ภาคที่ 6 บทที่ 7 ดูหมิ่น

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 7 ดูหมิ่น

“ไอ้สวะ !”

คำดูแคลนของจีหานเยี่ยนทำหน้าที่ของมันโดยไม่ได้สนใจในเกียรติยศขององค์รัชทายาทเลยแม้แต่น้อย ท่าทีที่เยือกเย็นและเดียดฉันท์ของนางทำให้ด้านที่ไม่น่ารักนักถูกแสดงออกมาอีกครั้ง

แม้แต่ซูเฉินก็ยังตะลึงกับการกระทำของหญิงสาว

แม้จะสมรสแล้ว แต่นางก็ยังร้ายกาจเหลือเกิน

เจียงส่าวหงแทบจะระเบิดออกด้วยความเดือดดาล ทว่าซูเฉินพลันขัดขึ้น “เอาละ หนึ่งร้อยปีก็หนึ่งร้อยปี”

อะไรกัน… ?

ทุกคนต่างมองไปที่ซูเฉินด้วยความประหลาดใจ

ชายหนุ่มกล่าวต่อไปอย่างใจเย็น “ในเมื่อท่านจะคืนเงินข้าให้ได้ทั้งหมดในหนึ่งร้อยปี ก็ให้มันเป็นไปตามนั้น และข้าก็จะไม่พูดถึงเรื่องการยืมกองราชนาวีอีก ไปจากนี่กัน !”

พูดจบเขาก็หันหลังพร้อมจะจากไป

เจียงจูเซิงพลันร้องขึ้น “ท่านซู ช้าก่อน !”

ซูเฉินยืนนิ่งและไพล่มือทั้งสองไว้ที่ด้านหลังด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ท่านต้องการอะไรอีกอย่างนั้นหรือ ?”

เจียงจูเซิงกล่าวโดยไม่รอช้า “ท่านเดินทางมาไกลในฐานะแขกของเรา ทำไมไม่อยู่ที่วังต่ออีกสักหน่อยล่ะ ?”

“ไม่จำเป็นเลย ข้ามีธุระอื่น ๆ ที่ต้องไปจัดการ ดังนั้นข้าไม่ควรอยู่ที่นี่นานนัก” ซูเฉินปฏิเสธข้อเสนอนั้นอย่างตรงไปตรงมา

เจียงจูเซิงยิ้มจืดชืด “แล้วถ้าข้ายืนยันจะให้ท่านอยู่ต่อล่ะ”

ซูเฉินหรี่ตา “ฝ่าบาท นอกจากเรื่องหนี้แล้ว ท่านก็ยังคิดจะจับตัวข้าไว้อีกหรือ ?”

เจียงจูเซิงตอบกลับ “ความรู้ของปราชญ์ชาญโลกซูกว้างขวางนัก การมีเจ้าอยู่ที่นี่ก็เทียบได้กับการมีกองราชนาวีเพิ่มมาอีกหนึ่งทัพ ถ้าข้าไม่พยายามโน้มน้าวให้ท่านอยู่ที่นี่ต่อคงทำให้ชาวเมืองผิดหวังยิ่งนัก”

สิ้นคำนั้นประตูโถงก็ค่อย ๆ เปิดขึ้นก่อนที่เหล่าทหารจะพากันหลั่งไหลเข้ามาในห้อง ซึ่งในบรรดาทหารเหล่านั้นยังมีผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณปะปนอยู่ด้วย

“ท่านพ่อ !” เจียงซีสุ่ยร้องขึ้นด้วยความสิ้นหวัง

“หุบปากซะ เจ้ามีสิทธิ์ที่จะออกความเห็นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรด้วยหรืออย่างไรกัน ข้าก็แค่ทำเพื่อปกป้องอาณาจักรประกายวารีเท่านั้น” เจียงจูเซิงตอบ

ฝ่ายซูเฉินได้แต่ถอนใจด้วยความเสียดาย “ข้าก็แค่เกรงว่าท่านจะเลือกทางผิดและนำพาหายนะมาหาตัวแทนน่ะสิ”

เจียงจูเซิงตอบอีกครั้ง “ข้าถึงอยากให้เจ้าอยู่ที่นี่ต่ออย่างไรล่ะ ! ข้าไม่เคยประมาทในพลังของเจ้าเลย ที่บอกว่ายินดีจะรอถึงร้อยปีเพื่อให้พวกข้าจ่ายหนี้นั่นก็คงเป็นคำพูดที่ไม่จริงใจด้วยซ้ำใช่ไหมล่ะ”

เจียงจูเซิงรู้ว่าซูเฉินแสร้งทำเป็นตกลงเพื่อที่จะหนีจากสถานการณ์ที่อันตรายนี้ก็เท่านั้น

และมันทำให้เขายิ่งมุ่งมั่นจะให้ซูเฉินอยู่ที่นี่ต่อไปให้ได้

เขาจะปล่อยให้ซูเฉินไปจากที่นี่ไม่ได้เป็นอันขาด !

แม้เขาจะไม่รู้ว่านิกายไร้ขอบเขตแข็งแกร่งเพียงไรในตอนนี้ แต่ซูเฉินเพียงคนเดียวก็ทำให้ต้องคิดหนักแล้ว

เจียงจูเซิงไม่ต้องการให้อาณาจักรของเขากลายเป็นเขตแดนของเผ่าคนเถื่อนหรือเผ่าปักษา เขาจึงจำเป็นต้องทำทุกอย่างอย่างรอบคอบที่สุด

แรงกดดันที่เขาปลดปล่อยออกมานั้นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเพราะการแสดงพลังออกมาอย่างเปิดเผยในคราวนี้ และแม้ว่าพวกเขาจะยังอยู่ในห้องนั้น แต่ทุกคนก็รู้สึกราวกับว่าเมฆฝนกำลังก่อตัวขึ้นรอบ ๆ พวกเขา

ทว่าซูเฉินกลับยังดูใจเย็นอย่างเดิม ท่าทีของเขานิ่งสนิทราวกับน้ำลึกอย่างไรอย่างนั้น “ท่านคิดจริง ๆ หรือว่าที่ท่านทำนั้นมากพอที่จะทำให้ข้าอยู่ที่นี่ต่อได้ ?”

เจียงจูเซิงหัวเราะ “ข้าเข้าใจ ท่านซู ท่านมีพลังระดับด่านสู่พิสดาร และหากต้องการที่จะไปก็คงไม่มีใครที่จะหยุดไว้ได้ แต่ข้าเองก็ได้สร้างค่ายกลตรึงพลังเอาไว้ที่นี่ด้วย ดังนั้นการจะใช้พลังด่านสู่พิสดารก็คงจะไม่ง่ายนัก แน่นอนว่าประตูหน้านั่นก็ยังใช้เข้าออกได้อย่างเดิม ต่อให้ข้าเป็นถึงผู้ฝึกตนด่านมหาราชัน ข้าอาจยังไม่สามารถหยุดเจ้าได้เลยด้วยซ้ำ แต่คิดหรือว่าลูกสมุนที่มาด้วยจะหนีไปพร้อมกับเจ้าได้ ?”

“ท่านกำลังใช้คนของข้าเพื่อกดดันข้าอย่างนั้นหรือ ?” ซูเฉินถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เหตุการณ์นี้ช่างคุ้นเคยนัก”

เจียงจูเซิงยิ้มและตอบว่า “หยงเยี่ยหลิวกวงช่วยเผยจุดอ่อนของเจ้ามาแล้ว เจ้าน่ะมันพ่อพระ ไม่ใช่จอมเผด็จการ และไม่ใช่ราชาแต่อย่างใด นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้คนรอบตัวทำให้เจ้าอ่อนแอ”

ซูเฉินสวนกลับทันควัน “ท่านคิดว่าจะใช้คนพวกนั้นเพื่อขู่ข้าได้อย่างนั้นใช่ไหม ? ทำไมถึงคิดว่าข้าจะปล่อยให้เหตุการณ์แบบเดิมเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองหลังจากที่หยงเยี่ยหลิงกวงเคยทำสำเร็จไปแล้วล่ะ”

เจียงจูเซิงผงะ “พวกนั้นไม่มีทางรู้วิชาด่านสู่พิสดารแน่ ใช่ไหมล่ะ เท่าที่ข้ารู้ วิชานั่นไปเกี่ยวข้องกับวิถีพลังเชิงพลังสูญ ซึ่งไม่สามารถสอนกันได้”

“ความรู้ของท่านน่าทึ่งทีเดียว แต่ความเป็นจริงมันไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้นหรอก” ซูเฉินตอบ “ไม่มีใครสามารถปกป้องคนรอบตัวได้ตลอดไป ข้าก็แค่ตัดสินใจมานานแล้ว หากข้าต้องถูกรั้งไว้โดยคนรอบตัวข้า ข้าขอยอมสู้เคียงข้างกับพวกเขาตั้งแต่แรกจะดีกว่า”

หากเขาจะต้องถูกรั้งโดยคนรอบตัวแล้ว ซูเฉินขอสู้เคียงข้างกับพวกเขาตั้งแต่แรกยังจะดีเสียกว่า !

นี่คือสิ่งที่ซูเฉินได้เรียนรู้จากการสูญเสียที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

และเป็นสาเหตุที่เขาพากู่ชิงลั่วมาด้วย

ตั้งแต่ที่หยงเยี่ยหลิวกวงจับตัวจูเซียนเหยาไว้ในคราวนั้น ชายหนุ่มก็ได้ตัดสินใจแล้ว

เจียงจูเซิงคิดจริง ๆ หรือว่าจะสามารถขู่ซูเฉินด้วยชีวิตคนของเขาได้ ?

ช่างเป็นความคิดที่ไร้เดียงสานัก !

ซูเฉินกล่าวต่อไปอย่างเยือกเย็น “มีหลายอย่างที่ข้าไม่อยากจะทำ เพราะข้าตั้งใจไว้แล้วว่าจะใช้เวลาไปกับเป้าหมายที่สำคัญกว่านี้ แต่ถ้าหากมีใครบางคนรนหาที่ตายต่อหน้าข้าแล้ว ข้าก็ไม่เกรงกลัวที่จะต้องบังคับพวกเขา อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเลย… มันถือเป็นการฆ่าเวลาที่ดีด้วยซ้ำไป”

เมื่อพูดจบชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นก่อนที่ลำแสงหนึ่งจะพุ่งตรงออกไปจากมือนั้นและเกิดเป็นภาพฉายขึ้นในที่สุด

เรือมังกรทั้งแปดลำและตำหนักใหญ่ที่ซูเฉินติดตัวมาด้วยค่อย ๆ ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ประตูที่ปิดสนิทของตำหนักนั้นกำลังเปิดออก…

ไม่มีใครรู้ว่าจะมีอะไรออกมาจากตำหนักนั้น…

ซูเฉินใช้เวลาห้าปีที่ผ่านมานี้เพื่อรวบรวมพลังให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น แม้ว่าเขาจะยังไม่เคยเปิดเผยแรงจูงใจออกมาโดยตรง แต่ชายหนุ่มก็ทิ้งเบาะแสไว้มากมายทีเดียวในคราวนี้

เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือจักรพรรดิอสูรทะเล

สิ่งที่สามารถต่อกรกับบางอย่างที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นได้… จะสามารถต่อกรกับทางพระราชวังได้ด้วยหรือไม่ ?

ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้…

เพราะวังนั้นตั้งอยู่ใกล้กับเขตชายแดนเหลือเกิน มันจึงสามารถต้านทานการโจมตีจากจักรพรรดิอสูรทะเลได้ แม้ว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งอย่างเมืองล่องนภาก็ตาม

กำแพงเหล่านี้จะทรงพลังมากพอที่จะต้านทานกับความยิ่งใหญ่ของนิกายไร้ขอบเขตที่ถูกสร้างขึ้นในห้าปีที่ผ่านมานี้ได้หรือไม่ ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้เช่นกัน…

กล่าวง่าย ๆ ก็คือ… เจียงจูเซิงไม่เชื่อว่ามันจะสามารถทำได้

เขาไม่เชื่อเลยว่าความแข็งแกร่งที่ซูเฉินสั่งสมมาในช่วงห้าปีนี้จะสามารถเอาชนะพลังของอาณาจักรประกายวารีที่พวกเขาสั่งสมมาตลอดหลายพันปี

ทว่าจักรพรรดิแห่งอาณาจักรประกายวารีไม่รู้ว่าซูเฉินไม่ใช่คู่ต่อสู้ธรรมดา ๆ และไม่ใช่ชายหนุ่มที่โง่เขลา

หากเขากล้าที่จะพุ่งเป้าไปยังจักรพรรดิอสูรทะเลแล้ว นั่นแปลว่าชายคนนี้อาจจะสามารถปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งอย่างน้อยในระดับที่สามารถต่อกรกับสิ่งแบบนั้นได้

นี่ยังหมายความว่าทางพระราชวังก็จะต้องใช้ทรัพยากรอย่างมหาศาลเพื่อจะต้านทานกับเขาด้วย

แค่เพราะกำแพงของวังสามารถต้านทานการโจมตีของจักรพรรดิอสูรทะเลได้นั้น มันไม่ได้แปลว่าจะง่ายดายเสมอไป เมืองล่องนภาเสียทรัพยากรไปมากมายเพื่อเอาชนะเทพอสูร นอกจากนั้นแล้วความอ่อนแอที่เป็นผลตามมาก็ยังทำให้เมืองล่องนภาตกเป็นเป้าสายตาในการโจมตีจากอาณาจักรมนุษย์อื่น ๆ อีกด้วย

ต่อให้ทางวังสามารถต้านทานการโจมตีของซูเฉินได้ แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากจักรพรรดิอสูรปรากฏกายขึ้นหลังจากนั้นในไม่ช้า ?

เพราะเหตุนี้สีหน้าของเจียงจูเซิงจึงเริ่มหม่นลง

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่มีทางยอมแพ้เพียงเพราะคำขู่เพียงไม่กี่คำของซูเฉิน

เจียงจูเซิงตัดสินใจเรื่องนี้มานานแล้ว

เขาส่ายหน้า “ข้าเชื่อว่าท่านซูคงพาผู้คนที่แข็งแกร่งมาด้วยในคราวนี้ แต่การที่จะสามารถต้านทานกับความยิ่งใหญ่ของอสูรทะเลได้นั้นก็จะต้องยืมความช่วยเหลือจากทัพสยบสมุทรของกองราชนาวี ซึ่งอาณาจักรประกายวารีไม่มีให้อีกต่อไป ! เพราะอย่างนี้….”

“ท่านก็เลยคิดว่าข้าทำอะไรไม่ได้ ใช่ไหมล่ะ ?” ซูเฉินหัวเราะอย่างเยือกเย็น “เป็นการคิดที่มีเหตุผลทีเดียว ในสายตาของท่าน ความต้องการจะยืมกองทัพของข้ากลายเป็นหลักฐานของความอ่อนแอของข้า และการยินยอมของข้าก็กลายเป็นหลักฐานที่แสดงว่าข้าไร้ความสามารถ จักรพรรดิเจียง ท่านคงภาคภูมิใจมากทีเดียวสินะ”

สีหน้าของชายหนุ่มพลันดูจริงจังขึ้น “ข้าบอกท่านแล้วว่าเรื่องนั้นไม่ได้เลวร้ายสำหรับข้า ถ้าการต่อสู้นี่เริ่มขึ้น ข้าก็จะมีข้ออ้างที่จะยืดเวลาออกไปอีกห้าปี แม้ว่าข้าจะต้องเปิดเผยพลังมากกว่าที่ควร และหยงเยี่ยหลิวกวงก็อาจไม่พอใจขึ้นมา ข้าก็จะยังได้ประโยชน์จากมันอยู่ดี”

ขณะที่กล่าวนั้น มือทั้งสองของเขาก็กำหมัดแน่น ภาพของตำหนักและเรือมังกรทั้งแปดที่อยู่ไกลออกไปเริ่มสะท้านอย่างแรงตามไปด้วย

ขณะที่นิกายไร้ขอบเขตกำลังจะแสดงพลังออกมาอย่างเต็มที่นั่นเอง เสียงหนึ่งก็ประกาศกร้าวขึ้น “องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นแห่งเผ่าท้องสมุทรมาถึงแล้ว !”

เมื่อได้ยินดังนั้นซูเฉินก็คลายหมัดทั้งสองและหยุดการโจมตีของนิกายไร้ขอบเขตเอาไว้

แม้แต่เจียงจูเซิงก็ยังต้องตกใจ “เว่ยซีหมิ่นหรือ นางมาที่นี่ทำไมกัน ?”

เจียงส่าวหงกล่าวด้วยความร้อนใจ “ท่านพ่อ”

น้ำเสียงนั้นฟังดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

สีหน้าของเจียงจูเซิงหม่นหมองเหลือเกินในตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดและการต่อสู้อาจเริ่มขึ้นได้ในทุกวินาที

เจียงจูเซิงถอนใจยาวและกล่าวขึ้น “เปิดประตูให้แขกเข้ามา”

เอี๊ยด !

ประตูราชวังเปิดออกอีกครั้ง

คนอีกกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง

พวกเขามีลักษณะแตกต่างไปจากมนุษย์เล็กน้อย ทั่วทุกร่างเหล่านั้นปกคลุมไปด้วยไอหมอกที่ทำให้ดูท่าทางลึกลับยิ่งนัก …พวกเขาคือชาวสมุทรนั่นเอง

สายลมแห่งเสรีหลั่งไหลไปรอบตัวเหล่าชาวสมุทร

ใช่แล้ว มันคือสายลมแห่งเสรีที่เผ่าท้องสมุทรได้ไปจากชาวอาร์คาน่าเมื่อหลายปีก่อน

อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่สมบัติแต่อย่างใด แต่สายลมแห่งเสรีเป็นวิชาอาร์คาน่าที่สามารถใช้งานได้ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนและรุนแรงจริง ๆ เท่านั้น

สายลมนี้ทำให้ชาวสมุทรสามารถเดินทางบนบกได้อย่างอิสระ

เผ่าท้องสมุทรอาศัยอยู่ใต้ท้องทะเล ดังนั้นสภาพแวดล้อมใต้น้ำจึงเหมาะสมกับการอยู่อาศัยของพวกเขามากที่สุด

ชาวสมุทรมีส่วนหัว มีร่างกาย และแขนสองข้างเหมือนมนุษย์ แต่พวกเขายังมีครีบคู่หนึ่งที่บนหลังด้วย อีกทั้งผิวหนังนั้นยังเรียบลื่นและไร้เกล็ด แต่มันห่อหุ้มไปด้วยชั้นไขมันบาง ๆ ซึ่งเพิ่มความเร็วให้กับการเคลื่อนที่ใต้น้ำได้เป็นอย่างดี

ชาวสมุทรไม่มีผมและขน พวกเขาหายใจโดยใช้เหงือกทั้งสองที่บริเวณด้านข้างของใบหน้า ดวงตาของชาวสมุทรนั้นมีเนื้อเยื่อที่ค่อนข้างแข็ง ซึ่งทำหน้าที่ในการปกป้องพวกมันนั่นเอง

ลักษณะของพวกเขามีความคล้ายคลึงกับมนุษย์อยู่พอสมควร แต่ในทางชีวภาพแล้วร่างกายของชาวสมุทรแตกต่างไปมากทีเดียว

นั่นทำให้การมีชีวิตรอดเหนือน้ำนั้นเป็นเรื่องยากยิ่งนัก

จนกระทั่งพวกเขาได้สายลมแห่งเสรีมาครอบครองนั่นเอง

ชาวสมุทรนั้นแตกต่างไปจากเผ่าพันธุ์อื่น ๆ เพราะแข็งแกร่งขึ้นได้จากสมบัติของชาวอาร์คาน่า พวกเขาต่อสู้อย่างขมขื่นเพื่อให้ได้สามารถซึ่งสายลมแห่งเสรีนี้ เพราะชาวสมุทรรู้ดีตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกเขาไม่มีทางเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยได้ด้วยสมบัติเพียงหนึ่งหรือสองชิ้นอย่างแน่นอน

และเหตุนี้เองเผ่าท้องสมุทรจึงเลือกที่จะล่าถอยพร้อมกับเลือกสิ่งนี้มา ซึ่งก็คือสมบัติที่จะทำให้พวกเขาสามารถเดินทางไปบนบกได้ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง

สายลมแห่งเสรีทำให้ชาวสมุทรมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะไม่ต้องตกอยู่ในอันตรายจากการสูญพันธุ์ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

หลายพันปีต่อจากนั้น เผ่าท้องสมุทรก็ได้เผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่อยู่หลายหน แต่พวกเขาก็สามารถผ่านมันมาได้ทั้งหมด ซึ่งก็เพราะความสามารถในการกลับขึ้นไปบนบกในวินาทีสำคัญนั่นเอง

ด้วยสายลมแห่งเสรีนี้ ชาวสมุทรไม่เพียงออกจากน้ำได้ตามใจต้องการ แต่พวกเขายังสามารถแสดงพลังออกมาได้เช่นเดียวกับตอนที่อยู่ในน้ำอีกด้วย ทำให้สามารถเข้ากับสภาพแวดล้อมบนบกได้เป็นอย่างดี

ผู้นำในคราวนี้ก็คือองค์หญิงเว่ยซีหมิ่นตามเสียงประกาศ

ซูเฉินเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน นางเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อในเผ่าท้องสมุทร หญิงชาวสมุทรนั่นจะทรงพลังเป็นพิเศษ และนางก็เป็นตัวแทนหลักของหญิงเหล่านั้นนั่นเอง

องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นเป็นลูกสาวของผู้นำเผ่าท้องสมุทรคนปัจจุบัน เมื่ออายุ 13 นางสามารถสังหารอสูรทะเลวาฬหัวฉนากได้สำเร็จและสร้างชื่อให้กับตัวเองในฐานะนักรบผู้แข็งแกร่ง จากนั้นนางก็กลายเป็นนักล่าที่มีทักษะอย่างน่าทึ่ง

เผ่าท้องสมุทรไม่มีการจัดอันดับของพลัง มีแต่เพียงการจัดอันดับของนักล่าเท่านั้น ตราบใดที่พวกเขาสามารถล่าอสูรทะเลที่แข็งแกร่งได้ แม้แต่ชาวสมุทรที่อ่อนแอกว่าก็ยังสามารถถูกจัดอยู่ในอันดับสูงได้เช่นกัน ส่วนชาวสมุทรที่แข็งแกร่งกว่าและไม่สามารถล่าได้เลยก็จะไม่ได้รับการยกย่อง

สถานะของหญิงนางนี้เป็นรองแค่เพียงนักรบสมุทรศักดิ์สิทธิ์ เท่านั้น ซึ่งก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของตัวนางเองด้วย

…และจู่ ๆ นางก็มาปรากฏตัวที่นี่เสียอย่างนั้น!

สิ่งแรกที่หญิงสาวเอ่ยปากก็คือ “ฝ่าบาทเจียง การกระทำของท่านจะไม่เป็นการทำลายความสงบระหว่างเผ่าของเราทั้งสองหรือ ?”