ห้าวันต่อจากนั้น เก็บของเรียบร้อยแล้ว จวนอ๋องส่งพวกเขาออกจากจวน มองดูรถม้าบรรทุกคนทั้งสามคนค่อยๆ จากเมืองหลวงไป 

 

 

เมื่อคิดว่าไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะได้พบกับหวงฝู่สือเมิ่ง พระชายาน้ำตาไหลราวกับฝนตก ดวงตาของอ๋องฉีก็แดงรื้นขึ้นมา 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งจากไปได้ไม่กี่วัน เมิ่งซื่อสั่งให้คนมาส่งข่าว บอกให้เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนกลับบ้าน  

 

 

เมื่อทั้งสองได้รับข่าว ก็รีบควบม้ากลับไปยังบ้านนอกเมือง 

 

 

แม้ว่าเมิ่งซื่อจะเติบโตในเมืองหลวง แต่ก็ยังไม่ลืมนิสัยคนทำงาน เมื่อใดที่มีเวลาว่าง ยังคงไปทำงานที่ไร่นา ใบหน้าดูมีอายุกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันในเมือง โคนผมมีสีขาว แต่สีหน้ายังคงสดใส ร่างกายแข็งแรง เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามา จึงยิ้มรับว่า “เรียกให้พวกเจ้ามา ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่ท่านปู่ท่านย่าของเจ้าอายุมากแล้ว คิดถึงบ้านยิ่งนัก อยากกลับบ้านเกิด หลังจากที่พ่อเจ้า ท่านอาและท่านลุงเจรจากับแล้ว ตัดสินใจว่าในสองสามวันนี้พวกเราจะเดินทางกลับบ้านกัน” 

 

 

เรื่องนี้ไม่เคยได้ยินเมิ่งซื่อเอ่ยขึ้นมาก่อน บัดนี้เอ่ยขึ้นมา ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวอึ้งไป  

 

 

เมิ่งซื่อมองสีหน้านาง รู้ว่านางไม่อยากให้ไป จึงได้ยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “โยวเอ๋อร์ ว่ากันว่าใบไม้ย่อมย่อมร่วงหล่นใต้ต้นไม้ อย่าว่าแต่ปู่กับย่าเลย ท่านอา พ่อ แม่ ก็คิดถึงบ้านเช่นกัน หลายปีมานี้ พวกเราอยู่ในเมืองหลวง ได้เห็นอะไรมากมาย ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสมแล้ว ควรกลับบ้านได้แล้ว โดยเฉพาะแม่ ควรกลับไปหายาย และตาของเจ้าบ้าง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปากไม่พูดจา  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองเมิ่งซื่อ พยายามโน้มน้าว “ท่านแม่ บัดนี้กิจการทุกอย่างยังคงอยู่ในเมืองหลวง พี่ใหญ่ พี่รองยังต้องยุ่งต่อ หากพวกท่านกลับไปตอนนี้ ไปถึงบ้าน เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดดูแล พวกเราไม่วางใจ” 

 

 

“พวกเรายังไม่แก่ ดูแลปู่และย่าของเจ้าได้ ส่วนเรื่องกิจการ พี่ใหญ่และพี่รองเจ้าบอกแล้ว ว่าจะค่อยๆ ย้ายไปที่บ้าน” 

 

 

เมื่อได้ฟังว่าพวกเราได้จัดการไว้อย่างดีแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้กล่าวอะไรต่อ 

 

 

ทั้งสองกลับจวนมา เมิ่งเชี่ยนโยวอารมณ์ไม่ดีเท่าใด 

 

 

พระชายารู้เช่นนั้น จึงได้เรียกหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามา หลังถามสาเหตุแล้ว จึงมีความคิดขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะไปบอกอ๋องฉี เพื่อเจรจากับเขา “ครอบครัวของโยวเอ๋อร์อยากกลับบ้าน ข้าอยากไปดูบ้างเสียตั้งนานแล้ว เช่นนั้น พวกเราติดตามไปด้วยได้หรือไม่” 

 

 

ทั้งชีวิตของพระชายา นอกจากตนพาหลานทั้งสองออกไปเที่ยวเล่นกับนางแล้ว ก็ไม่เคยได้ออกจากเมืองหลวงอีกเลย อ๋องฉีเบื่อทุกสิ่งอย่างในเมืองหลวงเต็มทน เมื่อได้ยินเช่นนั้น จึงได้พยักหน้าเห็นด้วย “ดี บอกเซวียนเอ๋อร์และโยวเอ๋อร์ที ให้พวกเขาเตรียมบ้านให้เราสักสองสามหลัง พวกเราจะไปอยู่ชนบทกัน” 

 

 

พระชายายินดียิ่งนัก จึงได้ไปพบเมิ่งเชี่ยนโยวทันที บอกความคิดของทั้งสองให้นางฟัง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนดูท่าทางดีใจของทั้งสอง มองหน้ากัน อ้าปากค้างพูดไม่ออก 

 

 

ไม่รู้ว่าไทเฮารู้ได้อย่างไร นางมาพบเมิ่งเชี่ยนโยว “ในเมื่อเสด็จพ่อ เสด็จแม่ของเจ้าจะไป เช่นนั้น ข้าก็อยากไปสนุกด้วย หาที่พักให้ข้าด้วย”  

 

 

ทั้งสองไม่มีอะไรจะกล่าว แต่กลับมีความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา จึงไปได้พบเมิ่งเสียน เจรจากันครู่หนึ่ง 

 

 

วันต่อมา เมิ่งเสียนจึงได้กลับบ้านเกิดไป 

 

 

กลับไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านเป็นคนของตระกูลเมิ่ง เมื่อก่อนเมิ่งต้าจินเป็นคนแต่งตั้งเขาเอง หลายปีมานี้ดูแลหมู่บ้านได้เป็นอย่างดี เมื่อเห็นเมิ่งเสียนกลับมา จึงได้ต้อนรับอย่างอบอุ่น ยิ้มพร้อมถามว่า “เสียนเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้ว มีเรื่องอะไรหรือ” 

 

 

เมิ่งเสียนตอบอย่างนอบน้อมว่า “ไม่ปิดบังหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านปู่ ท่านย่าของข้าอายุมากแล้ว คิดถึงบ้านเกิดเหลือเกิน เตรียมตัวจะกลับมา ดังนั้น…” 

 

 

“เมิ่งซิ่วไฉจะกลับมาแล้วหรือ” 

 

 

ไม่รอเขาพูดจบ หัวหน้าหมู่บ้านตัดบทเขาด้วยความตื่นเต้น  

 

 

เมิ่งเสียนพยักหน้า “ไม่เพียงแต่ท่านปู่ ท่านย่าเท่านั้น ทุกคนในครอบครัวเราจะกลับมาทั้งหมด” 

 

 

“ดีเหลือเกิน มีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือ บอกมาได้เลย” 

 

 

“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว บัดนี้สมาชิกครอบครัวเรามีมาก บ้านของเราอาจไม่พออยู่ ข้าอยากจะกว้านซื้อพื้นที่โดยรอบนี้ สร้างบ้านขึ้นมา ไม่รู้ว่าท่านหัวหน้าหมู่บ้านจะช่วยได้หรือไม่” 

 

 

อย่าว่าแต่ซื้อเลย สถานะเช่นตระกูลเมิ่งนั้น ต่อให้เอาไปเปล่าๆ โดยไม่เสียเงิน นายอำเภออก็ไม่ว่าสิ่งใด หัวหน้าหมู่บ้านจะไม่ตกลงได้อย่างไร พาเมิ่งเสียนไปคุยเรื่องนี้กับหัวหน้าหมู่บ้านคนอื่นๆ ทันที 

 

 

หัวหน้าหมู่บ้านคนอื่นๆ ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตอบตกลงในทันที ควบม้าไปดำเนินการเรื่องเจ้าของที่ดินทันที 

 

 

เมิ่งเสียนจ่ายเงินเรียบร้อย ทั้งยังขอร้องให้คนช่วยกันจัดการถางหญ้า ไถหน้าดินให้เรียบ เตรียมการสร้างบ้าน  

 

 

ที่ดินรกร้างในหมู่บ้านไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่หลายหมู่บ้านรวมเข้าด้วยกัน กลับกลายเป็นพื้นที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา ทุกคนจัดการเรียบร้อยแล้ว จึงได้ค้นพบเรื่องหนึ่ง คิดในใจว่า ที่นี่มีคนตระกูลเมิ่งมากเท่าใดกัน จึงได้สร้างบ้านเรือนใหญ่โตเพียงนี้ 

 

 

จางจู้และจางเกินได้ยินข่าวนี้แล้ว จึงรีบเข้ามาสอบถาม เมื่อได้ยินว่าครอบครัวเมิ่งจะย้ายกลับมา ดีใจยิ่งนัก จึงได้กลับบ้านไปบอกพ่อและแม่ของตนอย่างดีใจ  

 

 

หลายวันต่อมา องครักษ์หนึ่งพันนายพร้อมด้วยครอบครัว นำแบบบ้านที่เมิ่งเชี่ยนโยววาดมาด้วย 

 

 

มีแบบบ้านอยู่ในมือ จัดการง่ายขึ้น เมิ่งเสียนเรียกตัวคนสร้างบ้านจำนวนมากมาจากชิงเหอ ใช้เวลาเพียงสามเดือนก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ ด้านนอกมีกำแพงสูงรายล้อม มองไม่เห็นด้านใน แต่ได้ยินคนก่อสร้างว่า พวกเขาทำงานเสร็จแล้ว ต้องเดินถึงครึ่งชั่วยามจึงเดินออกมาจากบ้านได้ 

 

 

สร้างบ้านเสร็จแล้ว องครักษ์อยู่ต่อ ส่วนเมิ่งเสียนกลับมายังเมืองหลวง 

 

 

เมื่อเมิ่งจงจวี่และภรรยามีความคิดอยากจะกลับบ้านเกิด ไม่ว่าสิ่งใดก็ห้ามไม่อยู่ เมื่อเห็นว่าไม่ให้พวกเขากลับบ้านทันที จึงได้โมโหมาก เป็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่เข้ามาบอกพวกเขา ว่าอ๋องฉีและพระชายารวมไปถึงไทเฮาต้องการจะไปอยู่ด้วย เมิ่งเสียนจึงได้กลับไปสร้างบ้านให้ใหม่ ทั้งสองจึงได้อดกลั้นความรู้สึกต้องการกลับบ้านเอาไว้ รอคอยวันแล้ววันเล่า บัดนี้เห็นเมิ่งเสียนกลับมาแล้ว รู้ว่าบ้านสร้างเรียบร้อย ไม่ยอมรออีกต่อไป สั่งคนในครอบครัวเก็บข้าวของทันที กลับบ้านเกิดโดยเร็วที่สุด 

 

 

รู้ดีว่าจะไม่กลับมาอยู่ที่เมืองหลวงอีกแล้ว เครื่องครัวต่างๆ โต๊ะเก้าอี้ รวมไปถึงผ้าห่ม ครอบครัวเมิ่งต่างเก็บอย่างดี นำกลับไปด้วย ขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำได้เพียงตามใจพวกเขา ให้เหวินเปียวใช้ขบวนม้าของสำนักคุ้มภัยกลับไปส่ง 

 

 

วันที่ครอบครัวเมิ่งออกจากเมืองหลวง รถม้าบรรทุกเต็มคันหลายสิบคัน รวมไปถึงองครักษ์กว่าห้าร้อยนายพร้อมด้วยครอบครัวติดตามดูแล ขบวนยิ่งใหญ่ ทำให้คนในเมืองหลวงต่างมาห้อมล้อมดู  

 

 

เทียบกันแล้ว ฝั่งจวนอ๋องเรียบง่ายกว่ามาก หีบสมบัติหนึ่งหีบ รถม้าไม่กี่คัน อ๋องฉีและพระชายา ไทเฮารวมไปถึงหวงฝู่เย่าเย่ว์และท่าป๋าเยี่ย นำองครักษ์สองร้อยนาย ออกจากเมืองหลวงไปเงียบๆ  

 

 

กว่าราชครูจะได้ยินข่าวนี้ ก็ได้ผ่านไปหลายวันแล้ว บากหน้ามาถึงที่ คารวะเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย ข้าอายุอานามมากแล้ว เหนื่อยหน่ายกับความวุ่นวายของเมืองหลวงเต็มทน ทั้งสองท่านจะช่วยหาที่อยู่ในชนบทให้ข้าได้พักพิงบ้างได้หรือไม่” 

 

 

ทั้งสองมองตากัน หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มพร้อมส่ายหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวฝืนยิ้ม พยักหน้า “ได้เจ้าค่ะ ข้าจะเขียนจดหมายเดี๋ยวนี้ บอกให้ท่านพ่อท่านแม่จัดการให้” 

 

 

ราชครูคารวะอีกครั้ง ถือจดหมายพร้อมเดินจากไปด้วยความซาบซึ้ง  

 

 

หลายวันต่อมา ก็ได้มีรถม้าหลายคันออกจากเมืองหลวงไป ไม่เพียงราชครู แต่ยังรวมไปถึงโจวเสี้ยว โจวหลี่พร้อมครอบครัวติดตามไปด้วย  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเช่นนั้น เบิกตาโพลง พูดลิ้นพันกันไปหมด ถามหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เช่นนี้ ไม่นับว่าเราถูกราชครูหลอกเอาหรือ” 

 

 

 

 

 

สิบปีต่อมา ใกล้ถึงวันฉลองอายุครบเก้าสิบปีของเมิ่งจงจวี่ 

 

 

เมิ่งเหรินจากสำหนักฮั่นหลินยื่นหนังสือล่วงหน้า ได้รับอนุญาตลาหยุด พาครอบครัวกลับบ้านเกิดเพื่อร่วมงาน  

 

 

เมิ่งชิงในฐานะผู้บัญชาการใหญ่ก็ไม่เว้น พาครอบครัวกลับบ้านเช่นกัน  

 

 

เมิ่งเจี๋ยตามด้วยครอบครัว และท่าป๋าหั่นหลินเดินทางมาถึงก่อนวันงานหนึ่งวัน  

 

 

เมิ่งอี้ เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีมาถึงก่อนแล้ว ช่วยจัดงานเฉลิมฉลอง 

 

 

วันต่อมา ได้เวลาฤกษ์งามยามดี มีคนมาอวยพรจากทั่วสารทิศ ด้านนอกบ้าน มีรถม้าชั้นดีจอดอยู่หลายคัน 

 

 

เมื่อถึงเวลา สองสามีภรรยาเมิ่งต้าจินเริ่มพิธีสักการะ ภายในบ้านครื้นเครงเป็นอย่างยิ่ง  

 

 

หนึ่งชั่วยามต่อมา  

 

 

รถม้าธรรมดาคันหนึ่งแล่นมาแต่ไกล หยุดจอดตรงหน้าบ้าน คนสองคนลงมาจากรถม้า จูงมือกันเข้ามาด้านใน  

 

 

ทุกคนได้ยินเสียง จึงหันกลับไปดู เมื่อเห็นชัดว่าเป็นผู้ใด พระชายาและเมิ่งซื่ออดน้ำตาไหลไม่ได้ แม้แต่กรอบตาของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ร้อนผ่าว  

 

 

ทั้งสองเดินมาคุกเข่าต่อหน้าเมิ่งจงจวี่ ก้มหัวคารวะ “ท่านปู่ทวด เมิ่งเอ๋อร์(อาเป่า)ขออวยพรให้ท่านอายุยืนขอรับ” 

 

 

เมิ่งจงจวี่ลูบเครา หน้าแดงระเรื่อ ยิ้มพร้อมพยักหน้า “ดี ดี ดี!” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งและเยียลี่ว์อาเป่ายืนขึ้น เดินไปตรงหน้าอ๋องฉี กวาดสายตามองทุกคน ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกเรากลับมาแล้วเจ้าค่ะ/ขอรับ”