ภาคที่ 6 บทที่ 8 ท้องสมุทรโศกา (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 8 ท้องสมุทรโศกา (1)

เจียงจูเซิงหรี่ตามอง “องค์หญิงเว่ยซีหมิ่น ข้าน่าจะออกไปต้อนรับท่านด้วยตัวเอง โชคไม่ดีนักที่วันนี้ข้ามีแขกสำคัญอยู่กับเราด้วย ข้าจึงมองข้ามเรื่องนั้นไป กรุณาให้อภัยข้าด้วย”

องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นชูคอขึ้นเผยให้เห็นเกล็ดแวววาวที่เรียงรายอยู่

ชาวสมุทรนั้นไม่ได้เกิดมาพร้อมกับเกล็ดพวกนี้ แต่พวกเขาสามารถฝึกร่างกายให้สร้างมันขึ้นมาเพื่อป้องกันด้วยได้

“ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องนั้น ท่านซูมาที่นี่ในคราวนี้ไม่ใช่เพื่อท่าน แต่เขามาเพื่อนเราชาวสมุทร จะไม่เหมาะไปหน่อยหรือที่จะกักขังแขกคนสำคัญเอาไว้แบบนี้” เว่ยซีหมิ่นกล่าว

เจียงจูเซิงยิ้มและตอบกลับไป “ท่านก็รู้ว่าเขามาที่นี่ก็เพราะชาวสมุทร แต่ท่านรู้หรือเปล่าว่าทำไมเขาถึงได้สนใจชาวสมุทรมากนัก… ก็เพราะดวงตาไห่เสินอย่างไรล่ะ ! แม้ว่าซูเฉินจะไม่เคยพูดถึงมัน แต่สิ่งที่เขาทำในดินแดนเผ่าปักษาก็ไม่มีทางหลุดรอดสายตาของข้าไปได้ ทำไมหยงเยี่ยหลิวกวงถึงยอมปล่อยเขามาล่ะ ? แล้วทำไมซูเฉินถึงติดต่อมาหาข้ากับท่านทันทีที่ถูกปล่อยตัว ถ้าท่านลองคิดดู คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว จะไม่เป็นไรจริง ๆ หรือที่เขามีเป้าหมายเป็นดวงตาไห่เสิน ? ข้าจัดการกับเขาก็เพื่อเห็นแก่เราทั้งสองฝ่ายนะ”

ทุกคนที่ตรงนั้นต่างตกตะลึง เจียงซีสุ่ยมองซูเฉินด้วยความไม่เชื่อ “เจ้าตามหาดวงตาไห่เสินอยู่อย่างนั้นหรือ ?”

ซูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย

“เรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน”

“ดวงตาไห่เสินสำคัญเกินไป”

“หากชาวปักษาได้มันไปและเมืองล่องนภาสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระอีกครั้ง สถานการณ์ก็คงจะเปลี่ยนไปมากทีเดียว”

“เพื่อเห็นแก่ทุกเผ่าพันธุ์ เราจะปล่อยให้เขาทำสำเร็จไม่ได้เด็ดขาด”

สมาชิกของราชสำนักแห่งอาณาจักรประกายวารีเริ่มส่งเสียงโวยวายขึ้น

ไม่มีใครที่เห็นแก่เผ่าพันธุ์อื่น ๆ เมื่อต้องคิดแผนการจับตัวชายหนุ่มคนนี้ แต่ตอนนี้มีโอกาสที่จะได้พิสูจน์การกระทำของตัวเองแล้ว ในเมื่อพวกเขามีเหตุผลมากพอ ชาวประกายวารีก็ปฏิเสธที่จะจ่ายหนี้ได้อย่างเปิดเผยตามต้องการ

ทว่าองค์หญิงเว่ยซีหมิ่นกลับไม่ไว้หน้าพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

นางกล่าวขึ้น “ข้ารู้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชาวสมุทรโดยตรง ดังนั้นท่านไม่ได้มีหน้าที่ที่จะมาตัดสินใจแทนข้า ถูกไหม ?”

อะไรนะ…

คำตอบนั้นทำให้ทุกคนต้องตะลึงอีกครั้ง

เจียงจูเซิงเองก็ผงะไปเช่นกัน “ท่านรู้แผนนี้อยู่แล้ว หรือว่าเดาเอาเองกันแน่ ?”

“ซูเฉินไม่เคยคิดจะซ่อนมันจากพวกข้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” เว่ยซีหมิ่นตอบ “และนี่ก็ยังเป็นสาเหตุที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ด้วย”

เป็นไปได้อย่างไรกัน !?

ไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น แต่ทุกสายตาต่างก็จับจ้องไปที่ซูเฉิน

ฝ่ายซูเฉินกล่าวขึ้นอย่างใจเย็นเหมือนทุกที “กองทหารเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างยิ่งต่ออาณาจักร ภายใต้สถานการณ์ทั่ว ๆ ไปแล้ว พวกเขาคงไม่ถูกคนอื่นหยิบยืมกำลังไปใช้หรอก แต่ฝ่าบาทก็ตกลงไปแล้วไม่ใช่หรือ ? และตอนนี้ท่านก็กำลังต้องจ่ายหนี้ที่ว่า”

เจียงจูเซิงเข้าใจแล้ว “เจ้าซื้อมันอย่างนั้นหรือ ?”

“เรียกว่าแลกเปลี่ยนกันคงจะถูกต้องมากกว่า” ซูเฉินตอบ

ใช่แล้ว การแลกเปลี่ยน !

ซูเฉินไม่ได้เคยคิดจะเล่นตุกติกกับชาวสมุทร หรือพยายามจะขโมยดวงตาไห่เสินมาจากพวกเขา

ข้อแรกคือเพราะเผ่าท้องสมุทรนั้นไม่ใช่ศัตรูของเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่อยากจะใช้วิธีการเดียวกันกับที่เขาทำกับเผ่าคนเถื่อนและเผ่าปักษา ส่วนข้อที่สองนั้นก็เพราะการจะขโมยดวงตาไห่เสินเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่งนัก เผ่าปักษาวางแผนที่จะขโมยมันมานานหลายพันปีแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลย กลายเป็นว่าชาวสมุทรกลับเพิ่มภูมิคุ้นกันต่อวิธีการที่แยบยลต่าง ๆ ให้มากขึ้นเสียด้วยซ้ำ

ซูเฉินมองว่าตัวเองเป็นหนึ่งในหัวขโมยที่เก่งกาจที่สุด แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้เลย

แต่เพียงเพราะเขาไม่สามารถขโมยมันมาได้นั้น… ไม่ได้แปลว่าซูเฉินจะซื้อมันมาไม่ได้เสียหน่อย

มีหลายสิ่งอย่างในจักรวาลนี้ที่ไร้ขอบเขตโดยสิ้นเชิง อันที่จริงแล้วหากซูเฉินเสนอจำนวนเงินที่มากพอ ชาวสมุทรก็คงยอมขายสายลมแห่งเสรีให้กับเขาอยู่แล้ว ดังนั้นหากเป็นดวงตาไห่เสินก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

เจียงจูเซิงมองไปยังเว่ยซีหมิ่นด้วยความตะลึง “เขาเสนอให้ท่านเท่าไหร่หรือ ?”

เว่ยซีหมิ่นส่ายหน้า “เขาเสนอสิ่งที่เงินไม่สามารถซื้อได้ให้กับข้า”

ดูเหมือนว่าเจียงจูเซิงจะเข้าใจคำตอบนั้น “จริงของท่าน ดวงตาไห่เสินไม่ใช่สิ่งที่จะซื้อได้ด้วยเงินเพียงอย่างเดียว เขารับปากท่านว่าอย่างไรล่ะ ?”

เว่ยซีหมิ่น ตอบ “เขาจะแลกมันด้วยท้องสมุทรโศกา”

คำตอบนั้นทำให้ทุกคนต้องตะลึงอีกเช่นเคย

เมื่อพูดถึงท้องสมุทรโศกาแล้วก็จำเป็นจะต้องกล่าวถึงประวัติศาสตร์ของเผ่าท้องสมุทรด้วย

ประวัติศาสตร์ของพวกเขาเริ่มขึ้นเมื่อ 60,000 ปีก่อนยุคโบราณ โดยเริ่มมาจากเทพอสูรทะเลบรรพกาลสองตนที่ต่อสู้กัน

การต่อสู้นั้นกินเวลาอยู่นานสามวันสามคืน จนท้ายที่สุดหนึ่งในเทพอสูรบรรพกาลก็สิ้นชีวิตและจมลึกลงสู่พื้นสมุทร กลายเป็นอาหารอันโอชะที่ดึงดูดอสูรจำนวนมากให้เขามา

ปลาน้อยตัวหนึ่งบังเอิญกินแก่นของเทพอสูรบรรพกาลตนนั้นเข้าไปจำนวนหนึ่ง และด้วยพลังต้นกำเนิดที่อัดแน่นอยู่ในแก่นนั้น จึงทำให้ร่างกายของปลาตัวดังกล่าวเริ่มจะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ

พัฒนาการนั้นดำเนินต่อไปอีกราวสองหมื่นปีจนเกิดเป็นเผ่าพันธุ์อัจฉริยะเผ่าพันธุ์หนึ่งในทวีป

ซึ่งก็คือเผ่าท้องสมุทรนั่นเอง

ในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเล ชาวสมุทรจึงมีพลังที่แข็งแกร่งมากทีเดียว ซึ่งอันที่จริงแล้วในบรรดาเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งห้านั้น เรียกว่าพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดเลยก็ว่าได้

พวกเขามีความสัมพันธ์กับสายน้ำมาแต่กำเนิด และยังครอบครองพลังอันโหดเหี้ยมของเผ่าคนเถื่อน กับการรับรู้อย่างชาวปักษาอีกด้วย ชาวสมุทรยังมีศักยภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่คุณสมบัติเหล่านั้นกลับถูกกดเอาไว้เพราะสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายที่พวกเขาอาศัยอยู่

อสูรทะเลนั้นทรงพลังกว่าอสูรกายที่อาศัยอยู่บนบกถึงหลายเท่า ซึ่งขัดกับพลังของชาวสมุทร

ในช่วงที่อำนาจของอาณาจักรอาร์คาน่าพุ่งสูงนั้น ชาวสมุทรยังได้ขอให้อาณาจักรอาร์คาน่าช่วยคิดหาวิธีการในการรักษาเผ่าพันธุ์พวกเขาอีกด้วย

เพราะอาณาจักรอาร์คาน่าสนอกสนใจในทรัพยากรจำนวนมหาศาลที่มีอยู่ใต้น้ำ และกำลังต้องการเผ่าพันธุ์ที่จะช่วยพวกเขาเก็บทรัพยากรหายากในท้องสมุทรอยู่พอดี ทั้งสองฝ่ายจึงได้ทำข้อตกลงร่วมกัน ซึ่งนี่เองเป็นต้นกำเนิดของสายลมแห่งเสรี โดยหากชาวสมุทรต้องประสบกับหายนะที่ไม่สามารถต้านทาน พวกเขาก็จะสามารถถอยจากผืนน้ำและไปอยู่บนบกได้ชั่วคราว ในขณะเดียวกันเผ่าท้องสมุทรก็จะสามารถช่วยบรรเทาความกดดันจากอสูรกายที่อาณาจักรอาร์คาน่าต้องแบกรับด้วย

แต่เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาสามารถรักษาระดับของตัวเองให้เหนือกว่าชาวสมุทรได้ ชาวอาร์คาน่าจึงไม่ได้มอบสายลมแห่งเสรีให้กับชาวสมุทรทันทีหลังจากที่สร้างมันขึ้นมา พวกเขากลับแสร้างทำเป็นว่าสายลมนั้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์และเก็บมันไว้กับตัวเอง เพื่อใช้ประโยชน์และถลุงเอาทรัพยากรของเผ่าท้องสมุทร

โชคไม่ดีนักที่ความลับไม่มีทางที่จะเป็นความลับได้ตลอดไป สุดท้ายเผ่าท้องสมุทรก็ค้นพบความจริงว่าตัวเองถูกหักหลังเข้าเสียแล้ว

ในยุคแห่งความโกลาหล อาณาจักรอาร์คาน่าก็เริ่มเสื่อมอำนาจลง

เมืองอนันต์ตกอยู่ใต้การโจมตีของเผ่าคนเถื่อน เผ่าจิตวิญญาณทมิฬ เผ่าปักษา และมนุษย์ไปพร้อม ๆ กัน หนึ่งในตระกูลอาร์คาน่าชั้นสูงที่โชคดี หรือก็คืออิงปู้หลี่และตระกูลของเขาได้ช่วงชิงเอาสายลมแห่งเสรีมาและขอลี้ภัยกับชาวสมุทร

ซึ่งชาวสมุทรได้สังหารชาวอาร์คาน่าไปเป็นจำนวนมากหลังจากได้สายลมแห่งเสรีมาครอบครอง รวมถึงแก้แค้นให้กับการที่พวกเขาต้องเผชิญกับการทรยศและหลอกลวงมานานหลายปี

ทว่าชาวอาร์คาน่าคนหนึ่งสามารถหนีรอดจากการสังหารหมู่มาได้ ซึ่งชาวสมุทรนั้นไม่รู้เลยว่าในอนาคตต่อไป ชาวอาร์คาน่าผู้นี้จะสร้างความเสียหายให้พวกเขามากมายเพียงไร

ในปีที่ 116 ของยุคดาราใหม่ ชาวสมุทรได้สร้างอาณาจักรเว่ยหลานขึ้น โดยเป็นอาณาจักแห่งแรกที่ไม่มีเผ่าพันธุ์อัจฉริยะอื่น ๆ อาศัยอยู่เลย พวกเขาไม่ต้องกังวลว่าเผ่าอื่น ๆ จะคิดเห็นอย่างไรเพราะชาวสมุทรเป็นเพียงชนกลุ่มเดียวที่อาศัยอยู่ใต้ผืนน้ำ เหล่าอสูรทะเลก็ไม่ได้สนใจเลยว่าชาวสมุทรจะสร้างอาณาจักรขึ้นหรือไม่ พวกมันยังคงกัดกินและสังหารทุกอย่าง และอาศัยพื้นที่ใต้ผืนน้ำเพื่อนอนหลับอยู่ไม่ต่างไปจากเดิม

ในปีที่ 262 ของยุคดาราใหม่ อสูรทะเลไท่ลาเหวยซือโจมตีเมืองท้องสมุทร ทำให้วีรบุรุษชาวสมุทรหลายต้องตายเพราะออกตัวปกป้องเมืองของตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จัดการสังหารไท่ลาเหวยซือได้เช่นกัน

จากนั้นในปีที่ 313 ของยุคดาราใหม่ อสูรทะเลเห๋อหลู่ก็โจมตีเมืองท้องสมุทร และหนึ่งในวีรบุรุษชาวสมุทรก็เสียสละตัวเองเป็นเหยื่อล่อให้เก๋อหลู่เบนความสนใจออกไป

ในปีที่ 355 ของยุคดาราใหม่ ขบวนอสูรได้เข้าโจมตีเมือง ชาวสมุทรต้องต่อสู้ด้วยความขมขื่นและแทบจะเอาชีวิตไม่รอดจากเหตุการณ์ในครั้งนี้

ในช่วงปีที่ 245 ไปจนถึงปีที่ 420 ซึ่งเป็นเวลาไม่ถึงสองร้อยปีนั้น ชาวสมุทรถูกโจมตีถึงสี่ครั้งจากจักรพรรดิอสูรทะเล และอีกถึงสิบสองครั้งจากขบวนอสูร โดยปกติแล้วเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นเพียงห้าครั้งในระยะเวลาเดียวกัน ซึ่งความผิดปกตินี้ทำให้ชาวสมุทรเริ่มเกิดความสงสัยขึ้น

ที่สุดแล้วในปีที่ 421 เด็กน้อยชาวสมุทรคนหนึ่งนามว่าถงซางเยว่ที่กำลังผจญภัยด้วยความซุกซนก็พบกับบางอย่าง ทำให้เผ่าท้องสมุทรค้นพบเครื่องมือชนิดพิเศษเข้า

เครื่องมือนี้สามารถส่งจังหวะแบบพิเศษที่จะช่วยดึงดูดอสูรทะเลได้

เห็นได้ชัดเลยว่ามีใครบางคนจงใจเอามันมาวางไว้ที่ตรงนี้

หลังจากค้นพบที่มาที่ไปของการโจมตีที่เกิดขึ้นถี่จนผิดปกติ การโจมตีอย่างหนักหน่วงที่เกิดขึ้นมานานถึงสองร้อยปีก็จบลงในที่สุด

ผู้ริเริ่มตรวนแห่งหายนะนี้เป็นใครนั้นยังคงเป็นปริศนา แต่ชาวสมุทรก็รู้ว่าชาวอาร์คาน่าจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน

ในช่วงปีที่ 565 ของยุคดาราใหม่ ชาวสมุทรก็ต้องเดือดร้อนกับโรคระบาดอันโหดร้ายที่คร่าชีวิตประชาชนกลุ่มใหญ่ของพวกเขาไป

และเพราะบทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เผ่าท้องสมุทรจึงจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างระมัดระวัง จนในที่สุดพวกเขาก็พบว่ามันเชื่อมโยงกับชาวอาร์คาน่าอย่างที่คิดจริง ๆ

ชาวสมุทรส่งตัวแทนกลุ่มใหญ่ไปบนบกเพื่อพยายามที่จะหาทางรักษา เด็กน้อยถงซางเยว่ในวันนั้นโตเป็นผู้ใหญ่ และเป็นคนที่ค้นพบสาเหตุที่แท้จริงของความเจ็บป่วยอีกครั้ง เขายังค้นพบผู้ที่อยู่เบื้องหลังหายนะครั้งนี้อีกด้วย ซึ่งก็คือตันหนีเอ่อร์ อิงปู้หลี่… หนึ่งในสมาชิกตระกูลอิงปู้หลี่ที่รอดชีวิตจากการสังหารหมู่นั่นเอง

ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กหนุ่มชาวอาร์คาน่าคนนี้จะเป็นช่างตีเหล็กมากความสามารถ เขายังสามารถใช้วิชาอาร์คาน่าชนิดพิเศษเพื่อดำเนินแผนการแก้แค้นที่กินเวลานานถึงหลายสิบปีได้อีกด้วย ซึ่งการกระทำของเขาทำให้ชาวสมุทรต้องสูญเสียครั้งใหญ่นัก

ไม่นานหลังจากนั้น เผ่าท้องสมุทรก็ขัดแย้งกับตระกูลอิงปู้หลี่อย่างรุนแรง

ชาวสมุทรไม่สามารถจับตัวเขาได้ พวกเขาหันไปโจมตีองค์กรเจ้าปัญหาของตระกูลอิงปู้หลี่แทนถึงสี่ครั้งด้วยกัน ซึ่งครั้งหนึ่งนั้นชาวสมุทรยังทำให้อิงปู้หลี่เองได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังหนีรอดไปได้

ณ จุดนี้ถงซางเยว่เติบโตจนกลายเป็นผู้นำของชาวสมุทรไปแล้ว เขากับอิงปู้หลี่โจมตีกันและกันอยู่หลายครั้ง โดยบ้านของอิงปู้หลี่ถูกทำลายไปสี่ครั้ง ซึ่งเป็นฝีมือของถงซางเยว่ไปแล้วถึงสามครั้ง

และเพราะอิงปู้หลี่ปรารถนาเหลือเกินที่จะแก้แค้นถงซางเยว่ จึงต้องรับมือกับการพยายามสังหารของเขาถึงห้าครั้ง

จากนั้นในปีที่ 2100 ของยุคดาราใหม่ ตันหนีเอ่อร์ อิงปู้หลี่ได้พยายามที่จะสังหารถงซางเยว่เป็นครั้งที่หกในระหว่างการลาดตระเวนตามปกติ และทำให้ถงซางเยว่ต้องบาดเจ็บสาหัส แต่ถงซางเยวก็อดทนกับความเจ็บปวดนั้นและจัดการธุระตามหน้าที่ของตัวเองจนเสร็จสิ้น อีกทั้งยังต่อสู้กับอิงปู้หลี่อย่างไม่ย่อท้อด้วย จนกระทั่งหลังจากนั้น เมื่อเขาได้ยินว่าตันหนีเอ่อร์ อิงปู้หลี่เสียชีวิตจากพิษบาดแผล ถงซางเยว่จึงคลายกังวลและสิ้นใจจากไปด้วยเช่นกัน

เรื่องราวความขัดแย้งระหว่างวีรบุรุษทั้งสองจบลงในที่สุด

แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องราวใหม่จะอุบัติขึ้น…

ตันหนีเอ่อร์ อิงปู้หลี่จากไปแล้ว แต่ศิษย์ของเขาที่มีนามว่าเคอหนีเก๋อนั้นยังมีชีวิตอยู่

ศิษย์ผู้นี้สืบทอดทั้งทักษะ ความมั่งคั่ง และความเกลียดชังมาจากอิงปู้หลี่ ทำให้เขากลายเป็นฝันร้ายของชาวสมุทรอีกครั้ง

เคอหนีเก๋อแตกต่างไปตันหนีเอ่อร์ อิงปู้หลี่… บุคลิกของเขาสงบนิ่งและดื้อรั้นกว่ามาก ชายหนุ่มผู้นี้ไม่เคยกังวลถึงผลใด ๆ ที่จะเกิดขึ้น แต่เขาเป็นคนที่ยอมใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อให้บรรลุซึ่งเป้าหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

และนั่นก็คือสิ่งที่เขาทำจริง ๆ

เคอหนีเก๋อแตกต่างไปจากตันหนีเอ่อร์ อิงปู้หลี่ที่ประสบความสำเร็จมากมาย เคอหนีเก๋อทำสำเร็จแค่เพียงอย่างเดียว และแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ความสำเร็จของเขาก็เป็นสาเหตุให้ชาวสมุทรต้องทนทรมานอย่างยาวนานถึงกว่าสองหมื่นปี

ความสำเร็จที่ว่าก็คือท้องสมุทรโศกานั่นเอง

ใช่แล้ว ‘ท้องสมุทรโศกา’ ไม่ใช่สมบัติแต่อย่างใด และมันก็ไม่ได้มีหน้าที่สร้างปาฏิหาริย์ใด ๆ ขึ้นมาด้วย

มันคือเครื่องมือสำหรับการแก้แค้นที่สร้างขึ้นโดยชาวอาร์คาน่าที่รอดชีวิต เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากความเกลียดชังและเอาชีวิตของชาวสมุทรไปจำนวนหลายร้อยล้านชีวิตตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา แผลนั้นบาดลึกและทิ้งร่องรอยไว้ในจิตใจของชาวสมุทรทุกคน

แท้จริงแล้วท้องสมุทรโศกา ก็คือความโศกาของชาวสมุทรนั่นเอง!