เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากกินอาหารเรียบร้อยแล้ว เมิ่งจงจวี่ที่นอนหลับสบายอย่างเต็มอิ่มก็มาที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน 

 

 

ส่วนหัวหน้าหมู่บ้านนั้นกลับตื่นเต้นจนนอนไม่หลับทั้งคืน จึงดูไม่มีชีวิตชีวามากเท่าที่ควร เมื่อเห็นเขามาเยี่ยม ก็พยายามฝืนทำตัวสดชื่น พลางเอ่ยถามว่า “จงจวี่ เมื่อคืนข้าคิดมาค่อนคืน ก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าถึงได้กลับมากราบไหว้บรรพบุรุษอย่างกะทันหัน หรือว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นที่เมืองหลวง” 

 

 

เมิ่งจงจวี่ลูบเครา หัวเราะออกมา “หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านคิดมากไปแล้ว สาเหตุที่ข้ากลับมากราบไหว้บรรพบุรุษในคราวนี้ ก็เป็นเพราะว่าหลานชายสองคนนั้นของข้า เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ต่างได้รับตำแหน่งจอหงวนฝ่ายบุ๋นและจอหงวนฝ่ายบู๊ ข้าจึงคิดจะกลับมาบอกกล่าวแก่บรรพบุรุษตระกูลเมิ่งสักหน่อย” 

 

 

“อะไรนะ” หัวหน้าหมู่บ้านเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ มือเท้าโต๊ะประคองร่างให้ลุกขึ้นยืน “เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ได้เป็นจอหงวนทั้งคู่หรือ” 

 

 

เมิ่งจงจวี่ผงกศีรษะยิ้ม “เมื่อวานกลัวว่าท่านจะตื่นเต้นเกินไปจนนอนไม่หลับในช่วงกลางคืน จึงไม่ได้บอกแก่ท่าน” 

 

 

หัวหน้าหมู่บ้านตื่นเต้นจนเครากระดิก ริมฝีปากสั่นระริกไม่หยุด ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ตะโกนเรียกคนเสียงดัง 

 

 

เมิ่งเกินลนลานวิ่งเข้ามา “ท่านพ่อ มีเรื่องอันใดหรือ” 

 

 

“ไป รีบไปแจ้งลูกหลานตระกูลเมิ่งทั้งหมดว่า วันนี้พวกเราจะเปิดหอบรรพชนเพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นชายหญิง เด็กหรือคนแก่ล้วนไม่สามารถขาดไปได้แม้แต่คนเดียว” 

 

 

เมิ่งเกินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความระมัดระวังว่า “ท่านพ่อ เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นหรือขอรับ” 

 

 

“เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่มาก ความศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเมิ่งได้สำแดงฤทธิ์เดชออกมาแล้ว ถึงกับได้มีจอหงวนถึงสองคนในเวลาเดียวกัน” 

 

 

เมิ่งเกินไม่เข้าใจความเป็นมาของเรื่องราว จึงมองไปทางเมิ่งจงจวี่ 

 

 

เมิ่งจงจวี่ยังไม่ทันได้กล่าวอันใด หัวหน้าหมู่บ้านก็ขึงตาใส่เขา ตำหนิว่า “ยังจะนิ่งอยู่ทำไมเล่า ยังไม่รีบไปอีก” 

 

 

“ขอรับ!” 

 

 

เมิ่งเกินรับคำ หมุนตัววิ่งเหยาะๆ ออกไป เรียกลูกชายที่อยู่ในเรือนไปแจ้งแต่ละครอบครัว 

 

 

หัวหน้าหมู่บ้านนั่งลงบนเก้าอี้ ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม คิดเพียงว่าน้ำชาในวันนี้ไม่เพียงแต่มีกลิ่นหอม ยังมีรสหวานเสียเหลือเกิน เป็นรสชาติที่เขาไม่เคยดื่มมาก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงด้วยความพอใจ 

 

 

เมื่อได้รับแจ้งว่า ไม่ว่าจะเป็นชายหญิงคนชราหรือเด็กล้วนให้ไปที่หอบรรพชน ผู้คนตระกูลเมิ่งล้วนเกิดความสงสัยขึ้นมา ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องสำคัญอันใดขึ้น ถึงต้องให้คนทั้งตระกูลกราบไหว้บรรพบุรุษด้วยกัน ทว่าหัวหน้าหมู่บ้านมีคำสั่งลงมา ไม่มีผู้ใดกล้าฝ่าฝืน ในไม่ช้าทุกคนก็มารวมตัวกันครบแล้ว เมิ่งต้าจินก็นำคนทั้งครอบครัวมาด้วยเช่นกัน 

 

 

หัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่ได้มีท่าทางงกๆ เงิ่นๆ อีกต่อไป เดินเข้ามาด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่าต่างจากปกติ ยืนสง่าอยู่หน้าประตูหอบรรพชน ยกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียงลง พลางเอ่ยเสียงดังว่า “สาเหตุที่เปิดหอบรรพชนเพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษในวันนี้ ก็เป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเมิ่งได้สำแดงฤทธิ์เดชออกมาแล้ว ทำให้ตระกูลเมิ่งของพวกเรามีจอหงวนถึงสองคนในเวลาเดียวกัน” 

 

 

“ฮือฮา” 

 

 

ฝูงชนส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจขึ้นมาทันที  

 

 

มีจอหงวนพร้อมกันสองคนในเวลาเดียวกัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

 

 

หัวหน้าหมู่บ้านมองปฏิกิริยาของทุกคนด้วยความพึงพอใจ ปล่อยให้พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์กันครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้พวกเขาเงียบเสียง และเอ่ยต่อเสียงดังว่า “จอหงวนสองคนนี้มิใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง หลายวันก่อนพวกเขาเพิ่งสอบได้เป็นจอหงวน และได้รับการคัดเลือกจากฮ่องเต้ มีตำแหน่งขุนนาง และอาศัยโอกาสว่างๆ ที่ยังไม่เข้ารับตำแหน่งกลับมากราบไหว้บรรพบุรุษ” 

 

 

สิ้นเสียงเขา สายตาอิจฉามากมายนับไม่ถ้วนก็จับจ้องไปที่ทั้งสองคน 

 

 

เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงประสานมือคำนับทุกคน  

 

 

เกิดเสียงปรบมือดังขึ้นจากฝูงชน 

 

 

หัวหน้าหมู่บ้านมองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างพอใจ รอจนเสียงปรบมือเบาลงแล้ว จึงได้ตะโกนขึ้นว่า “เปิดหอบรรพชน กราบไหว้บรรพบุรุษ!” 

 

 

ข่าวเรื่องที่เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงได้เป็นจอหงวนในเวลาเดียวกันนั้นถูกลือออกไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก ไม่นานก็ดังไปทั่วเมืองชิงซี  

 

 

คนในหมู่บ้านต่างภาคภูมิใจ คนนอกหมู่บ้านก็พากันอิจฉา ทว่าหมู่บ้านตระกูลหลี่ที่อยู่ในมุมหนึ่งของเมืองชิงซี หลังจากเหล่าพี่ชายของหลี่ชุ่ยฮวาได้ทราบข่าวแล้วก็ยังไม่อยากจะเชื่อ หลี่เซิ่งคว้าหมับเข้าที่คนส่งข่าว ขึงตาโตถามว่า “สิ่งที่เจ้ากล่าวมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือ เมิ่งชิงผู้เป็นหลานชายของเมิ่งจงจวี่ผู้นั้นสอบเป็นจอหงวนได้แล้วจริงหรือ” 

 

 

ชายที่เป็นเพียงแค่คนหาบเร่ขายของกล่าววาจาเช่นนี้ก็เพื่อดึงดูดให้ผู้คนสนใจอย่างมิต้องสงสัย เขาจะได้มีโอกาสขายของของตนเอง ทว่ากลับถูกหลี่เซิ่งที่รูปร่างใหญ่โตแข็งแรงคว้าเอาไว้เช่นนี้ จึงตกใจจนหน้าซีดเผือด กล่าววาจาติดขัดว่า “แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง กระทั่งท่านใต้เท้าผู้ว่าการอำเภอยังไปแสดงความยินดีกับตระกูลเมิ่งด้วยตนเอง หลายวันมานี้หน้าประตูบ้านตระกูลเมิ่งมีรถม้ามาเยือนอย่างไม่ขาดสาย” 

 

 

หลี่เซิ่งปล่อยเขา พึมพำกับตนเองว่า “นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” 

 

 

พี่รองของหลี่ชุ่ยฮวาก็ไม่เชื่อเช่นกัน เมิ่งเสียวเถี่ยเป็นคนเช่นไร พวกเขาสองพี่น้องรู้ดีชัดเจน สำหรับน้องสาวของตนเองนั้นไม่ต้องกล่าวถึง นางเป็นคนไร้สมองสิ้นดี เด็กสองคนนั้นจะสอบติดเป็นจอหงวนได้อย่างไรกัน นี่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด 

 

 

พี่สามของหลี่ชุ่ยฮวานั้นสงบกว่าเล็กน้อย “พี่ใหญ่ พี่รอง ในเมื่อพ่อค้ากล่าวเช่นนี้ ก็คงจะมีความจริงอยู่แปดเก้าส่วน ไม่สู้พวกเราลองไปสอบถามดูด้วยตนเองสักหน่อย ถ้าหากว่าเป็นความจริง พวกเรา…” 

 

 

“พวกเราจะทำอย่างไรได้เล่า อย่าลืมเสียล่ะว่า ในครานั้นน้องสาวของเราถูกหย่า ยิ่งไปกว่านั้น เมิ่งเสียวเถี่ยก็ตายไปนานแล้ว หลังจากนี้จะให้พวกเราใช้ประโยชน์จากความรุ่งโรจน์ของเด็กนั่นหรืออย่างไร” 

 

 

หลี่เซิ่งกล่าวอย่างไม่พอใจ  

 

 

เหล่าซานไม่สนใจ “นั่นก็ไม่แน่ ต่อให้น้องเล็กถูกหย่ามาแล้วอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นลุงของเขา นี่เป็นสิ่งที่เขาปฏิเสธไม่ได้” 

 

 

หลี่เอ้อสกุลหลี่ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมเช่นกัน “คนตระกูลเมิ่งนั้นไม่สมควรไปมีเรื่องด้วย เจ้าลืมเรื่องที่พวกเราไปหาเรื่องถึงที่แล้วถูกอัดเสียจนลงจากเตียงไม่ได้ไปหลายเดือนในปีนั้นแล้วหรือ ได้ยินมาว่าตอนนี้นางเด็กน่าตายในครอบครัวเมิ่งเอ้ออิ๋นเป็นพระชายาซื่อจื่อ พวกเรายิ่งล่วงเกินมิได้” 

 

 

เหล่าซานตาเบิกกว้าง “เช่นนั้นท่านว่าควรทำอย่างไรดี จะปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปโดยไม่หาผลประโยชน์หรือ” 

 

 

เหล่าเอ้อร์ครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “มิใช่ว่าหาผลประโยชน์มิได้ พวกเรานำเรื่องนี้ไปบอกกับน้องเล็ก อาศัยนิสัยที่ละโมบของเศรษฐีหวังนั่น จะต้องมีความคิดดีๆ เป็นแน่ ขอเพียงแค่ชิงเอ๋อร์ยอมรับพวกเขา พวกเราก็จะสามารถได้ประโยชน์ด้วย” 

 

 

นับว่าเป็นความคิดที่ดี หลี่เซิ่งและเหล่าซานพยักหน้าเห็นด้วย ส่งเหล่าซานไปหมู่บ้านข้างเคียง 

 

 

หลังจากที่หลี่ชุ่ยฮวาแต่งเข้าไปก็ถูกทารุณอย่างโหดร้ายไม่น้อย กลางดึกผู้คนในหมู่บ้านมักจะได้ยินเสียงร้องอย่างน่าเวทนาของนาง ทว่าในภายหลังที่สามพี่น้องสกุลหลี่หายจากอาการบาดเจ็บแล้วไปข่มขู่เศรษฐีหวังว่า ถ้าหากน้องสาวพวกเขามีอันเป็นไป แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตของพวกเขาก็จะแก้แค้นแทนนางให้ได้ 

 

 

คำโบราณกล่าวเอาไว้ได้ดี คนกร่างกลัวคนรั้น คนรั้นกลัวคนไม่กลัวตาย ยิ่งไปกว่านั้น เศรษฐีหวังที่อายุหกสิบกว่าปีแล้ว ก็รักตัวกลัวตายยิ่งนัก จึงถูกพวกเขาสามพี่น้องข่มขู่เข้า นับตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้ทรมานหลี่ชุ่ยฮวาอย่างรุนแรงเช่นนั้นอีกแล้ว แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อนางดีมากเช่นกัน กลางวันใช้นางทำงานชั้นต่ำราวกับสาวใช้ กลางคืนยังต้องรับผิดชอบหน้าที่อุ่นเตียงให้กับเศรษฐีหวัง อดทนกับเขา แม้ว่าจะเก็บงำบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงทรมานอย่างไร้มนุษยธรรมอยู่ดี อายุไม่ถึงสี่สิบ แต่มองดูแล้วคล้ายกับนางโลมที่อายุหกสิบอย่างไรอย่างนั้น สภาพอิดโรย สุขภาพย่ำแย่ พี่น้องสกุลหลี่ล้วนเห็นอยู่ในสายตา แม้ว่าจะสงสาร แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ ถึงอย่างไรน้องสาวของตนเองก็แต่งเข้าไปเป็นอนุภรรยาของเขาแล้ว 

 

 

เหล่าซานมาถึงบ้านของเศรษฐีหวัง แจ้งว่าจะขอพบหลี่ชุ่ยฮวา  

 

 

หลังจากบ่าวรับใช้มองเขาอย่างเหยียดหยามอยู่หลายครา ก็ไปรายงานอย่างมิมีทางเลือก เพราะนายท่านสั่งเอาไว้ว่า อย่าไปล่วงเกินคนสกุลหลี่ ถึงอย่างไรพวกเขาก็มาไม่บ่อย 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวากำลังซักเสื้อผ้าอยู่ในเรือน เสื้อผ้าเต็มกะละมัง เสื้อผ้าของคนทั้งบ้านอยู่ที่นี่ทั้งหมด  

 

 

บ่าวรับใช้เดินไปเรียกนาง “หลี่ชุ่ยฮวา!” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาตกใจเสียจนตัวสั่น เงยหน้ามองเขาด้วยความกลัว 

 

 

บ่าวรับใช้เบ้ปาก “ด้านนอกมีคนมาหาเจ้า บอกว่าเป็นพี่สามของเจ้า” 

 

 

ร่างของหลี่ชุ่ยฮวาผ่อนคลายลง มองเสื้อผ้าตรงหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “พี่สามมาพบข้าด้วยเรื่องอันใด หากมิใช่เรื่องสำคัญข้าจะไม่ออกไป นายหญิงบอกว่าให้ข้าซักเสื้อผ้าเหล่านี้ให้เสร็จในหนึ่งชั่วยาม” 

 

 

บ่าวรับใช้แผดเสียงดังขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ให้เจ้าไปเจ้าก็ไป หากทำให้เขาไม่พอใจ ไปเอาเรื่องนายท่าน เจ้าเดือดร้อนแน่” 

 

 

เมื่อคิดถึงวิธีที่เศรษฐีหวังทรมานคนแล้ว หลี่ชุ่ยฮวาก็ตัวสั่นขึ้นมา รีบลุกขึ้น วิ่งออกไปด้านอก “ท่านพี่ ท่านมาหาข้าด้วยเรื่องใดหรือ” 

 

 

“น้องเล็ก เรื่องดี เป็นเรื่องดียิ่งนัก คืนวันที่ทุกข์ทรมานของเจ้าใกล้มาถึงจุดจบแล้ว” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวามองเขาด้วยตาไร้แวว ฉีกยิ้ม “ท่านพี่ เกรงว่าถึงข้าตายก็คงจะไม่มีวันที่จะมีความสุขได้หรอก” 

 

 

“ใครว่ากันเล่า ข้าเพิ่งได้รับข่าวดี ว่าชิงเอ๋อร์สอบติดจอหงวน ได้รับการคัดเลือกจากฝ่าบาท ไม่นานก็จะได้เป็นขุนนางในวังแล้ว” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวายังไม่รู้สึกตัว มองเขาด้วยความไม่เข้าใจ 

 

 

หลี่เหล่าซานร้อนใจ เอ่ยซ้ำอีกครั้ง “ชิงเอ๋อร์ ก็เมิ่งชิงอย่างไรเล่า บุตรชายของเจ้ากับเมิ่งเสียวเถี่ยได้เป็นจอหงวนแล้ว” 

 

 

แววตาของหลี่ชุ่ยฮวาค่อยๆ สดใสขึ้นมา ริมฝีปากสั่นระริกอยู่นานกว่าจะเปล่งเสียงออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้างว่า “พี่บอกว่าชิงเอ๋อร์ได้ตำแหน่งจอหงวนหรือ” 

 

 

หลี่เหล่าซานผงกศีรษะ “ใช่แล้ว ก็คือชิงเอ๋อร์ บุตรชายแท้ๆ ของเจ้า หลานของข้า” 

 

 

บ่าวรับใช้ที่ไปรายงานเมื่อครู่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนแล้ว ก็กลอกดวงตาไปมา รีบวิ่งเข้าไปรายงานข่าวนี้ให้กับเศรษฐีหวังที่อยู่ด้านใน 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาคว้าหมับเข้าที่หลี่เหล่าซาน หน่วยตาแดงระเรื่อ เอ่ยด้วยน้ำเสียงติดสะอื้นว่า “พี่สาม สิ่งที่ท่านกล่าวมาเป็นความจริงหรือ ชิงเอ๋อร์สอบติดจอหงวนจริงๆ หรือ” 

 

 

“จริงแท้แน่นอน ตอนนี้ถูกลือกันไปทั่วเมืองชิงซีแล้ว กระทั่งใต้เท้าผู้ว่าการอำเภอกับผู้ว่าการตำบลยังไปเยี่ยมเยือนที่บ้านเลย” 

 

 

“ข้าจะไปพบเขาๆ!” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวากล่าวแล้วจะวิ่งออกไปนอกหมู่บ้าน 

 

 

“หลี่อี๋เหนียง!” 

 

 

บ่าวรับใช้ที่รีบร้อนวิ่งออกมาเรียกนางเอาไว้ 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาตัวสั่นระริก หันกลับไปด้วยท่าทางสะดุ้งตกใจ 

 

 

บ่าวรับใช้ปั้นหน้ายิ้ม “นายท่านเรียนเชิญท่านและท่านลุงสามเข้าไปขอรับ” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาที่ไม่เคยเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของบ่าวรับใช้มาก่อน ก็ตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว และหลบอยู่หลังหลี่เหล่าซานอย่างลืมตัว 

 

 

หลี่เหล่าซานกลับเข้าใจได้ทันทีว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “น้องสาว ไม่ต้องกลัว พวกเราเข้าไปสนทนากันข้างใน” 

 

 

กล่าวจบแล้วก็ก้าวเท้าเดินเข้าไป 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาเดินตามอยู่ด้านหลังด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ  

 

 

เศรษฐีหวังออกมาต้อนรับที่หน้าประตูห้องโถงรับรองแขกด้วยตนเอง เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา ก็ยิ้มแย้มทักทายหลี่เหล่าซาน “ท่านลุงสามไม่ได้มาเยือนที่นี่เป็นเวลานานแล้ว ข้ายังนึกว่าข้าทำสิ่งใดผิดไป ทำให้ท่านโกรธ กำลังเตรียมตัวจะพาชุ่ยฮวากลับไปขอขมาที่บ้านฝ่ายมารดานางอยู่พอดี” 

 

 

เมื่อถูกชายชราที่อายุมากกว่าหลายปีสิบเรียกตนเองว่าท่านลุงสาม หลี่เหล่าซานฟังอย่างไรก็รู้สึกว่าคำเรียกขานนี้ไม่เสนาะหู จึงย้อนกลับไปว่า “นายท่านหวัง ท่านเรียกข้าว่าเหล่าซานเถิด คำเรียกท่านลุงสามนี้ของท่าน ข้ารับไม่ไหว”