ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 1 เกียรติยศแห่งวงศ์ตระกูล

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เป๊ง! เป๊ง! เป๊ง! 

 

 

เสียงฆ้องทองแดงที่ดังลอยมาครู่หนึ่ง ทำให้ผู้คนถูกดึงดูดความสนใจ จึงพากันวิ่งไปตามทิศทางที่มาของเสียง พลางวิ่ง พลางร้องเสียงดังว่า “จอหงวนฝ่ายบู๊คนใหม่มาแล้ว! จอหงวนฝ่ายบู๊คนใหม่มาแล้ว!” 

 

 

เมิ่งชิงสวมชุดจอหงวนนั่งอยู่บนม้ามองกลุ่มคนที่รุมเข้ามาไม่ขาดสาย บนใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มเบิกบาน สิบปีแล้ว ในที่สุดเขาก็อาศัยความพยายามของตนเองสอบได้เป็นอันดับหนึ่งในการสอบ กลายเป็นจอหงวนฝ่ายบู๊ ที่สร้างเกียรติยศแห่งวงศ์ตระกูลได้ 

 

 

ขณะเดียวกัน ภายในจวนนอกเมือง คนตระกูลเมิ่งทุกคนล้วนได้รับข่าวคราวแล้วเช่นกัน เมิ่งจงจวี่ที่ยังคงร่างกายแข็งแรง เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวานั้นตื่นเต้นจนน้ำตารินไหล เอ่ยติดต่อกันว่า “ดี ดี ดี” 

 

 

คนอื่นๆ ที่เหลือก็ตื่นเต้นไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะสองสามีภรรยาเมิ่งเอ้ออิ๋น หลายปีมานี้ ในที่สุดก็มีคำอธิบายให้กับเมิ่งเสียวเถี่ยแล้ว 

 

 

ใกล้พลบค่ำ ท่ามกลางการรอคอยของทุกคน เมิ่งชิงที่เร่งควบม้ามาถึง ก็เห็นทุกคนยืนต้อนรับอยู่ที่หน้าประตู จึงรีบดึงบังเหียนให้หยุด และลอยตัวลงจากม้า ก้าวเท้ายาวไปถึงด้านหน้าคู่สามีภรรยาเมิ่งจงจวี่ พลางยกชายเสื้อขึ้นสูง และคุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะ “ท่านปู่ ท่านย่า หลานไม่ทำให้ท่านทั้งสองผิดหวัง ในที่สุดก็แย่งชิงตำแหน่งจอหงวนฝ่ายบู๊มาได้แล้วขอรับ” 

 

 

เมิ่งจงจวี่ลูบเคราตนเอง ผงกศีรษะติดๆ กัน “ดี ดี ดี” 

 

 

เมิ่งชิงหันไปอีกด้าน โขกศีรษะให้กับคู่สามีภรรยาเมิ่งเอ้ออิ๋น “ท่านอารอง ท่านอาสะใภ้รอง ขอบคุณท่านทั้งสองที่เลี้ยงดูชิงเอ๋อร์มาหลายปี” 

 

 

หน่วยตาเมิ่งซื่อเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาอย่างอดมิได้ โน้มตัวลงไปประคองเขา “เด็กคนนี้ พูดเช่นนี้ทำไมกัน รีบลุกขึ้นเร็วเข้า!” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นที่หน่วยตาแดงระเรื่ออย่างอดมิได้เช่นกันก็ผงกศีรษะเห็นด้วย 

 

 

เมิ่งชิงลุกขึ้นยืน 

 

 

คนทั้งครอบครัวเดินล้อมรอบคู่สามีภรรยาเมิ่งจงจวี่กลับเข้าจวนไปจนถึงห้องโถงอันโอ่อ่าแล้วพากันนั่งลง  

 

 

เมิ่งจงจวี่ที่สีหน้าท่าทางของสงบเยือกเย็นลงแล้ว เอ่ยกับทุกคนว่า “นอกจากหลายปีก่อนหน้านี้ที่เหรินเอ๋อร์สอบติดได้เข้าไปอยู่ในสภาฮั่นหลินแล้ว ลูกหลานตระกูลเมิ่งของพวกเราก็ไม่มีข่าวดีอีก บัดนี้เจี๋ยเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์ต่างทยอยแย่งชิงตำแหน่งจอหงวนบุ๋นบู๊มาได้ นับว่าเป็นเกียรติแห่งวงศ์ตระกูลเมิ่งจริงๆ ข้าตัดสินใจจะพาพวกเขาทั้งสองคนกลับไปกราบไหว้บรรพบุรุษ บอกบรรพบุรุษของพวกเราว่า หลานของข้า เมิ่งจงจวี่แต่ละคนมีฝีมือโดดเด่นมาก สร้างเกียรติยศให้กับตระกูลเมิ่งของเรา” 

 

 

เมิ่งจงจวี่มีอายุมากกว่าหกสิบปี แม้ว่าสุขภาพจะยังแข็งแรง แต่เมืองหลวงมีระยะทางห่างไกลจากเขตชิงซีนัก เกรงว่าร่างกายเขาจะรับไม่ไหว เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็พากันคัดค้านออกมา 

 

 

เมิ่งต้าจินเอ่ยก่อนว่า “ท่านพ่อ ท่านอายุมากแล้ว ไม่เหมาะสมที่จะวิ่งวุ่นไปมา การกลับไปกราบไหว้บรรพบุรุษในครั้งนี้ มอบให้ข้าทำเถอะ” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นเอ่ยสำทับต่อว่า “ใช่แล้ว ท่านพ่อ ให้ท่านพี่กลับไปเถอะ” 

 

 

เมิ่งซานถงก็ผงกศีรษะเห็นด้วย 

 

 

เมิ่งจงจวี่โบกมือ “ข้ายังกล่าวไม่พบ ไม่เพียงแต่ข้าจะกลับไป แต่พวกเจ้าทุกคนก็ต้องกลับไปด้วยเช่นกัน ไม่ว่าในมือของพวกเจ้าจะมีเรื่องสำคัญใด ก็พักเอาไว้ก่อน และกลับไปยังบ้านเกิดด้วยกันเสีย” 

 

 

พวกเขาก็ต้องกลับไปด้วย ทั้งสามคนจึงเอ่ยอันใดไม่ออกไปชั่วขณะ 

 

 

เหล่าเมิ่งซื่อนัยน์ตาเป็นประกาย เสนอความเห็นว่า “ถ้าให้ข้าพูดนะ ไม่สู้บอกกับเด็กๆ สักหน่อยว่า พวกเราทั้งครอบครัวจะกลับไปที่บ้านเกิดกัน ประการแรกเพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษ ประการที่สองกลับไปเยี่ยมดูสักหน่อย นับตั้งแต่ที่มาเมืองหลวง พวกเราก็ไม่เคยได้กลับอีกเลย ข้าคิดถึงผู้คนในหมู่บ้านจริงๆ” 

 

 

ความคิดเห็นของเหล่าเมิ่งซื่อนี้ดีทีเดียว โดยเฉพาะภรรยาของเมิ่งต้าจินและเมิ่งซานถง ที่ได้ยินแล้วนัยน์ตาก็เป็นประกาย มองไปทางเมิ่งจงจวี่อย่างมีความหวัง หวังว่าเขาจะอนุญาต พวกนางจะได้กลับบ้านไปหาคนในครอบครัวด้วย 

 

 

เมิ่งจงจวี่ที่รับรู้ถึงสายตาเฝ้ารอคอยของพวกนางก็ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วผงกศีรษะ “เมื่อเด็กๆ กลับมาในช่วงเย็น ข้าจะพูดคุยกับพวกเขาสักหน่อย ถ้าหากว่ามีเวลา พวกเราก็จะกลับไปบ้านเกิดด้วยกัน”  

 

 

พวกเมิ่งต้าจินที่ได้ยินแล้วก็ไม่มีความเห็นอื่นใดเช่นกัน 

 

 

ในยามเย็น เมื่อเมิ่งเหริน เมิ่งอี้ เมิ่งเสียน เมิ่งฉี และเมิ่งเจี๋ยกลับมา รวมทั้งเมิ่งชิง คนทั้งหมดก็ถูกเรียกเข้าไปในเรือนของเมิ่งจงจวี่ เพื่อบอกพวกเขาเรื่องกลับบ้านไปกราบไหว้บรรพบุรุษ 

 

 

เมิ่งเสียน เมิ่งฉีและเมิ่งเหรินไม่มีปัญหา สามารถไปได้เสมอ เมิ่งเหรินพยักหน้าเอ่ยว่าจะไปลาหยุดที่สภาฮั่นหลิน มีเพียงเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง ที่แย่งชิงตำแหน่งจอหงวนฝ่ายบุ๋นและจอหงวนฝ่ายบู๊มาได้ ฮ่องเต้ยังไม่ได้แต่งตั้งตำแหน่ง โดยเฉพาะเมิ่งชิง ที่ยังไม่ได้รับคำสั่งให้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ จึงมิกล้าตกปากรับคำโดยง่าย 

 

 

เมิ่งจงจวี่รู้ดีว่าเรื่องนี้ใจร้อนไม่ได้ จึงกล่าวกับทั้งสองคนว่า “ข้าเพียงแค่บอกกับพวกเขา ให้พวกเจ้าได้เตรียมตัว รอให้พระองค์มีรับสั่งก่อนค่อยว่ากัน” 

 

 

ทั้งสองผงกศีรษะ ตอบรับ  

 

 

วันรุ่งขึ้น ก็มีขันทีมาแจ้งราชโองการว่า ฮ่องเต้มีรับสั่งให้เมิ่งชิงเข้าวัง 

 

 

เมิ่งชิงไม่กล้ารอช้า หลังจากผลัดเปลี่ยนเป็นชุดจอหงวนฝ่ายบู๊แล้ว ก็ติดตามขันทีที่มาประกาศราชโองการไปยังตำหนักจินหลวน 

 

 

การประชุมเช้าเสร็จสิ้นแล้ว เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ยังคงอยู่ที่ห้องโถง 

 

 

เมิ่งชิงไม่เกรงกลัวสายตาที่มองมาอย่างพิจารณาของเหล่าขุนนางและฮ่องเต้ เดินเข้ามายังตำหนักจินหลวนอย่างมั่นคง หลังคารวะครบสามครั้งแล้ว ก็คุกเข่าลง รอรับราชโองการ  

 

 

เห็นท่าทางที่ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง ไม่ถ่อมตัวจนดูต้อยต่ำ ฮ่องเต้ก็ลอบผงกศีรษะ จอหงวนฝ่ายบู๊คนใหม่ผู้นี้มีความคล้ายคลึงกับพระชายาซื่อจื่ออยู่หลายส่วน มีข่าวลือว่าเติบโตภายใต้การอบรมของนาง ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องหลอกลวง หลังจากกล่าวชื่นชมไปหลายประโยค จึงได้สอบถามความเห็นเกี่ยวกับการเป็นขุนนางของเขา 

 

 

เมิ่งชิงเรียนตอบด้วยความนอบน้อม “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมอยากเข้าไปอยู่ภายใต้กองทัพของท่านแม่ทัพฉู่ รับการอบรมจากเขา ตอบแทนราชสำนักพะย่ะค่ะ” 

 

 

ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นยินดียิ่งนัก “ดี สมกับเป็นบุคคลที่พระชายาซื่อจื่ออบรมสั่งสอนมา ไม่ต้องการชื่อเสียง คิดเพียงแต่ต้องการทำเพื่อราชสำนัก คำขอของเจ้า ข้าอนุญาต แต่งตั้งเจ้าเป็นรองแม่ทัพ หาวันไปรายงานตัวที่กองทัพ” 

 

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” 

 

 

เมิ่งชิงโขกศีรษะลงกับพื้น 

 

 

ฮ่องเต้หัวเราะเสียงดัง  

 

 

ในใจของเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊กลับครุ่นคิดใคร่ครวญ ไม่กล่าวเรื่องที่เมิ่งชิงมีความเกี่ยวข้องกับพระชายาซื่อจื่อ กล่าวเพียงแค่เขาที่อายุยังน้อยก็ได้รับตำแหน่งจอหงวนฝ่ายบู๊ ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย อนาคตยาวไกล ทั้งยังมีตำแหน่งในกองทัพ ถ้าหากว่าสามารถดึงมาอยู่ข้างกายตนเองได้ หลังจากนี้จะต้องกลายเป็นผู้ช่วยข้างกายที่ขาดไปมิได้เป็นแน่ 

 

 

เมื่อได้รับราชโองการแล้ว เมิ่งชิงก็ออกจากประตูวัง กระโดดขึ้นหลังม้า ตรงไปยังจวนอ๋องฉี 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวที่คาดเอาไว้แล้วว่า ในวันนี้หลังจากเขาเข้าวังก็จะต้องมายังจวนอ๋อง จึงสั่งให้ชิงหลวนมารอรับเขาที่หน้าประตูแต่เช้าแล้ว เมื่อเขาลงจากม้า ชิงหลวนก็ก้าวขึ้นมาด้านหน้า แย้มรอยยิ้มต้อนรับเขา “นายน้อยชิงเจ้าคะ พระชายาซื่อจื่อรอท่านอยู่นานแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

“ท่านพี่โยวเอ๋อร์รู้หรือว่าข้าจะกลับมาวันนี้” 

 

 

“ไม่เพียงแต่จะรู้ว่าในวันนี้ท่านจะกลับมา แต่ยังรู้อีกว่าท่านจะอยู่กินอาหารด้วย จึงได้สั่งให้คนในครัวเตรียมอาหารที่ท่านชอบไว้ให้ อีกครู่ก็เตรียมลงมือเข้าครัวเองแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

ชิงหลวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม  

 

 

ดวงตาของเมิ่งชิงเปล่งประกายขึ้นมา “รีบพาข้าไปพบท่านพี่โยวเอ๋อร์เร็วเข้า” 

 

 

ชิงหลวนตอบรับเสียงดัง ยิ้มพร้อมนำทางไปยังเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว 

 

 

“ท่านพี่ ฝ่าบาททรงอนุญาตให้ข้าเข้ากองทัพแล้ว” 

 

 

เมื่อเข้ามาในเรือน เมิ่งชิงก็ตะโกนรายงานข่าวดีนี้กับเมิ่งเชี่ยนโยว ฝีเท้าก็ไม่หยุด ก้าวไปถึงหน้าประตูอย่างรวดเร็ว 

 

 

จูหลีรีบเปิดม่านประตู เมิ่งชิงเดินลอดเข้ามา “ท่านพี่ ท่าน…” 

 

 

วาจาต่อมาได้ถูกกลืนหายไป เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนนั่งทำหน้าเคร่งขรึมอยู่บนเก้าอี้ พลางเอ่ยเรียกด้วยความนอบน้อมว่า “ท่านพี่เขย!” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียน ตอบสั้นๆ ว่า “อืม” 

 

 

เมิ่งชิงยืนตัวตรงอย่างไม่กล้ากล่าววาจาต่อ ทว่าสายตากลับมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว ถามอย่างไร้เสียงว่า หวงฝู่อี้เซวียนเป็นสิ่งใดไป 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมมองหวงฝู่อี้เซวียน กล่าวกับเมิ่งชิงว่า “เมื่อครู่พี่ใหญ่ส่งคนมาแจ้งข้า ว่ารอเจ้าได้รับการแต่งตั้งมาแล้ว ก็จะกลับบ้านเกิดไปกราบไหว้บรรพบุรุษ จึงถามข้าว่าจะกลับไปด้วยหรือไม่” 

 

 

ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้นี่เอง เขาไม่ได้ทำสิ่งใดผิดไป เมิ่งชิงใจสงบลง ลอบคิดว่าทั้งสองครองคู่กันมาหลายปี แต่ท่านพี่เขยก็ยังไม่เบื่อท่านพี่โยวเอ๋อร์ของตน ทว่าตามติดยิ่งกว่าเคย กระทั่งเรื่องเล็กๆ เช่นการกลับบ้านเกิด ก็ยังทำให้เขาไม่พอใจ ถึงอย่างไรหากพี่โยวเอ๋อร์เห็นด้วยแล้ว พวกเขาจะต้องแยกจากกันหลายวัน  

 

 

“การที่เจ้าสามารถเข้ากองทัพได้ ก็เป็นเพราะว่าข้าได้เกริ่นกับฝ่าบาทเอาไว้ก่อนแล้ว ในเมื่อข้าสามารถให้เจ้าไปได้ ข้าก็ไม่ให้เจ้าไปได้เช่นกัน” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนราวกับรู้ว่าในใจเขาคิดเช่นไรอยู่ จึงได้ข่มขู่ออกมา 

 

 

เมิ่งชิงโอดครวญอย่างไม่พอใจ “ท่านพี่เขย เหตุไฉนว่าเช่นนั้นเล่า คนที่จะกลับบ้านเกิดเป็นท่านปู่หาใช่ข้า ท่านจะกล่าวโทษข้ามิได้” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่สนใจเขา หยิบถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบ 

 

 

“ท่านพี่!” 

 

 

เมิ่งชิงมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างร้องขอความช่วยเหลือ ท่านพี่เขยของเขาผู้นี้ใจดำนัก ไม่แน่ว่าวันใดอาจจะไปกว่าโทษเขาต่อหน้าฝ่าบาท ทำให้ความฝันหลายปีมานี้ของเขาต้องดับสิ้น 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองหวงฝู่อี้เซวียนยิ้มๆ “หากท่านสามารถโน้มน้าวฝ่าบาทให้อนุญาตให้ท่านลาหยุดได้ ก็สามารถไปกับพวกเราได้” 

 

 

สิ่งที่รออยู่ก็คือประโยคนี้ เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเช่นนั้น ก็รีบวางถ้วยชาในมือ ลุกขึ้นแล้วเร่งฝีเท้าเดินออกไป 

 

 

เมื่อเสียงฝีเท้าของเขาไกลออกไปแล้ว เมิ่งชิงถึงได้ถอนหายใจออกมา เอื้อมมือไปลากเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่งลงตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ทำสีหน้าท่าทางขอรางวัล “ท่านพี่โยวเอ๋อร์ ข้าได้เป็นจอหงวนฝ่ายบู๊ มีรางวัลให้ข้าหรือไม่” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ฮูหยินหลายนางมอบบัตรเชิญให้ข้า ความหมายคือหวังหาคู่ให้เจ้าและเมิ่งเจี๋ย รางวัลนี้ไม่รู้เจ้าพอใจหรือไม่” 

 

 

สีหน้าของเมิ่งชิงขรึมลงทันที โบกมือพัลวัน “ข้ายังเด็ก ยังมิคิดเรื่องนั้น” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกคิ้ว “สิบหกหนาวแล้วยังเด็กอีกหรือ อีกอย่างจะหาคู่ให้เจ้ามิได้ให้เจ้าสมรส” 

 

 

“เช่นนั้นก็ไม่ได้ หญิงสาวมากเรื่อง ข้าไม่อยากถูกคนผูกมัดเร็วเช่นนั้น” 

 

 

“อืม…?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลากเสียงยาว มองมาทางเขายิ้มๆ นัยน์ตามีประกายอันตรายพาดผ่าน 

 

 

เมื่อรู้ตัวว่าตนเองกล่าวสิ่งใดออกไป เมิ่งชิงก็รู้สึกเสียใจในภายหลังเสียแทบจะกระโดดขึ้นมา รีบแก้ต่างว่า “ท่านพี่โยวเอ๋อร์ ข้ามิได้กล่าวถึงท่าน ข้าเพียงไม่ต้องการหมั้นหมายกับหญิงที่ไม่รู้จักเป็นเท่านั้น” 

 

 

เมื่อจับพิรุธในคำพูดของเขาได้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเลิกคิ้ว ยิ้มพร้อมถามว่า “หากรู้จักก็ได้เช่นนั้นหรือ” 

 

 

เมิ่งชิงเกาศีรษะ “แม้มิใช่เด็กชายและเด็กหญิงที่เล่นมาด้วยกันตั้งแต่เยาว์วัยดังเช่นท่านและท่านพี่เขย แต่อย่างน้อยก็เป็นคนที่ข้าต้องใจด้วย” 

 

 

“เจ้ามีเด็กสาวที่ชอบแล้วหรือ”