ภาคที่ 6 บทที่ 5 มาถึงอาณาจักรประกายวารี

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 5 มาถึงอาณาจักรประกายวารี

“นี่ข้าเลื่องชื่อในนิกายไร้ขอบเขตมากเลยหรือ ?”

เยี่ยเม่ยอยากรู้เรื่องราวไม่น้อย เดินตามหลังฉางเหอและเยี่ยเฟิงหานมาไม่ห่าง

“จะว่างั้นก็ได้” เยี่ยเฟิงหานเอ่ยเสียงเบา อย่างไรเขาก็ไม่พูดมากอยู่แล้ว

ฉางเหอไม่มีทางบอกนางหรอกว่าที่เลื่องชื่อก็เพราะท่านเจ้านิกายซูเฉินเป็นคนบอกเองว่าเดี๋ยวจะมีสตรีน่าปวดหัวสติไม่สมประกอบมาหา อีกทั้งยังจะเปิดเผยตัวตนโดยไม่สนว่าตนจะมีข้อพิสูจน์หรือไม่ด้วย

เขาคาดการว่านางจะมาไว้นานแล้ว แต่ก็ไม่รอและล่วงหน้าไปก่อน

ใช่ ซูเฉินตั้งใจล่วงหน้าไปก่อน

จริง ๆ ก็ไม่นับว่าล่วงหน้า เขารู้ว่านางต้องมาช้า แต่ก็ไม่คิดรอ ออกเดินทางไปก่อนก็เท่านั้น

เพราะเขารู้ว่าเยี่ยเม่ยมาเพื่อพูดเรื่องอะไร

ก็ไม่แปลกนัก เพราะคำทำนายของไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดตรงอย่างน่าเหลือเชื่อ แค่คาดเดาการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเยี่ยเม่ยจึงไม่ได้ยากเย็น

ดังนั้นซูเฉินรู้แล้วว่านางจะมาจึงไม่คิดรอช้า พูดไม่กี่ประโยคก็จัดการเสร็จสรรพ ออกเดินทางทันใด

“แสดงว่าซูเฉินไปแล้วสิ ? ข้าอุตส่าห์ส่งจดหมายบอกคำให้รอกันก่อนเพราะมีเรื่องสำคัญจะคุย แต่สุดท้ายก็ทิ้งกันจนได้ !” เยี่ยเม่ยโกรธนัก

เยี่ยเฟิงหานทำเป็นไม่ได้ยิน ส่วนฉางเหอเล่นกับนางด้วย “แม่นางเยี่ยเข้าใจท่านเจ้านิกายผิดแล้ว เขามีงานล้นมือ รอคนไม่ได้จริง ๆ ดูท่าเขาจะรู้เรื่องที่เจ้าจะมาคุยแล้วด้วย เขาอยากให้เราบอกเจ้าว่าเขาคุมสถานการณ์ได้ ไม่ต้องเป็นห่วง แม่นาง เจ้ากลับไปจะดีกว่า”

“ไม่ได้หรอก อะไรของเขา ควบคุมได้งั้นหรือ ? อย่างน้อยก็ตอบมาว่าได้ไม่ได้สิ” เยี่ยเม่ยว่าพลางยกมือขึ้นเท้าเอว “ข้าลากสังขารมาถึงนี่ไม่ใช่เพื่อมาได้ยินคำว่า ‘เขาคุมสถานการณ์ได้’ เข้าใจนะ ?”

“ก็……” ฉางเหอมีสีหน้าลำบากใจ

เยี่ยเฟิงหานเอ่ยเสียงเย็น “ท่านเจ้านิกายไปแล้ว หากเจ้าไม่พอใจก็ไปตามหาเขาเอง เราทำหน้าที่ส่งคำเรียบร้อยแล้ว”

ว่าจบก็เดินจากไป ไม่เหลือบมองเยี่ยเม่ยสักนิด

“นี่ เจ้าหมายความว่าไงกัน ?” เยี่ยเม่ยเหลือบมอง

เยี่ยเฟิงหานไม่สนนาง

ฉางเหอรีบเข้ามาคลายบรรยากาศ “เรื่องนี้…… เขาแค่หมายความว่าหากเจ้าคิดจะตามหาท่านเจ้านิกายก็เอาเลย แต่เราเองก็มีภารกิจต้องทำ จึงไปเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้”

พูดแล้วก็หันหลังเดินจากไปเช่นกัน

เยี่ยเม่ยหายตกใจแล้วก็เอ่ยขึ้น “ไม่ได้สิ ! เจ้าต้องพาข้าไปหาซูเฉิน”

“จะทำได้อย่างไร ?” ฉางเหอเอ่ยเสียงขื่น “เราเองก็มีภารกิจต้องทำเหมือนกัน ไม่มีเวลาไปเป็นเพื่อนแม่นางหรอก”

“ง่ายจะตาย ข้าช่วยเจ้าทำภารกิจ แล้วเจ้าก็พาข้าไปหาซูเฉิน” เยี่ยเม่ยเอ่ยเสียงมั่นใจสุดขีด

“เรื่องนี้…… เหมาะแล้วหรือ ?” ฉางเหอมองเยี่ยเม่ยแล้วมองเยี่ยเฟิงหาน

เยี่ยเฟิงหานมุ่นคิ้ว ว่าจะปฏิเสธ เยี่ยเม่ยกลับว่าต่อ “ไม่ตกลงข้าก็จะตามไปอย่างนี้ล่ะ จะกวนให้เจ้าไม่ได้ทำอะไรเลย”

……

แม่นาง อย่าไร้เหตุผลเช่นนี้ได้หรือไม่ ?

เยี่ยเฟิงหานคำราม ดีดตัวขึ้นฟ้าทันที

ฉางเหอชะงักก่อนตามไปติด ๆ เหินร่างขึ้นฟ้าไปเช่นกัน

“คิดจะสลัดให้หลุดหรือ ?” เยี่ยเม่ยดูไม่โกรธ แต่กลับหัวเราะเสียงเย็น “ก็มีพวกบัดซบหลายคนนะที่คิดทิ้งข้าไว้จะได้ไปทำธุระตน แต่มีใครทำสำเร็จบ้างเล่า ?”

นางพุ่งขึ้นฟ้า ติดตามคนทั้งสองไป

แม้นางจะสมองทึบ บินได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็รวดเร็วมาก

เยี่ยเฟิงหานกับฉางเหอคิดสลัดนางให้หลุดอยู่หลายวิธี เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ แต่กลับไร้ผล

นางยังมีแรงเอ่ยคำเย้ยขึ้นมาอีกด้วย “ไร้ประโยชน์ ! ข้ารู้วิชาชั้นสูงมากมาย หนึ่งในนั้นก็เจ้านิกายพวกเจ้านี่แหละสร้างขึ้นมาให้ข้าใช้ ! คนที่ด่านเท่าข้าไม่มีใครเร็วไปกว่าข้าได้หรอก”

ได้ยินดังนั้นทั้งคู่ก็ส่งเสียงบ่นในลำคอ

ท่านเจ้านิกาย ท่านทำกับพวกข้าเช่นนี้ได้อย่างไร ?

แต่กระนั้น เรื่องที่สลัดเยี่ยเม่ยไม่หลุดก็เป็นเรื่องจริง

หลังจากวิ่งกันเกือบวัน เยี่ยเม่ยก็ยังไล่ตามมาติด ๆ

ตอนนี้พวกเขาเหนื่อยล้าต้องพักผ่อนแล้ว ส่วนเยี่ยเม่ยยังดีดไปมา มีกำลังวังชาเต็มเปี่ยมอยู่เลย

ไม่ใช่เพราะนางมีพลังมากกว่า แต่เพราะนางมียาให้กินมากกว่าต่างหาก

พอเห็นยาเม็ดกลมของนางแล้ว ทั้งคู่จึงรู้ว่าท่านเจ้านิกายคงมอบมันให้นางเช่นกัน

ทั้งคู่ส่งเสียงคำราม สบถด่าโชคร้ายของพวกตน ทำไมถึงโชคร้ายต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยนะ ?

อีกทั้งนางเป็นสหายท่านเจ้านิกาย แค่สลัดนางทิ้งไม่หลุดเท่านี้ จะโจมตีก็ทำไม่ได้

ฉางเหอจงได้แต่รับชะตากรรม “แน่ใจหรือว่าจะช่วยทำภารกิจให้เสร็จก่อนได้ ?”

“แน่ !” เยี่ยเม่ยพยักหน้าจริงจัง

“นี่ ข้าว่าเราไร้ทางเลือกแล้วล่ะ” ฉางเหอกล่าวกับเยี่ยเฟิงหาน

“นางเนี่ยนะ ? ถามจริง ? จะไม่เป็นตัวถ่วงแน่หรือ ?” เยี่ยเฟิงหานยังกังวล

“นางอยู่ด่านสู่พิสดาร มี 3 ก็ดีกว่า 2 นั่นล่ะ” ฉางเหอพยายามคลี่คลายสถานการณ์ด้วยเหตุผลง่าย ๆ

ส่วนเยี่ยเฟิงหานกลับรู้สึกว่าเหตุผลเช่นนี้มันไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่มาโดยตลอด

ซึ่งก็นับว่าครั้งนี้เขาคิดถูก แต่กลับไม่รู้เลยว่ามันจะออกมาแย่สักเพียงไหน

คิดแล้วเขาก็ตกลง แม้จะคิดว่านางมีแต่จะเป็นตัวถ่วงก็ตาม

“ต้องแบบนี้สิ !” เยี่ยเม่ยได้ยินก็หัวเราะ

แต่ดูท่าทางตื่นเต้นของนางและที่ท่านเจ้านิกาย ‘หนี’ แล้ว เยี่ยเฟิงหานก็ทำใจให้สบายไม่ได้เลย

“คงเจอกันแล้ว” ซูเฉินพึมพำอยู่เหนือลำเรือ

ในเมื่อเขารู้ว่าเยี่ยเม่ยจะมาหา เขาย่อมรู้ว่านางจะไปเจอกับใคร

เยี่ยเฟิงหานกับฉางเหอเป็นเด็กดีทั้งคู่ มีพวกเขาอยู่ก็ไม่ต้องห่วงเยี่ยเม่ย แต่คงกระทบกับภารกิจแน่นอน ซูเฉินย่อมส่งคนอื่นเข้าไปเสริม

ถ้าทั้งสองทำสำเร็จก็นับว่าดีที่สุด แต่หากไม่ได้ก็จะได้ไม่กระทบกับส่วนอื่น ๆ ไปด้วย

แท้จริงแล้วไม่มีภารกิจไหนที่กระทบต่อภาครวมได้มากมายอะไร เพราะครานี้ทั้งนิกายล้วนถูกเรียกมาทำภารกิจกันทั้งหมด

นี่เป็นสิ่งที่ซูเฉินเรียนรู้จากการต่อสู้กับหยงเยี่ยหลิวกวง

เมื่อตอนนั้น ซูเฉินพึ่งความสามารถตน แต่เขาก็เป็นคนแกร่งเพียงคนเดียวเท่านั้น หากแต่ตอนนี้เขากลายเป็นผู้บัญชาการมากความสามารถไปแล้ว

ทั้งความรู้และประสบการณ์ทั้งหลายล้วนได้มาจากหยงเยี่ยหลิวกวงเสียมาก

ด้านหนึ่งนับเป็นศัตรู แต่อีกด้านหนึ่งก็นับว่าเป็นศิษย์อาจารย์ได้เช่นกัน

แม้ซูเฉินจะคิดว่าตนแพ้หยงเยี่ยหลิวกวง ทว่าหยงเยี่ยหลิวกวงกลับไม่ได้รู้สึกว่าตนประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่อะไร

ไม่ใช่เพราะถูกบีบจนถึงที่สุด เป็นเพราะซูเฉินยังสามารถเรียนรู้จากเขาและก้าวหน้าต่อได้ แต่เขาไม่อาจเรียนรู้สิ่งที่ซูเฉินเชี่ยวชาญได้ ไม่อาจใช้การวิจัยยกระดับคนทั้งเผ่าตนเองได้เช่นกัน

ดังนั้นซูเฉินจึงเป็นคนที่มีคุณค่ามาก

ต่างคนต่างมองอีกฝ่ายเป็นศัตรูตัวฉกาจ กระทั่งหยงเยี่ยหลิวกวงยังอดคิดไม่ได้ว่าการปล่อยให้ซูเฉินไป แลกกับการที่ทำให้เมืองล่องนภาเคลื่อนได้อีกคราเป็นความผิดมหันต์หรือไม่

แต่อย่างไร ใต้อิทธิพลของหยงเยี่ยหลิวกวง ซูเฉินก็ได้เปลี่ยนจากผู้เก่งกล้าสามารถไปเป็นผู้บังคับบัญชาคนหมู่มากที่กล้าแกร่ง ทำให้การลงมือแตกต่างออกไปจากเดิม

เขาไม่ลงมือคนเดียวอีก แต่พึ่งพากำลังจากทั้งนิกาย

เรือมังกรบินติดต่อกันนาน 12 วัน

พ้น 12 วันไปแล้วก็มาถึงอาณาจักรประกายวารี

นี่คือชายแดนของอาณาจักรประกายวารีและสถานที่ตั้งของเผ่าท้องสมุทร

ดินแดนทางเหนือของทะเลเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรประกายวารี อาณาเขตนี้มีสายน้ำไหลผ่านหนาแน่นทุกทิศทุกทาง จึงเรียกว่าอาณาจักรแห่งที่ลุ่ม

เทพอสูรลั่วโหยวใช้สายธารเหล่านี้บุกเข้ามาในแดนมนุษย์แล้วก่อการฆ่าสังหารคราใหญ่ขึ้น

ทั้งอาณาจักรประกายวารีและเผ่าท้องสมุทรต้องต่อสู้อสูรทะเล ดังนั้นจึงค่อนข้างเป็นมิตรต่อกัน เพราะมีศัตรูคนเดียวกันนั่นเอง

เมื่อมาถึงอาณาจักรประกายวารี เห็นได้ชัดว่าอาคารส่วนใหญ่สร้างขึ้นบนพื้นไม้ยกสูง นั่นก็เพราะพวกอสูรทะเลมักจะเข้าโจมตีพร้อมกับคลื่นยักษ์ที่ไล่ตามหลังมาด้วย

สร้างอาคารให้สูงช่วยหลบคลื่นได้ ส่วนบ้านไม้ก็ทำให้เปลี่ยนเป็นเรือได้รวดเร็ว

การต่อเรือของอาณาจักรประกายวารีนั้นหาที่ใดเปรียบ ทั้งคล่องแคล่วว่องไว สมกับเป็นเรือล่องบนผิวน้ำ ไม่เหมือนกับเรือของผู้เชี่ยวชาญส่วนมากที่บินได้

สร้างเรือลอยน้ำนั้นถูกกว่ามาก และเพราะอาณาจักรประกายวารีถูกอสูรทะเลโจมตีอยู่ไม่ขาด จึงขุดลำธารให้ลึกจนเรือใหญ่ล่องสมุทรยังสามารถล่องผ่านธารน้ำเหล่านี้ได้

ดังนั้นจึงได้เห็นเรือลำใหญ่มีหลายชั้นล่องอยู่เต็มไปหมด

สายน้ำที่เชื่อมต่อและเรือใหญ่เช่นนี้หมายความว่าการเคลื่อนย้ายสินค้าในอาณาจักรนั้นทำได้ง่ายดายมาก ทั้งยังพัฒนาเป็นอย่างมาก แม้ไร้เทพอสูร แต่สามารถทำการค้าด้วยต้นทุนต่ำเช่นนี้ได้ก็นับว่าล้ำค่าทีเดียว

อาจเพราะเช่นนี้จึงไม่ค่อยได้เห็นเรือเหาะลอยผ่านเท่าไหร่

เมื่อเรือเหาะนิกายไร้ขอบเขตลงจอด คนผ่านไปผ่านมาจึงรู้สึกประหลาดใจเป็นยิ่งนัก

เมืองหลวงอาณาจักรประกายวารีก็อยู่ติดทะเล เหมือนเป็นราชันปกปักท้องสมุทร

หลังจากเดินทางอีก 4 วัน คณะเดินทางนิกายไร้ขอบเขตก็มาถึงเมืองเมิ่งเซียง

เมืองนี้สร้างขึ้นบนผิวน้ำ ทำให้มีเสน่ห์ประหลาดเป็นเอกลักษณ์ 2 ใน 3 ของตัวเมืองตั้งอยู่บนผิวน้ำ อาคารหลายแห่งเป็นเรือนแพที่ลอยอยู่นั่นเอง เมืองแปดเหลี่ยมแห่งนี้ล้อมรอบด้วยทะเล ทว่ากำแพงเมืองกลับปักลงไปจนถึงก้นทะเล ทางน้ำ 4 สายหลักเพื่อเข้าเมืองเต็มไปด้วยเรือลอยเข้าออก หนึ่งส่วนคือเรือประมง หนึ่งส่วนคือเรือค้าขาย ที่เหลือคือเรือทหาร

ดูจากเรือเช่นนี้ก็ทำให้เห็นว่าต่างอย่างไรได้แล้ว

เมืองแห่งนี้ทั้งรับจากทะเล และให้ทะเลกลับคืนด้วย

ทะเลมอบทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ให้เพื่อเอาชีวิตรอด แต่ก็ทดสอบการเอาตัวรอดอย่างดุร้ายเช่นกัน

ในเมืองเห็นคนมีเกล็ดเดินกันเป็นกลุ่มอยู่ทั่วเมือง

พวกเขาคือเผ่าท้องสมุทร

แต่ไม่เหมือนกับคนเถื่อน พวกปักษา หรือเผ่าวิญญาณ เพราะมนุษย์นั้นยอมให้พวกเขาอยู่

“วูดดด……”

เสียงแตรดังก้องไปทั่วท้องฟ้า

เรือลอยลำพาคนกลุ่มหนึ่งมุ่งเข้าไปหาขบวนเรือมังกรที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า

คนที่ยืนนำหน้าอยู่คือเจียงซีสุ่ย