เมิ่งชิงหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา ปฏิเสธอ้อมๆ ว่า “มีที่ใดกันเล่า”
“หากมีก็กล่าวออกมา คนในครอบครัวจะช่วยจัดการแทนเจ้า ตระกูลเมิ่งของพวกเรามิใช่ตระกูลใหญ่ที่ให้ความสำคัญเรื่องความเหมาะสมของคนที่จะแต่งงานกับเจ้า ขอเพียงแค่พวกเจ้าต่างพอใจซึ่งกันและกัน ฝ่ายตรงข้ามพอยอมรับได้ ครอบครัวเราไม่มีทางคัดค้านเป็นแน่”
เมิ่งชิงร้อนใจเสียจนคอแดงระเรื่อ รีบอธิบายว่า “ท่านพี่ ไม่มีจริงๆ หลายปีมานี้ข้ามุ่งมั่นกับการศึกษาเล่าเรียนในสถานศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน จะมีโอกาสเข้าใกล้หญิงสาวได้เช่นไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสีหน้าท่าทางเขาไม่เหมือนกับว่าโกหก จึงไม่ได้ซักถามต่อ หลังจากสอบถามเรื่องราชโองการของฮ่องเต้แล้ว ก็เข้าครัวทำอาหารที่เขาชอบอยู่หลายอย่างด้วยตนเอง เมื่อกินอาหารเสร็จ ก็สนทนากันครู่หนึ่ง ถึงได้ให้เขากลับบ้าน และบอกกับคนในครอบครัวว่า นางและหวงฝู่อี้เซวียนจะกลับบ้านเกิดไปกราบไหว้บรรพบุรุษด้วยกัน
คนในตระกูลเมิ่งตระเตรียมข้าวของที่จำเป็นเอาไว้เรียบร้อยตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว รอเพียงแค่กำหนดวันเวลา เมื่อเมิ่งชิงกลับมาแจ้ง เมิ่งจงจวี่ก็ตัดสินใจทันทีว่าจะออกเดินทางในวันพรุ่ง และส่งคนไปแจ้งข่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวคาดไม่ถึงว่าจะต้องเดินทางกะทันหัน จึงตัดสินใจไม่เก็บสัมภาระ เพียงแค่พกตั๋วเงินติดกายไว้ และสั่งให้องครักษ์ลับสามร้อยนายติดตามไปด้วย
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์เพิ่งจะครบหนึ่งสัปดาห์ ยังเยาว์วัยนัก พระชายาฉีไม่ไว้วางใจให้นางพากลับไปด้วย จึงได้มาเจรจากับนางที่เรือนว่าให้นางและหวงฝู่อี้เซวียนเดินทางกลับไปด้วยกันก็พอแล้ว ส่วนลูกให้ทิ้งเอาไว้ที่นี่ นางและอ๋องฉีจะเป็นผู้ดูแลเอง
เด็กทั้งสองล้วนมีอ๋องฉีและพระยาชาฉีเป็นผู้ดูแลมาตลอด หากต้องอยู่ห่างจากตนก็คงจะไม่ร้องไห้งอแง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงตอบตกลงทันที
พระชายาฉียินดียิ่งนัก “เรื่องการดูแลจวนนั้นไม่มีสิ่งใดต้องกังวล เจ้าสามารถอยู่ร่วมกับคนในครอบครัวที่บ้านได้หลายวัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะ มีหรือที่นางจะไม่รู้ถึงความคิดของพระชายาฉี นางไม่อยากให้ผู้ใดมาแย่งหลานกับนางเท่านั้นเอง
หลายปีแล้วที่ไม่ได้กลับไป ทุกคนล้วนตื่นเต้นกันมากจนแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน วันรุ่งขึ้นสะใภ้ทั้งสามของตระกูลเมิ่งก็ตื่นมาทำอาหารพร้อมกันตั้งแต่ยามสามโดยมิได้นัดหมาย
เมื่อกินอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็เก็บสัมภาระอย่างรวดเร็ว และออกเดินทางจากจวนมุ่งหน้าเข้าเมืองจากเป่ยเหมินไปถึงหนานเหมินในทันที
ทางด้านพวกเมิ่งเชี่ยนโยวก็พาองครักษ์ลับสามร้อยนายมารอที่ประตูเมืองแล้ว เมื่อเห็นขบวนรถมุ่งหน้ามา ก็ก้าวเข้าไปต้อนรับ เอ่ยทักทายทุกคน และแยกย้ายไปขึ้นรถม้าของตนเอง มุ่งตรงไปยังอำเภอชิงเหอ
เนื่องจากมีสองสามีภรรยาเมิ่งจงจวี่ร่วมขบวนด้วย ขบวนรถจึงไม่ได้เคลื่อนที่เร็วนัก เดินๆ หยุดๆ เส้นทางที่ยามปกติใช้ระยะเวลาในการเดินสามวัน ก็กลายเป็นหกวันกว่าจะถึงอำเภอชิงเหอ
อำเภอชิงเหอได้เปลี่ยนผู้ว่าการไปหลายคนแล้ว แต่ล้วนรู้จักตระกูลเมิ่งแห่งตำบลชิงเหอ ยามที่ขบวนรถยิ่งใหญ่เดินทางมาถึงอำเภอชิงเหอ ก็มีคนมารายงานเขาแล้ว
รถม้าหลายสิบคัน และผู้คุ้มกันขบวนหลายร้อยคน ทั้งยังไม่ได้รับราชโองการว่า เบื้องบนจะส่งขุนนางมาลาดตระเวน ผู้ว่าการจึงเดาความเป็นไปได้อีกอย่างขึ้นมาได้ในไม่ช้า จึงรีบสั่งการว่า “เร่งไปสืบความเสียว่า คนตระกูลเมิ่งกลับมาแล้วใช่หรือไม่”
ไม่กล่าวถึงเมิ่งเชี่ยนโยวที่เป็นถึงพระชายาซื่อจื่อ ฉีอ๋องซื่อจื่อก็อาจจะตามกลับมาด้วย เพียงแค่ลูกหลานตระกูลเมิ่งที่ทยอยได้เป็นจอหงวนฝ่ายบุ๋นและจอหงวนฝ่ายบู๊ ผู้ว่าการอำเภอตัวเล็กๆ เช่นเขาก็สมควรที่จะออกไปต้อนรับสักหน่อย
ทหารชั้นผู้น้อยรีบออกไปสืบความ ชั่วเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปก็วิ่งกลับมารายงานด้วยสภาพเหงื่อโทรมกาย “รายงานใต้เท้า ไม่สามารถเข้าใกล้ขบวนรถได้ขอรับ ข้าน้อยจนปัญญาที่จะสอบถาม”
“สวะ!”
ผู้ว่าอาการอำเภอตวาดเสียงดังอย่างมีโทสะ พลางสอบถามว่า “เช่นนั้นขบวนรถมุ่งหน้าไปยังทิศทางใด”
ทหารชั้นผู้น้อยตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ข้าน้อยเห็นว่ามุ่งหน้าไปยังตำบลชิงเหอขอรับ”
นั่นจะต้องเป็นคนตระกูลเมิ่งอย่างมิต้องสงสัย ผู้ว่าการอำเภอรีบออกคำสั่งเสียงดังว่า “เจ้าควบม้าเร็วตามไปสอบถามสักหน่อยว่า ซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อตามกลับมาด้วยหรือไม่”
ทหารชั้นผู้น้อยประตูรับคำ ลนลานเดินออกไปด้านนอก
ผู้ว่าการอำเภอเรียกเขาให้หยุดอีกครั้ง “ช้าก่อน!”
ทหารชั้นผู้น้อยหยุดเท้าแล้วหันกลับมา “ยามที่เจ้าผ่านตำบลชิงเหอ ให้แจ้งหัวหน้าตำบลด้วยว่า ให้เขาดูแลคนในหมู่บ้านให้ดี อย่าให้เกิดเรื่องวุ่นวายอันใดในช่วงเวลานี้เด็ดขาด”
ทหารชั้นผู้น้อยรับคำอีกครั้งก่อนจะวิ่งเหยาะๆ ออกไป
ผู้ว่าการสั่งทหารชั้นผู้น้อยอีกคนว่า “เตรียมเกี้ยว ข้าจะไปตำบลชิงเหอ”
ขณะเดียวกัน เมิ่งเชี่ยนโยวก็สั่งให้องครักษ์ลับไปส่งข่าวต่อจูหลัน บอกเขาว่าตนเองกลับมาพร้อมกับคนในครอบครัว ไม่สะดวกที่จะหยุดขบวนไปพบพวกเขา ถ้าหากว่าพวกเขามีเวลา หลังจากนี้อีกสองวันสามารถมาเยือนที่บ้านได้
จูหลันที่ได้รับข่าวก็ดีใจยิ่งนัก จึงสั่งให้บ่าวรับใช้ไปเรียกคนในบ้าน อีกทางหนึ่งก็ส่งข่าวไปให้เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวน
ขบวนรถเดินทางมาถึงตำบลชิงเหอ เมิ่งต้าจินเป็นห่วงว่าร่างกายของสองสามีภรรยาเมิ่งจงจวี่จะรับไม่ไหว จึงคิดจะให้ขบวนรถหยุดพักสักครู่
ไม่ว่าจะกล่าวอันใดเมิ่งจงจวี่ก็ไม่เห็นด้วย “เหลือระยะทางอีกไม่กี่สิบลี้ก็จะถึงบ้านแล้ว พวกเราค่อยพักผ่อนหลังจากกลับไปถึงบ้านแล้วกัน”
เหล่าเมิ่งซื่อผงกศีรษะคล้อยตาม
เมิ่งต้าจินจนปัญญา จึงทำได้เพียงแค่สั่งให้ขบวนรถเคลื่อนที่ช้าลงและเดินทางอย่างมั่นคงมากขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้ชิงหลวนมาส่งข่าว “นายท่านใหญ่เจ้าคะ พระชายาซื่อจื่อให้ท่านส่งคนไปแจ้งข่าวกับคนในหมู่บ้านก่อน จะได้ไม่ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านตกใจเจ้าค่ะ”
คนจำนวนมากเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเอิกเกริก จะต้องทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านตื่นตระหนกแน่นอน เมิ่งต้าจินผงกศีรษะแล้วเรียกเมิ่งชิง “ชิงเอ๋อร์ เจ้าขี่ม้ากลับไปที่หมู่บ้านเพื่อแจ้งเรื่องกับหัวหน้าหมู่บ้านก่อน”
เมิ่งชิงรับคำ เบนศีรษะม้าควบตรงกลับไปยังหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียวก็จากที่นี่ไปหลายสิบปีแล้ว ภายในหมู่บ้านมีความเปลี่ยนแปลงไปมาก ทุกครอบครัวล้วนสร้างบ้านหลังใหม่ เมื่อมองจากที่ไกลๆ ก็เป็นภาพทิวทัศน์ที่เจริญรุ่งเรือง เมิ่งชิงควบคุมความตื่นเต้นภายในจิตใจ มุ่งหน้ามายังทิศทางประตูบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านตามภาพความทรงจำ เขาลงจากม้า ก้าวเข้าไปเคาะประตูบ้าน
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวออกมาจากเรือนด้านใน พลางเอ่ยถามว่า “ผู้ใดกัน”
“ท่านลุงเมิ่งเกิน ข้าเอง เมิ่งชิง!”
เมิ่งเกินเบิกตาโพลง เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา “เมิ่งชิง เจ้ากลับมาได้อย่างไรกัน เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”
เมิ่งชิงโบกมือพร้อมกับแย้มรอยยิ้ม “ท่านลุงเมิ่งเกินมิต้องตกใจไป ไม่ได้เกิดเรื่องอันใดขึ้น ท่านปู่เพียงแค่คิดถึงบ้าน จึงได้พาทุกคนในครอบครัวกลับมากราบไหว้บรรพบุรุษ ท่านปู่เกรงว่าจะทำให้ผู้คนในหมู่บ้านได้รับความตกใจ จึงให้ข้ามาแจ้งล่วงหน้าก่อน อีกประมาณครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็จะมาถึงแล้วขอรับ”
“กลับมากันทั้งครอบครัวเลยหรือ”
เมิ่งเกินถามด้วยความตื่นเต้น
เมิ่งชิงผงกศีรษะ “กลับมากันหมดเลยขอรับ”
เมิ่งเกินหมุนตัววิ่งกลับเข้าไปในเรือน ตะโกนเสียงดังว่า “ท่านพ่อ ท่านลุงเมิ่งพาคนทั้งครอบครัวกลับมากราบไหว้บรรพบุรุษ ใกล้จะมาถึงหมู่บ้านแล้วขอรับ”
ภายในเรือนคึกครื้นขึ้นมาทันที
เมิ่งชิงถูกทิ้งเอาไว้ด้านนอก หันกลับไปผูกม้าไว้กับต้นไม้ใหญ่ด้วยท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เมิ่งเกินวิ่งออกมาจากเรือนอีกครั้งราวกับสายลมพัด เอ่ยติดกันว่า “ดูข้าสิ มัวแต่ดีใจจนเกือบจะลืมเจ้าไปเสียแล้ว เจ้าอย่ากล่าวโทษท่านลุงเมิ่งเลย มาๆๆ เข้ามาในเรือนก่อน”
เมิ่งชิงยิ้มรับ หลังจากผูกม้าเรียบร้อยแล้วก็เดินตามเขาเข้าไปในเรือน
หัวหน้าหมู่บ้านถูกหลานชายสองคนประคองออกมาด้วยท่าทางทุลักทุเล เมื่อเห็นเมิ่งชิง ก็ใช้นัยน์ตาขุ่นมัวคู่นั้นก็พิจารณามอง
เมิ่งชิงก้าวเข้าไปคารวะ “ท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้าน”
หัวหน้าหมู่บ้านผงกศีรษะ “ไม่เลว ท่าทางดูดีมีสง่าราศี ดูท่าน้ำที่เมืองหลวงจะดีเสียจริง”
เมิ่งชิงเผลอหัวเราะ
“ท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านปู่ของข้าพาคนทั้งครอบครัวกลับมาขอรับ จึงให้ข้ามาแจ้งท่านก่อน”
หัวหน้าหมู่บ้านตื่นเต้นเล็กน้อย “เมิ่งจงจวี่กลับมาแล้วหรือ ดี ดี ดี ข้ายังนึกว่าเจ้าหมอนี่จะลืมบรรพบุรุษไปเสียแล้ว ชั่วชีวิตนี้จะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงโดยไม่กลับมาอีกแล้ว”
“ไม่มีทางขอรับ ท่านปู่บ่นว่าอยากกลับมาทุกวัน แต่เนื่องจากท่านอายุมากแล้ว พวกท่านอาใหญ่เป็นห่วงว่าผู้ชราเดินทางกลับมาที่บ้านจะเหนื่อยเกินไป จึงไม่ได้ให้ท่านปู่กลับมาขอรับ”
“ดี ดี ดี กลับมาก็ดีแล้วๆ ข้าจะไปต้อนรับเขาเดี๋ยวนี้”
กล่าวจบแล้วก็ก้าวเท้าเดินโซเซอย่างคิดจะออกไปข้างนอก
เมิ่งชิงยับยั้งเขาเอาไว้ “ท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านรออยู่ในบ้านเถอะขอรับ คราวนี้คนที่กลับมาล้วนเป็นคนในครอบครัว มิใช่คนนอก”
“ไม่ได้ ไม่ได้พบหน้ากันตั้งหลายปี ข้าต้องได้เห็นกับตาว่า น้ำดินในเมืองหลวงเลี้ยงดูท่านปู่เจ้าจนมีสภาพเป็นอย่างไร หรือว่าจะยิ่งอยู่ไปยิ่งเยาว์วัย กลายเป็นปีศาจแก่ๆ เสียแล้ว”
คนที่อยู่ในเรือนทั้งหมดพากันหัวเราะเสียงดัง
หัวหน้าหมู่บ้านเดินไป พลางสั่งให้เมิ่งเกินไปแจ้งคนในหมู่บ้าน
เมิ่งเกินเดินไปอย่างรวดเร็ว
คนในหมู่บ้านได้ยินข่าวก็พากันทยอยมาไม่ขาดสาย ต่างชะเง้อคอมองไปยังทิศทางเมืองชิงซี
สามสิบนาทีหลังจากนั้น ขบวนม้าก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทุกคนอย่างเชื่องช้า
“มาแล้ว มาแล้ว”
มีคนตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
หัวหน้าหมู่บ้านยืดตัวขึ้นตรง มองไปทางขบวนม้ายิ้มๆ ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่สามารถเห็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ของตระกูลเมิ่ง ก็นับว่าไม่เสียดายแล้ว
เมิ่งจงจวี่ที่อยู่บนรถม้าก็ตื่นเต้นจนเลิกผ้าม่านรถขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ เมื่อเห็นคนในหมู่บ้านที่ยืนกันหนาแน่น ก็รีบสั่งให้คนรถเร่งความเร็วรถม้าขึ้นอีกหน่อย
รถม้าหยุดลงตรงหน้าทุกคน เมิ่งชิงก้าวเข้าไปประคองให้เมิ่งจงจวี่ลงมา
เมิ่งจงจวี่ก้าวเข้าไปหยุดอยู่หน้าหัวหน้าหมู่บ้าน ตื่นเต้นเสียจนหน่วยตาแดงระเรื่อ “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน หลายปีมานี้ข้าเพิ่งจะได้กลับมากราบไหว้บรรพบุรุษ ข้าละอายใจต่อบรรพบุรุษเสียจริง”
หัวหน้าหมู่บ้านโงนเงนชกกำปั้นลงที่อกเขา “เจ้าคนนี้ ยังมีหน้ามากล่าวเช่นนี้อีก ข้านึกว่าวิญญาณของเจ้าจะถูกผูกติดเอาไว้กับเมืองหลวงและไม่คิดจะกลับมาอีกเสียแล้ว”
เอ่ยจบก็โผเข้ากอดเขา เอ่ยเสียงสะอื้นว่า “กลับมาก็ดีแล้วๆ”
ทุกคนทยอยลงจากรถม้า และเอ่ยทักทายผู้คนในหมู่บ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนลงเป็นคนสุดท้าย
เมื่อเห็นพวกเขาสองคน ฝูงชนก็เงียบเสียงทันที
หัวหน้าหมู่บ้านปล่อยเมิ่งจงจวี่ คุกเข่าโขกศีรษะอย่างทุลักทุเล หวงฝู่อี้เซวียนรีบก้าวเข้ามาประคองเขาเอาไว้ด้วยตนเอง “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน การกลับมาในครั้งนี้ของข้ามิใช่ในฐานะซื่อจื่อ แต่เป็นลูกหลานของตระกูลเมิ่งกลับมากราบไหว้บรรพบุรุษ ท่านไม่จำเป็นต้องคารวะข้า”
หัวหน้าหมู่บ้านตื้นตันยิ่งกว่าเดิม เอ่ยต่อกันว่า “ดี”
คนในหมู่บ้านที่เห็นคนตระกูลเมิ่งสูงศักดิ์มากขึ้นเรื่อยๆ ก็พากันอิจฉา หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเรียบร้อยแล้ว ก็เดินห้อมล้อมพวกเขาเข้าไปในหมู่บ้าน
ที่พักอาศัยของตระกูลเมิ่งมีคนมาทำความสะอาดอยู่เสมอ หลายปีผ่านไป ก็ยังคงสภาพเดิม หลังจากที่ทุกคนมาส่งพวกเขาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว ก็ไม่ได้อยู่นานและพากันแยกย้ายไป
เหล่าองครักษ์ลับเริ่มขนย้ายสิ่งของทั้งหมดลงจากรถม้า จัดวางตามคำสั่งของเมิ่งต้าจินแล้วถอยออกไปยังสถานที่พักอาศัยเดิมของพวกเขา
เมิ่งจงจวี่มองดูก้อนอิฐและแผ่นกระเบื้องแต่ละแผ่นที่คุ้นเคยแล้วก็ทอดถอนใจ ในใจก็ตัดสินใจขึ้นมาว่า เช่นนั้นก็อยู่ในหมู่บ้านนี้โดยไม่กลับไปที่เมืองหลวงอีก