บทที่ 6 กลับคำ
“ข้ารอเจ้ามานานแล้ว” เจียงซีสุ่ยกล่าวต้อนรับพร้อมกับอ้าแขนกว้าง
ซูเฉินหัวเราะ “แน่ใจหรือว่าเจ้ารอข้า ? ไม่ใช่กลัวข้า…”
เจียงซีสุ่ยชกเข้าที่หัวไหล่ซูเฉิน
“นี่เจ้าล้อเลียนข้าหรือ”
จากนั้นชายหนุ่มก็ถอนหายใจ “แต่เจ้าก็พูดถูก ข้ากลัวจริง ๆ ยิ่งข้านึกถึงแผนของเจ้า ข้าก็ยิ่งกลัวมากขึ้นทุกที”
ซูเฉินตบบ่าซีสุ่ย “อย่าห่วงเลย เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น”
“เจ้ามั่นใจในตัวเองขนาดนั้นเชียวหรือ ?” เจียงซีสุ่ยถามกลับไป
“เปล่าหรอก ข้าแค่จะบอกว่าเดี๋ยวเจ้าก็จะชินกับมันเอง” ซูเฉินตอบ
ขณะนั้นเอง กองเรือก็ร่อนลง ซึ่งตามกฎของอาณาจักรประกายวารีแล้ว พวกเขาจำเป็นจะต้องแวะที่พระราชวังก่อนเป็นแห่งแรก
พระราชวังนั้นตั้งอยู่ในเขตแดนทางใต้ของเมืองเมิ่งเซียงและมีทางน้ำอันกว้างขวางที่เชื่อมต่อกับเมืองข้างเคียง ทำให้เรือขนาดใหญ่สามารถเดินทางผ่านได้
ซูเฉินยืนอยู่ที่หน้าสุดของเรือ กำแพงสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่รอบทิศทางนั้นเต็มไปด้วยปืนใหญ่และหน้าไม้มากมาย
บานประตูโลหะที่เปิดขึ้นนั้นดูน่ากลัวยิ่ง…. ราวกับอสูรยักษ์ที่กำลังอ้าปากโชว์ฟันซี่แหลมอันน่ากลัว
และเพราะประตูเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่ต้านทานกับอสูรทะเล พวกมันจึงมีขนาดใหญ่และหนาเป็นพิเศษจนแม้แต่ผู้ฝึกตนด่านมหาราชันก็ยังต้องพยายามอย่างหนักเพื่อจะทำลายมัน
หลังจากผ่านจุดตรวจ 13 จุดมาแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงยังพระราชวังที่เจียงจูเซิงกำลังรอเขาอยู่
เจียงจูเซิงสวมชุดสีม่วง ท่าทางของเขาทำให้ดูเหมือนกับนักปราชญ์มากกว่าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่เสียอีก
เมื่อเห็นซูเฉิน เขาก็กล่าวทักทายโดยไม่รอช้า “ข้าได้ยินชื่อของเจ้ามานานแล้ว ยินดียิ่งนักที่ได้พบกันเสียที”
เขาโค้งตัวลงเล็กน้อยเป็นการทักทายซูเฉิน
คนสมัยโบราณมีนิสัยเคารพผู้อื่นยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อผู้คนเป็นคนมีชื่อเสียง
ซูเฉินได้รับสมญานามปราชญ์ชาญโลก และชื่อเสียงของเขาก็แพร่กระจายออกไปไกลเหลือเกิน ไม่แปลกเลยที่เจียงจูเซิงจะแสดงท่าทีเช่นนี้
แน่นอนว่าซูเฉินก็ยังต้องไว้หน้าฝ่ายตรงข้าม “ข้าไม่คู่ควรกับการต้อนรับอย่างอบอุ่นของฝ่าบาทเลย”
“ขอบคุณที่สุภาพกับข้า” เจียงจูเซิงใช้มือข้างหนึ่งสัมผัสไปที่ข้อศอกของซูเฉินก่อนจะกล่าวต่อไป “ข้ารอเจ้ามาเนิ่นนานจริง ๆ ช่างเป็นโชคดีของข้ายิ่งนักที่ในที่สุดก็ได้พบกับเจ้าในวันนี้ อ้อ นี่ส่าวหงลูกชายข้า ส่าวหงทักทายแขกสิ”
ชายหนุ่มในชุดลายมังกรโค้งคำนับและกล่าวทักทาย “สวัสดีขอรับ”
คำพูดของเขาสุภาพ แต่น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจ
ซูเฉินรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้คือองค์รัชทายาทเจียงส่าวหง เขายิ้มตอบเล็กน้อยและกล่าวกลับไป “สวัสดีองค์รัชทายาท” คำตอบรับของเจียงส่าวหงไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ “ปราชญ์ชาญโลกซูเฉิน ข้าได้ยินเรื่องราวความสำเร็จของท่านมากมาย ท่านพัฒนาวิชาการฝึกไร้พลังสายเลือด คืนชีพเผ่ามนุษย์ ท่องไปในเขตแดนของเผ่าคนเถื่อน ช่วยชีวิตกองทัพกำลังสวรรค์ และยังทำให้เผ่าปักษาต้องทึ่ง ท่านมีความสามารถไม่น้อยเลย”
ซูเฉินตอบ “องค์รัชทายาท ท่านยอข้าเกินไปแล้ว”
เจียงส่าวหงกล่าวต่อไป “เปล่าเลย นอกจากท่านจะต่อกรกับเผ่าอื่น ๆ แล้ว ตอนนี้ท่านยังมีอิทธิพลต่อทั้งเจ็ดอาณาจักรอีกด้วย ท่านยังเป็นคนออกความเห็นด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นผู้บัญชาการกองราชนาวีของอาณาจักรข้า”
เจียงจูเซิงเสียหน้ายิ่งนัก “ส่าวหง !”
เจียงส่าวหงก้มหน้าลงและไม่กล่าวอะไรอีก สีหน้าของชายหนุ่มยังคงบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
เจียงจูเซิงจึงเป็นผู้กล่าวต่อไปแทน “ข้าขออภัยด้วย เด็ก ๆ ก็ใจร้อนอย่างนี้แหละ”
อันที่จริงแล้ว เจียงส่าวหงอายุมากกว่าซูเฉิน แต่ด้วยสถานะของซูเฉินแล้ว จึงทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะปฏิบัติกับเขาเหมือนกับคนอายุน้อย
แม้ว่าท่าทีของเจียงส่าวหงออกจะหยาบคายไปหน่อย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นทำให้การเก็บความจองหองเอาไว้ในใจกลายเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก กล่าวคือ นี่เป็นการวางตัวที่เหมาะสมขององค์รัชทายาทอยู่แล้ว การแสดงตนเป็นวีรบุรุษและใจกว้างเกินไปหน่อยกับเหตุการณ์นี้คงจะแปลกไม่น้อย
ผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องเป็นวีรบุรุษหรือสูงส่งนัก แม้ว่าบางคนจะเป็นถึงอัจฉริยะ แต่หลายคนก็เป็นเพียงผู้ปกครองสามัญทั่วไป
เจียงส่าวหงนั้นไม่ได้เป็นผู้ปกครองทั่ว ๆ ไปอย่างแน่นอน และเขาก็ยโสโอหังแถมยังทะนงตนไม่น้อย
ซึ่งก็คือสาเหตุที่ชายหนุ่มแสดงความไม่พอใจต่อซูเฉินออกมาอย่างเปิดเผย
เขาไม่พอใจยิ่งนักที่ซูเฉินทำลายกฎเกณฑ์ดั้งเดิมของอาณาจักรประกายวารีด้วยการเสนอชื่อเจียงซีสุ่ยเป็นผู้นำของทัพสยบสมุทรแห่งกองราชนาวี
แม้ว่าซูเฉินจะเสียอะไรไปมากมายเพื่อที่จะมาถึงยังจุดนี้ แต่เจียงส่าวหงก็ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย อย่างไรแล้วเขาก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เสียหายจากการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ เขาเป็นฝ่ายที่ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลยสักนิด
เขามีเหตุผลมากมายที่จะไม่พอใจซูเฉิน
ซึ่งนี่อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เจียงจูเซิงไม่ได้กล่าวอะไรมากไปกว่าร้องเตือนเจียงส่าวหงสั้น ๆ เท่านั้น
เมื่อเข้าไปในโถง เจียงจูเซิงก็พาไปยังสถานที่ที่เขาเตรียมให้กับซูเฉิน
สองฝ่ายนั่งลงก่อนที่เจียงจูเซิงจะกล่าวขึ้น “เจ้ามาที่นี่เพื่อจะคุยเรื่องเดียวกับเมื่อคราวก่อนใช่ไหม ?”
“ถูกต้อง” ซูเฉินตอบพร้อมกับพยักหน้า “ข้าอยากจะขอยืมทัพสยบสมุทรของกองราชนาวี”
“เจ้าจะเอาไปทำอะไร?”
“ออกเดินทางสำรวจท้องสมุทรเพื่อสู้กับพวกอสูรทะเล”
“ถ้าเจ้าจะทำเพียงแค่ต่อสู้กับอสูรทะเล พวกเราก็ทำอย่างนั้นมาตลอดอยู่แล้ว”
“ข้าต้องทำด้วยวิธีการของข้า”
“บอกข้ามาสิว่าจะทำอย่างไร เรื่องนั้นพวกเราพิจารณากันได้”
“ยังไม่มีอะไรที่จะบอกได้ในตอนนี้ มันยังเป็นความลับอยู่”
เจียงจูเซิงเงียบ
ไม่ช้าเขาก็กล่าวขึ้น “ทัพสยบสมุทรเป็นส่วนสำคัญของความแข็งแกร่งของกองทัพของเรา จะเสียทัพนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด”
ซูเฉินตอบกลับไปอย่างใจเย็น “ข้าถึงได้จ่ายไปมากพอที่จะซื้อทั้งกองทัพอย่างไรล่ะ”
เมื่อห้าปีก่อนนั้น ซูเฉินมอบผลประโยชน์จำนวนมากให้กับพวกเขาเพื่อที่จะเกลี้ยกล่อมให้เจียงจูเซิงแต่งตั้งให้เจียงซีสุ่ยดูแลทัพสยบสมุทร เพื่อที่เขาจะสามารถยืมทัพนี้ต่อไปได้ในอนาคต
ซึ่งรวมไปถึงสายเลือดตระกูลเจียงในแบบที่ได้รับการพัฒนาแล้ว เคล็ดวิชาต่าง ๆ ที่ถูกยกระดับ ทรัพยากรในการฝึกที่หาได้ยาก และเงินอีกจำนวนมากอีกด้วย
แค่เพียงเพราะสิ่งที่ซูเฉินมอบให้นั้นไม่ใช่ตัวเงินไม่ได้หมายความว่าสิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญ และทรัพยากรในการฝึกหลายอย่างในทวีปยังต้องใช้เงินในการซื้อมาอยู่ดี
สิ่งใดก็ตามที่สามารถนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น
อาณาจักรประกายวารีไม่ได้ยึดติดกับเงินอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าจักรพรรดิองค์ใดก็ต่างต้องการทรัพยากรไว้ในครอบครองมากขึ้นทั้งนั้น
ยิ่งพวกเขามีเงินมากเพียงไร หนทางในการใช้จ่ายก็ยิ่งกว้างขวางขึ้นตามไปด้วย
สิ่งที่ซูเฉินจ่ายไปนั้นไม่มากพอที่จะสร้างทัพสยบสมุทรทั้งทัพขึ้นมาตั้งแต่ต้นได้อีกครั้ง แต่อย่างน้อยมันก็มากพอที่จะสร้างได้สักครึ่งทัพแน่ ๆ
แน่นอนว่าเจียงจูเซิงเองก็คงไม่เห็นด้วยที่จะขายทัพออกไปต่อให้ซูเฉินเสนอเงินมากพอก็ตาม อย่างไรกองทัพก็เป็นกองทัพ และคุณค่าของพวกเขาก็ไม่มีทางวัดได้ด้วยจำนวนเงินเพียงอย่างเดียว
แต่การจะให้ซูเฉินยืมทัพไปใช้งานชั่วคราวนั้นยังเป็นเรื่องที่สามารถพิจารณาได้…
โดยเฉพาะหากอีกฝ่ายสามารถจ่ายค่าตอบแทนให้ก่อนได้ในทันที และใช้กองทัพหลังจากนั้น
เจียงจูเซิงยินดีที่จะตกลงตามเงื่อนไขของซูเฉิน
เวลาห้าปีผ่านไป ซูเฉินเดินทางมายังอาณาจักรประกายวารีเพื่อทวงสิ่งที่เป็นของตัวเอง… สิ่งที่เจียงจูเซิงเคยรับปากกับเขาเอาไว้
แต่ปรากฏว่าเจียงจูเซิงกลับไม่ได้คิดจะมอบสิ่งนั้นให้กับชายหนุ่มโดยง่ายเสียอย่างนั้น
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เจียงจูเซิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ข้าให้เจ้ายืมทัพสยบสมุทรได้ แต่ก็มีเงื่อนไขอยู่”
ซูเฉินไม่หลงกล เขาตอบกลับไป “ข้าคิดว่าเราตกลงกันตามเงื่อนไขที่คุยกันเมื่อห้าปีก่อนแล้วเสียอีก”
เจียงส่าวหงกล่าวสวนทันควัน “นั่นมันเรื่องตอนนั้น วันนี้ก็ส่วนวันนี้ เจ้าจะเอาเรื่องตอนนั้นมาพูดได้อย่างไรกัน”
ซูเฉินเหลือบมององค์รัชทายาท จากนั้นจึงหันไปมองเจียงจูเซิงที่ไม่ได้มีทีท่าว่าพยายามจะหยุดลูกชายแต่อย่างใด
ซูเฉินเข้าใจสถานการณ์แล้ว
เขาพูดต่อไป “เงื่อนไขของท่านคืออะไรหรือฝ่าบาท ?”
“เจ้าเอากองทัพไปใช้ได้เป็นเวลาหนึ่งปี แต่เจ้าจะต้องพาคนในทัพมีชีวิตรอดกลับมาให้ได้อย่างน้อย 80% เจ้าจะต้องจ่ายมัดจำมาห้าพันล้านหินพลังต้นกำเนิด และหากกองทัพกลับมาในจำนวนที่น้อยกว่านั้น ข้าก็จะหักไปตามจำนวนนั้น” เจียงส่าวหงตอบกลับอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเตรียมเงื่อนไขนี้เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ซูเฉินหัวเราะ “ฝ่าบาท นี่ท่านล้อกันเล่นหรือ ?”
“ข้าดูเหมือนกำลังพูดเล่นอย่างนั้นหรือ ?” เจียงส่าวหงยื่นคางด้วยความโอหัง
ฝ่ายซูเฉินไม่ได้ใส่ใจท่าทีนั้นแต่อย่างใด ชายหนุ่มหันหน้าไปหาเจียงจูเซิงและกล่าวกับเขา “ฝ่าบาท เราเคยตกลงกันก่อนหน้านี้ด้วยระยะเวลาสามปี แลกกับสองพันล้านหินพลังต้นกำเนิด และเพื่อเป็นการตอบแทน ข้าก็รับปากไว้ว่าจะพาทัพของท่านให้มีชีวิตรอดกลับมาให้ได้อย่างน้อย 70% โดยที่ข้าจะถูกลงโทษหากทำไม่สำเร็จ ทำไมจู่ ๆ เงื่อนไขถึงได้เปลี่ยนไปเสียอย่างนั้นล่ะ มันต่างกับที่เราเคยตกลงไว้เยอะทีเดียว นี่ท่านจะแสดงความตะกละตะกลามออกมาเสียแล้วหรือ ?”
เจียงจูเซิงถอนใจ “คุณชายซู กรุณาเข้าใจในสถานะของข้าด้วย ข้าเป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรประกายวารี และหน้าที่ของข้าก็คือคุ้มกันทางเข้าสู่ดินแดนมนุษย์ นี่ไม่ใช่หน้าที่เล็ก ๆ เลยนะ !”
ซูเฉินตอบกลับอย่างเยือกเย็น “เผ่ามนุษย์ถูกโจมตีจากทุกทิศทางอย่างต่อเนื่องจากทั้งเผ่าคนเถื่อน เผ่าปักษา อสูรกาย และเผ่าวิญญาณ เผ่าพวกนี้มีเผ่าไหนที่รับมือได้อย่างง่ายดายบ้างไหม หากฝ่าบาทรู้สึกว่าข้อตกลงนี้ไม่สมเหตุสมผล ท่านก็ไม่จำเป็นต้องตกลงก็ได้ การจะกลับคำในตอนนี้คงจะดูไม่ดีนัก”
“จะเป็นการกลับคำได้อย่างไรกัน ?” เจียงจูเซิงเลิกคิ้ว “พวกข้าก็แค่เปลี่ยนเงื่อนไขเล็กน้อยเท่านั้น มันไม่มากเกินไปเสียหน่อย”
ซูเฉินตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “ข้าว่านั่นน่ะเกินไปมากเชียวละ ดูเหมือนว่าอาณาจักรประกายวารีจะไม่ได้มีเจตนาจะร่วมมือกับข้าอีกแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหยิบยืมทัพสยบสมุทรของท่านอีกต่อไป กรุณาคืนเงินที่ข้าให้ไปก่อนหน้านี้มาด้วย”
เจียงส่าวหงตอบไปทันที “เจ้าไม่ต้องยืมกองราชนาวี แต่พวกข้าใช้เงินนั่นไปหมดแล้ว และคงคืนให้ได้ไม่หมดหรอก”
ซูเฉินมองหน้าเจียงส่าวหง “คืนให้ได้ไม่หมดอย่างนั้นหรือ”
ชายหนุ่มหันกลับมาหาเจียงจูเซิงอีกครั้ง “ฝ่าบาท ท่านคิดที่จะหนีหนี้อยู่หรือเปล่า ?”
“ข้าจะหนีได้อย่างไรกัน ?” เจียงจูเซิงตอบกลับอย่างใจเย็น
“ถ้าเจ้าไม่ยืมทัพของเราแล้ว พวกข้าก็จ่ายคืนให้ได้ แต่คงต้องใช้เวลาสักหน่อย”
ซูเฉินถามกลับไป “ใช้เวลานานแค่ไหนล่ะ”
เจียงส่าวหงหัวเราะ “ข้าคิดว่าน่าจะใช้เวลาราว ๆ ร้อยปีเห็นจะได้”
คำตอบนั้นทำให้ทุกคนตะลึง
เจียงซีสุ่ยร้องขึ้นด้วยความร้อนใจ “ท่านพ่อ !”
เจียงจูเซิงหันไปมองด้วยสายตาดุดัน
“หนึ่งร้อยปีหรือ ?” ช่างเป็นคำตอบที่น่าขันสิ้นดี… “ท่านวางแผนมาหมดแล้วสินะ ข้าไม่ได้ขอให้จ่ายดอกเบี้ยตลอดระยะเวลาห้าปีนั่นด้วยซ้ำ แต่ท่านกลับต้องใช้เวลาถึงร้อยปีเพื่อจะจ่ายเงินลงทุนคืนให้กับข้าเชียวหรือ ?”
เจียงส่าวหงตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สา “ระวังคำพูดด้วย อย่างน้อยพวกเขาก็ทำในส่วนของพวกข้าแล้ว และนั่นก็มากพอที่จะชดเชยให้กับเงินลงทุนของเจ้าได้”
“ส่วนไหนกันเล่า ?”
เจียงส่าวหงยื่นคางด้วยความโอหังอีกครั้ง “ก็ที่พวกข้าแต่งตั้งให้น้องชายข้าเป็นผู้นำทัพสยบสมุทรอย่างไรล่ะ นั่นเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงไม่ใช่หรอกหรือ เขาเป็นผู้นำทัพมานานห้าปีแล้ว ดังนั้นระยะเวลาที่พวกข้าบอกไปก็ไม่ได้มากไปเลย”
ไม่มากไป ! หึ ซูเฉินโกรธเหลือเกินจนต้องระเบิดหัวเราะออกมา
เขาหันไปมองเจียงซีสุ่ย
เมื่อเห็นดังนั้นเจียงซีสุ่ยก็เข้าใจได้ทันที “ท่านพี่ ท่านกำลังทำอะไรอยู่”
“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ?” เจียงส่าวหงจ้องเขม็งไปที่เจียงซีสุ่ย “เจ้าร่วมมือกับคนนอกเพื่อที่จะได้ควบคุมกองราชนาวี ซึ่งก็เท่ากับการควบคุมทั้งอาณาจักร”
เจียงส่าวหงลุกขึ้นยืนพร้อมกับตบโต๊ะเสียงดังลั่น
เจียงซีสุ่ยมองหน้าพี่ชายตัวเองด้วยความเจ็บปวด “ท่านพี่ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ข้าไม่เคยคาดหวังในบัลลังก์เลยแม้แต่น้อย”
เจียงส่าวหงกระแอมไอ “เจ้าอาจไม่ได้คาดหวัง แต่ใครกันจะรู้ว่ามีคนอีกกี่คนที่อยู่เคียงข้างเจ้า บางที… การตัดสินใจก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าหรอกนะ !”
สายตาของเจียงส่าวหงกวาดไปที่จีหานเยี่ยน
เขากำลังหมายถึงจีหานเยี่ยนนั่นเอง…
ถ้าอย่างนั้นที่เขาพูดก็มีเหตุผลทีเดียว
จีหานเยี่ยนเป็นหญิงที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง
ทว่าการใส่ใจหญิงนางนี้เป็นพิเศษมันผิดอย่างไรกันหรือ… ?
ปัง !
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นแทรกคำพูดของเจียงส่าวหง
แก้วเหล้าถูกฟาดเข้าใส่หัวของเจียงส่าวหงอย่างแรง เหล้านั้นไหลอาบไปทั่วทั้งศีรษะและร่างกายในทันที
แม้เจียงส่าวหงจะมีทักษะไม่น้อย แต่เขากลับไม่สามารถหลบมันได้ทันเสียอย่างนั้น
“เจ้าน่ะหรือ ?” สายตาคู่นั้นแข็งกร้าวนิ่งนัก
จีหานเยี่ยนเก็บแก้วในมือกลับมาอย่างใจเย็นและพ่นน้ำลายออกมาด้วยท่าทีเยือกเย็น “ไอ้สวะ !”