกมากแล้ว กลับบ้านมารดาในยามนี้จะส่งผลไม่ดีต่อชื่อเสียงของข้าและชุ่ยฮวา เอาเช่นนี้แล้วกัน วันนี้ท่านกลับไปก่อน รอพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ข้ากับชุ่ยฮวาจะกลับไปด้วยกัน หลายปีมานี้ สุขภาพข้าไม่ค่อยจะดี จึงไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนท่านพ่อตาเลย อาศัยช่วงเวลานี้ที่ข้าร่างกายแข็งแรงขึ้นมาเล็กน้อย จะไปเยี่ยมพวกเขาในวันพรุ่ง”
หลี่เหล่าซานมองเขาด้วยความสงสัย ในใจก็ครุ่นคิดถึงวาจาที่เขาเอ่ยอยู่หลายครั้ง ก็ยังจับใจความไม่ได้ จึงส่ายศีรษะทันที “ไม่ได้ วันนี้ข้าจะพาน้องสาวกลับไป!”
เศรษฐีหวังถามขึ้นทันทีว่า “ไม่ใช่ว่าการที่ท่านลุงสามต้องการรับชุ่ยฮวากลับไปด้วยกันวันนี้จะเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นในบ้านอย่างนั้นหรือ”
หลี่เหล่าซานตอบอย่างไม่คิดว่า “แน่นอนว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว หลานชายของข้า…”
เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะหลุดปากเอ่ย หลี่ชุ่ยฮวาก็ลืมความกลัว ออกแรงบิดแขนเขาไปทีหนึ่ง
หลี่เหล่าซานไม่ทันได้ระวัง จึงร้องโอ๊ยออกมา “ชุ่ยฮวา เจ้าทำอันใดกัน”
หลี่ชุ่ยฮวาส่งสายตาให้เขา
หลี่เหล่าซานถึงได้รู้สึกตัวขึ้นว่าตัวเองกำลังจะกล่าวอันใด จึงรีบหุบปากฉับ
เศรษฐีหวังล้วนเห็นอยู่ในสายตา ในใจก็ลอบหัวเราะเยาะ ซักถามต่อว่า “หลานชายคนนั้นของท่านทำไมหรือ”
หลี่เหล่าซานนัยน์ตาไหววูบ “ไม่ ไม่มีอันใด”
“ในเมื่อท่านลุงสามไม่ยินยอมที่จะกล่าว ข้าก็จะไม่ถามแล้ว อย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า ทว่าวันนี้ชุ่ยฮวาไม่สามารถตามท่านกลับไปด้วยได้”
เอ่ยจบแล้วก็ไม่รอให้หลี่เหล่าซานรู้สึกตัว สั่งพ่อบ้านว่า “พ่อบ้าน! ส่งแขก!”
เอ่ยจบแล้วก็ลอบส่งสายตาให้กับพ่อบ้าน
พ่อบ้านที่เข้าใจก็โบกมือทันที บ่าวรับใช้ที่ร่างกายแข็งแรงล้อมอยู่ด้านหน้าหลี่เหล่าซาน พ่อบ้านทำท่าทางผายมือเชื้อเชิญ “เชิญขอรับ!”
คนฉลาดย่อมรู้จักเอาตัวรอด เมื่อมองบ่าวรับใช้สี่คนที่ร่างกายสูงใหญ่แข็งแรงตรงหน้า หลี่เหล่าซานก็เกิดกลัวขึ้นมา แต่ภายนอกยังคงแค่นเสียงด้วยความไม่พอใจ เอ่ยว่า “พรุ่งนี้ยามเช้า พวกเราจะรอพวกท่านอยู่ที่บ้าน ถ้าหากว่าท่านไม่มา ก็อย่าโทษว่าพวกข้าไม่เกรงใจท่านแล้วกัน”
กล่าวจบแล้ว ก็เดินจับชายเสื้อที่มีรอยปรุเดินออกไปด้านนอก
“พี่สาม!”
หลี่ชุ่ยฮวาที่อยู่ด้านหลังตะโกนเรียกอย่างวิตกกังวล ก้าวเท้าตามไปอย่างอดมิได้
พ่อบ้านยื่นมือออกมาขวางนางเอาไว้ “หลี่อี๋เหนียงโปรดช้าก่อน!”
หลี่ชุ่ยฮวาถูกบังคับให้หยุด จึงทำได้เพียงแค่มองดูหลี่เหล่าซานเดินห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
เศรษฐีหวังกระแอมไอ ร่างของหลี่ชุ่ยฮวาสั่นระริก หันกลับไปมองเขาอย่างหวาดกลัว
“ชุ่ยฮวาเอ๋ย”
เศรษฐีหวังเรียกพลางก้าวขึ้นไปด้านหน้าอย่างคิดจะตบไหล่นาง
อ๊า!
หลี่ชุ่ยฮวากรีดร้องเสียงแหลมออกมาตามสัญชาตญาณ ตกใจจนถอดกรูดไปด้านหลัง
เศรษฐีหวังมองมือที่ค้างอยู่กลางอากาศของตนเองแล้วก็ขมวดคิ้ว
หลี่ชุ่ยฮวาคุกเข่าลงกับพื้นดังตึง โขกศีรษะไม่หยุด “นายท่านไว้ชีวิตด้วย นายท่านไว้ชีวิตด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่ได้ตั้งใจ!”
เศรษฐีหวังย่อตัวลง
หลี่ชุ่ยฮวาหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม ร่างกายที่สั่นระริกขดถอยหลังไปเล็กน้อย โดยที่ยังไม่ยอมหยุดโขกศีรษะร้องขอความเมตตา นางถูกวิธีการทรมานคนของเศรษฐีหวังเหล่านั้นทำให้ตกใจกลัวแล้วจริงๆ
เศรษฐีหวังยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีอ่อนโยนว่า “ชุ่ยฮวาเอ๋ย เจ้าไม่ต้องกลัว หลายปีมานี้เจ้าติดตามอยู่ข้างกายข้า ไม่มีความดีความชอบก็ยังมีความลำบากเช่นกัน ข้าจะไม่ทำอันใดกับเจ้า”
สิบกว่าปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเศรษฐีหวังใช้น้ำเสียงเช่นนี้สนทนากับนาง หลี่ชุ่ยฮวาตกตะลึงเสียจนขวัญหนีดีฝ่อ เสียงร้องขอความเมตตาจึงดังขึ้นมากกว่าเดิม “นายท่าน ท่านเมตตาข้าเถอะนะเจ้าคะ ข้าจะรีบไปซักเสื้อผ้าและไม่เอ่ยเรื่องการกลับไปเยี่ยมบ้านอีก”
“ซักผ้า?”
เศรษฐีหวังขมวดคิ้ว หันไปถามพ่อบ้าน “ซักผ้า? ผู้ใดที่ใจกล้านัก กล้าให้หลี่อี๋เหนียงซักเสื้อผ้า”
พ่อบ้านก็แสร้งทำท่าทางตกใจ “เรียนนายท่าน เรื่องนี้ข้าน้อยมิทราบ นายท่านโปรดวางใจ ข้าน้อยจะไปสืบเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“สืบ ไปสืบให้ชัดเจนว่าผู้ใดให้หลี่อี๋เหนียงทำเช่นนี้ ลงโทษไม่ให้นางกินข้าวเป็นเวลาสามวัน!”
เศรษฐีหวังสั่งด้วยน้ำเสียงดุร้าย
พ่อบ้านรับคำ แต่ฝีเท้าไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย
เศรษฐีหวังกลับมามีสีหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิม ลุกขึ้นยืน พลางเอ่ยจากด้านบนว่า “ชุ่ยฮวา ลำบากเจ้าแล้ว ข้าผิดเอง เจ้าลุกขึ้นมาก่อน ข้ามีเรื่องจะกล่าวกับเจ้า”
หลี่ชุ่ยฮวาตาเบิกโพลงราวกับเห็นผี รีบร้อนขดตัวงอราวกับเห็นภาพตนเองถูกทรมานอย่างโหดร้าย กรีดร้องเสียงดังจนเป็นลมหมดสติไปในทันที
เศรษฐีหวังถูกเสียงร้องของนางทำให้สะดุ้งตกใจ จึงถีบเข้าที่นางอย่างลืมตัว “สมควรตาย ถึงกับกล้ากรีดร้องเสียงดังต่อหน้าข้า”
หลี่ชุ่ยฮวาเป็นลมหมดสติไปแล้ว ร่างกายของนางก็ขยับไปมาเล็กน้อยหลังจากที่ถูกฝ่าเท้าของเขา
เศรษฐีหวังเพิ่งจะรู้ตัวว่าทำสิ่งใดลงไป จึงรีบหดเท้ากลับมา มองไปทางหลี่ชุ่ยฮวาที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นโดยไม่ขยับเขยื้อน ก็ก่นด่าอยู่หลายคำ ก่อนจะสั่งพ่อบ้านว่า “เจ้าไปตักน้ำมาราดปลุกนาง!”
พ่อบ้านรับคำ และกำลังจะเดินออกไป
เศรษฐีหวังรู้สึกว่าไม่เหมาะสมจึงห้ามเขาเอาไว้ “ช่างมันเถอะ เจ้าไปเรียกหญิงแก่ที่มีแรงเยอะมาปลุกนางให้ตื่น”
พ่อบ้านเดินออกไป ครู่หนึ่งก็พาหญิงแก่ร่างท้วมเดินเข้ามา ชี้ไปที่หลี่ชุ่ยฮวา พลางสั่งว่า “ทำให้นางตื่น!”
หญิงแก่ย่อตัวลง พลิกร่างของหลี่ชุ่ยฮวาแล้วออกแรงหยิกลงไปที่กลางลำตัวนาง กลางลำตัวของหลี่ชุ่ยฮวาก็เกิดรอยห้อเลือดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หลี่ชุ่ยฮวาค่อยๆ ได้สติขึ้นมา เมื่อเห็นหญิงแก่หน้าตาดุร้ายเบื้องหน้าแล้วก็ตกใจจนผลักนางออก
หญิงแก่ไม่ทันระวังตัวจึงถูกผลักล้มลงไปกองที่พื้น
ส่วนหลี่ชุ่ยฮวาก็ขดร่างกายตนเองเป็นก้อน ถามเสียงสั่นว่า “เจ้า เจ้าจะทำอันใด”
เสียงของเศรษฐีหวังดังขึ้นเหนือหูนาง “ชุ่ยฮวาเอ๋ย เจ้าเพิ่งจะหมดสติไป เป็นข้าที่สั่งให้หญิงแก่ผู้นี้หยิกที่กลางลำตัวเจ้า มิเช่นนั้นเจ้าก็คงตายไปแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงของเขา หลี่ชุ่ยฮวาก็ได้สติ เหตุการณ์เมื่อครู่ปรากฏขึ้นในสมองอีกครั้ง จึงตกใจได้สติขึ้นมา ลนลานโขกศีรษะอีกครั้ง “นายท่านโปรดไว้ชีวิตด้วย นายท่านโปรดไว้ชีวิตด้วย!”
เศรษฐีหวังโบกมือให้หญิงแก่
หลังจากหญิงแก่ลอบขึงตาใส่หลี่ชุ่ยฮวาอย่างดุร้ายแล้วก็ถอยออกไป
เศรษฐีหวังเปลี่ยนกลยุทธ์ เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ชุ่ยฮวาเอ่ย พรุ่งนี้ข้าจะกลับบ้านมารดาเจ้าเป็นเพื่อนเจ้า เจ้าคิดว่าอย่างไร”
หลี่ชุ่ยฮวาหยุดเคลื่อนไหวการโขกศีรษะ เงยหน้ามองเขาด้วยท่าทางตกตะลึง สงสัยว่าตนเองหูฝาดไป
“หลายปีมานี้ เรื่องทุกอย่างภายในบ้านล้วนมีข้าเป็นผู้รับผิดชอบผู้เดียว ยุ่งวุ่นวายจนไม่มีเวลา จึงได้ละเลยเจ้าไป วันนี้เมื่อท่านลุงสามเอ่ยขึ้นมา ข้าก็รู้สึกละอายใจไม่น้อย ดังนั้น ข้าตัดสินใจกลับบ้านมารดาเจ้าเป็นเพื่อนเจ้า เจ้าคิดว่าเป็นเช่นไร”
นัยน์ตาของหลี่ชุ่ยฮวามีประกายแห่งความหวังขึ้นมา ถามเสียงสั่นว่า “นายท่าน ท่านจะให้ข้ากลับบ้านมารดาข้าจริงหรือเจ้าคะ”
สิบกว่าปีมาแล้ว นับตั้งแต่ที่แต่งเข้าประตูบ้านเศรษฐีหวังมา นางก็ไม่เคยได้กลับไปเยี่ยมบ้านอีกเลย ไม่รู้ว่าคนในครอบครัวเป็นอย่างไรกันบ้าง โดยเฉพาะท่านพ่อท่านแม่ของตนเอง ก็มีอายุหลายสิบปีแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้สุขภาพยังดีอยู่หรือไม่
เมื่อเห็นนางผ่อนคลายลง เศรษฐีหวังก็รู้ว่ามีหนทางแล้ว จึงเอ่ยต่อว่า “พรุ่งนี้พวกเราจะกลับบ้านกัน เจ้ามิอาจกลับไปในสภาพเช่นนี้ได้ ฟังคำของข้า รีบกลับไปพักผ่อนให้เต็มที่ ยามพรุ่งจะได้กลับบ้านไปด้วยท่าทางที่สง่างาม”
หลี่ชุ่ยฮวารู้สึกราวกับฝันไป อึ้งเสียจนกล่าวอันใดไม่ออก
เศรษฐีหวังสั่งพ่อบ้าน “พาหลี่อี๋เหนียงออกไป สั่งให้คนปรนนิบัติให้ดี จากนั้นก็ไปสั่งให้คนตัดเสื้อผ้าที่เหมาะสมให้หลี่อี๋เหนียงชุดหนึ่ง ไม่สิ สองชุด”
พ่อบ้านรับคำ คำนับอย่างนอบน้อม “หลี่อี๋เหนียง เชิญขอรับ ข้าน้อยจะพาท่านไปพักผ่อน”
หลี่ชุ่ยฮวาลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางตกตะลึง มองไปทางเศรษฐีหวังและพ่อบ้านด้วยความมึนงง
เศรษฐีหวังโบกมือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ราวกับกลัวว่าจะทำให้นางตกใจ “ไปเถิด”
พ่อบ้านทำท่าเชื้อเชิญ หลี่ชุ่ยฮวาจึงเดินออกไปอย่างไม่มีสติ
เศรษฐีหวังมองเงาร่างของนางแล้ว มุมปากก็เผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยแผนการออกมา หากบุตรชายผู้นั้นของหลี่ชุ่ยฮวาสอบติดจอหงวนจริงๆ เขาก็ไม่หวังว่าจะได้รับผลประโยชน์มากมาย เพียงแค่ต้องการให้เมิ่งชิงผู้นั้นพาหลานชายทั้งสองของเขาไปเป็นขุนนางที่เมืองหลวงก็พอแล้ว ขอเพียงแค่เรื่องนี้ประสบความสำเร็จ แม้ว่าจะต้องจ่ายเงินทองมาเท่าใด เขาก็ไม่สนใจ