ภาคที่ 6 บทที่ 9 ท้องสมุทรโศกา (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 9 ท้องสมุทรโศกา (2)

ท้องสมุทรโศกาเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง

การใช้งานของมันง่ายดายยิ่งนัก และพฤติกรรมของท้องสมุทรโศกาก็เหมือนกันกับสิ่งที่ตันหนีเอ่อร์ อิงปู้หลี่สร้างขึ้น… มันดึงดูดอสูรทะเลเข้ามา ทว่ามันเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพกว่ามากทีเดียว

ท้องสมุทรโศกาเหนือกว่าเครื่องมือผันผวนไม่น้อย

ซึ่งเครื่องมือผันผวนจะสร้างจังหวะพิเศษที่สามารถดึงดูดอสูรทะเลเข้ามาได้

เมื่อพวกมันมาถึง เหล่าอสูรกายก็จะเริ่มว่ายวนไปทั่วบริเวณนั้น บางครั้งก็เข้าใกล้ชายแดนของชาวสมุทรและทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น

แต่เพราะเครื่องมือผันผวนนั้นเป็นเครื่องมือที่มีกลไก เมื่อถูกค้นพบแล้วจึงถูกทำลายลงได้ นอกจากนั้นแล้ว มันก็ยังไม่สามารถควบคุมการกระทำของอสูรทะเลได้ มันทำได้เพียงดึงดูดพวกมันมายังตำแหน่งต่าง ๆ เท่านั้น แต่การปะทะจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับอสูรทะเลเอง

ทว่าท้องสมุทรโศกานั้นแตกต่างออกไป

เช่นเดียวกับสายลมแห่งเสรี เครื่องมือนี้เป็นสมบัติและวิชาอาร์คาน่าที่ทรงพลังในเวลาเดียวกัน

นอกจากจะสามารถนำทางอสูรทะเลไปยังตำแหน่งต่าง ๆ ได้แล้ว มันก็ยังสามารถควบคุมการเคลื่อนไหว และช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพวกมันอีกด้วย

ใช่แล้ว ! เครื่องมือนี้สามารถเพิ่มพลังให้กับอสูรทะเลได้นั่นเอง

ไม่มีใครรู้ว่าเคอหนีเก๋อสร้างของแบบนี้ขึ้นมาจนสำเร็จได้อย่างไร แต่เห็นได้ชัดแล้วว่าหากอสูรทะเลตนใดเติบโตในบริเวณใกล้เคียงกับท้องสมุทรโศกาแล้วนั้น พวกมันก็จะโตเต็มวัยได้รวดเร็วกว่าปกติอีกมาก

ชาวสมุทรเชื่อว่า ท้องสมุทรโศกาอาจมียาศักดิ์สิทธิ์ที่มีสรรพคุณในการช่วยเร่งการเจริญเติบโต ซึ่งสิ่งนี้ก็คือสาเหตุที่มันสามารถดึงดูดอสูรทะเลเข้ามาได้ จากนั้นมันจึงออกคำสั่งให้อสูรร้ายโจมตีชาวสมุทร

ถูกต้อง… พวกมันโจมตีชาวสมุทรอย่างจงใจ !

ท้องสมุทรโศกาไม่เพียงส่งผลกระทบต่อพลังของอสูรทะเล แต่มันยังสามารถระบุเป้าหมายในการโจมตีได้อีกด้วย

ชาวสมุทรจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่เหลือเกิน

บ่อยครั้งที่พวกเขาถูกโจมตีโดยจักรพรรดิอสูรซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะอพยพไปที่ไหนก็ตาม เพราะว่าอสูรกายเหล่านั้นจะตามหาพวกเขาเพื่อโจมตี

นอกจากนั้นแล้ว การสังหารอสูรทะเลก็ไม่ได้ทำให้ชาวสมุทรได้ผลประโยชน์อะไรมากนัก แก่นโลหิตของพวกมันแทบไม่มีอยู่เลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าการต่อสู้กับเหล่าอสูรทะเลนั้นไม่ได้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด

เผ่าท้องสมุทรสันนิษฐานกันว่านี่อาจเป็นผลกระทบมาจากท้องสมุทรโศกา พวกอสูรทะเลจะยอมเสียสละสายเลือดของตัวเองเพื่อเร่งอัตราการเจริญเติบโต นี่อาจยังเป็นสาเหตุที่มันสามารถเร่งการโตของเหล่าอสูรกายได้อย่างไม่จำกัด เพราะมันไม่ได้อาศัยแค่เพียงพลังของตัวเอง แต่ยังอาศัยอสูรทะเลเป็นเครื่องมือไปด้วยในตัว

เพราะอย่างนี้เองที่ท้องสมุทรโศกาสามารถส่งการโจมตีจากอสูรทะเลไปยังชาวสมุทรได้อย่างต่อเนื่องและคงที่ ซึ่งทำให้พวกเขาใช้ชีวิตได้อย่างยากเย็นแสนเข็ญนัก

และเพราะความดุร้ายที่ไม่สนใจสิ่งใดของอสูรทะเล แม้แต่เพลิงทมิฬ[1]ก็ยังถูกบังคับให้ต้องยืดหยัดเคียงข้างชาวสมุทรไปด้วย

จุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของท้องสมุทรโศกาก็คือมันเป็นเครื่องมือที่สร้างขึ้น

ไม่ต่างไปจากเครื่องมือผันผวน… ประสิทธิภาพของมันจะสิ้นสุดลงทันทีที่ถูกทำลาย

โชคไม่ดีนักที่เคอหนีเก๋อเตรียมการไว้ค่อนข้างพร้อมทีเดียว และเขาก็ไม่เคยคิดที่จะให้โอกาสอีกฝ่ายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

หลังจากท้องสมุทรโศกาเสร็จสมบูรณ์ เขาก็แอบใช้มันเพื่อดึงดูดอสูรทะเลและฟูมฟักพวกมันอยู่นานราวสี่ร้อยปีจนกระทั่งสามารถสร้างรังอสูรทะเลขึ้นมาได้ โดยมีท้องสมุทรโศกาเป็นจุดศูนย์กลาง

มันคือจุดที่มีชื่อเรียกว่า ‘หุบเหวแห่งท้องสมุทร’ นั่นเอง

ปรากฏว่าในหุบเหวแห่งท้องสมุทรนั้นมีจักรพรรดิอสูรทะเลอาศัยอยู่จำนวนหลายร้อยชีวิต พวกมันเป็นเหมือนผู้คุ้มกันที่แสนภักดีและดูแลความปลอดภัยให้กับท้องสมุทรโศกา เพื่อป้องกันไม่ให้ใครก็ตามเข้ามาใกล้มันได้

เคอหนีเก๋อรู้ดีว่าด้วยความช่วยเหลือจากสายลมแห่งเสรีแล้ว ชาวสมุทรจะไม่มีวันถูกกำจัดออกไปจากท้องทะเลได้

เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงล้มเลิกแผ่นในการกำจัดพวกเขาให้สิ้นซากไป และพัฒนาท้องสมุทรโศกาขึ้นมาแทน

มีเพียงจักรพรรดิอสูรที่ใกล้ตายเท่านั้นที่จะสามารถโจมตีชาวสมุทรได้ จักรพรรดิอสูรที่อายุยังน้อยจะยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากหุบเหวไปได้

นี่คือสาเหตุที่ความยิ่งใหญ่ของหุบเหวนั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกปี จนกระทั่งมันกลายไปเป็นดินแดนไร้ผู้คนที่ใหญ่ที่สุดในท้องทะเลเลยก็ว่าได้

ไม่มีใครสามารถเข้าไปในนั้นได้…

และไม่มีใครกล้าเข้าไป…

ชาวสมุทรพยายามคิดหาวิธีการนับไม่ถ้วนในช่วงสองหมื่นปีที่ผ่านมาเพื่อที่จะพยายามทำลายหุบเหวแห่งท้องสมุทรและท้องสมุทรโศกา

ทว่าพวกเขาไม่เคยทำสำเร็จเลย

ท้องสมุทรโศกายังคงอยู่และกลายเป็นฝันร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุดของชาวสมุทรไปแล้ว

บางครั้งเผ่าท้องสมุทรก็สงสัยว่าการแก้แค้นของพวกเขาก็กำลังดำเนินไปอย่างผิดที่ผิดทางหรือไม่ สองหมื่นปีแห่งความทรมานที่ผ่านมานั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลยจริง ๆ หรือ ?

ดังนั้นเมื่อซูเฉินรับปากว่าจะช่วยชาวสมุทรกำจัดปัญหานี้ออกไปให้สิ้นซาก

ชาวสมุทรก็จึงไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องปฏิเสธความช่วยเหลือนี้

พวกเขาอาจเปิดโอกาสที่จะต่อรองด้วยสายลมแห่งเสรีเสียด้วยซ้ำ และหากซูเฉินทำสำเร็จ… ดวงตาไห่เสินก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

เจียงจูเซิงรู้สึกขบขันเหลือเกินเมื่อได้ยินคำพูดขององค์หญิงเว่ยซีหมิ่น “ท่านเสียสติไปแล้วหรือ นี่เรากำลังพูดถึงท้องสมุทรโศกาอยู่นะ ! มันอยู่ที่ไหน…ในหุบเหวโน่น หุบเหวแห่งท้องสมุทรน่ะ ! สถานที่ไร้ผู้คนที่อันตรายที่สุด ! ทำไมเขาถึงได้มั่นใจนักว่าจะสามารถทำได้ เขาก็แค่อวดอ้างไปอย่างนั้นนั่นละ !”

ซูเฉินตอบกลับไป “จะทำได้หรือไม่ข้าก็จะลองดู ชาวสมุทรไม่ได้เสียอะไรหากข้าทำไม่สำเร็จ และพวกเขาก็จะมอบดวงตาไห่เสินให้ข้าหากข้าสามารถมอบท้องสมุทรโศกาให้กับพวกเขาได้”

องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นกล่าวเสริม “หากมีใครในทวีปนี้ที่จะสามารถจัดการกับปัญหาเรื่องท้องสมุทรโศกาได้ คนคนนั้นก็น่าจะเป็นซูเฉินนี่ละ”

“ทำไมกัน ?” เจียงส่าวหงถามขึ้น

คราวนี้ผู้ตอบคำถามกลับเป็นกู่ชิงลั่ว “ก็เพราะเขาคือซูเฉิน ปราชญ์ชาญโลกอย่างไรล่ะ !”

เจียงส่าวหงหัวเราะ “แค่เพราะคนอื่นเรียกเขาว่าปราชญ์อย่างนั้นหรือ ?”

“ไม่ใช่หรอก เพราะเขาสามารถพัฒนาวิชาฝึกตนเพื่อบรรลุขีดจำกัดของสายเลือดได้ต่างหาก” องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นตอบ

เจียงจูเซิงประหลาดใจ “ท่านหมายความว่า……”

องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นพยักหน้า “หากซูเฉินบอกว่าเขาจะสังหารพวกมันในระหว่างทางที่เข้าไปในหุบเหวเพื่อให้ได้มาซึ่งท้องสมุทรโศกา… ข้าเองก็คงไม่เชื่อ แต่ท่านซูก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าเขาต้องการจะจับจักรพรรดิอสูรทะเลและศึกษามัน เขาอาจค้นพบวิธีการที่ท้องสมุทรโศกาช่วยกระตุ้นพวกอสูรทะเลก็ได้ และหากเขาค้นพบความลับนั้นได้จริง ๆ ก็อาจจะพัฒนาวิธีการที่จะขัดขวางมันได้ด้วย และนี่ก็……”

ซูเฉินพูดแทรกขึ้นมา “นี่เป็นสิ่งที่ข้าถนัดอยู่แล้ว”

ใช่แล้ว การศึกษาค้นคว้าอย่างไรล่ะ !

มันคือสิ่งที่ซูเฉินเชี่ยวชาญอยู่แล้ว

แผนที่ชายหนุ่มวางไว้นั้นไม่ได้รวมถึงการจัดการกับจักรพรรดิอสูรจำนวนนับร้อยโดยตรงอยู่แล้ว เขาคิดที่จะเผชิญหน้ากับอสูรพวกนั้นแค่เพียงหนึ่งหรือสองตนเท่านั้น จากนั้นจึงศึกษาพวกมันเผื่อว่าจะได้ค้นพบต้นตอของปัญหา

แน่นอนว่าซูเฉินจะต้องใช้เวลาพอสมควร และไม่มีใครบอกได้ว่าการค้นคว้าของเขาจะเกิดผลหรือไม่

แต่ซูเฉินก็มีไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดอยู่ในครอบครอง

ตราบใดที่ยังมีทางออกอยู่ การลองผิดลองถูกก็จะทำให้เขาค้นพบมันได้ในที่สุดอย่างแน่นอน

แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่การค้นคว้าของเขาจะล้มเหลว แต่นี่ก็เป็นเพียงหนทางเดียวที่ซูเฉินจะใช้เพื่อหาทางแก้ปัญหาได้ในตอนนี้

อย่างน้อยที่สุด… ซูเฉินก็เชื่ออย่างนั้น !

ชาวสมุทรและหยงเยี่ยหลิวกวงก็เชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน

เจียงจูเซิงไม่คาดคิดเลยว่าสถานการณ์จะกลายเป็นแบบนี้ “ถ้าเขาช่วยท่านจัดการกับปัญหานั่น ท่านก็จะมอบดวงตาไห่เสินให้กับเขาอย่างนั้นหรือ.. ท่านรู้ไหมว่านี่หมายความว่าอย่างไร ?”

องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นตอบ “ข้ารู้เพียงว่าเมืองล่องนภาต้องการให้ทั้งดวงตาไห่เสินและวิญญาณอำมฤตทำงาน การได้ดวงตาไห่เสินกลับไปเพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ได้มากนักในตอนนี้”

นี่เป็นวิธีการปัดความรับผิดชอบที่ดีทีเดียว…. อย่างไรแล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์ด้วยกัน

ซึ่งก็เป็นไปตามที่องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นกล่าว…. การมอบดวงตาไห่เสินให้นั้นไม่ได้ส่งผลกับสถานการณ์โดยรวมมากนัก แต่การทำลายท้องสมุทรโศกาต่างหากที่จะส่งผลอย่างมหาศาล

และแม้ว่าซูเฉินจะสามารถครอบครองทั้งสองอย่างได้ และเมืองล่องนภาสามารถกลับมาเคลื่อนที่ได้อีกครั้ง…. แล้วจะเป็นไรกันเล่า ?

เผ่าปักษาโบยบินอยู่บนท้องฟ้าและไม่ได้สนใจกับสิ่งมีชีวิตใต้ผืนน้ำอยู่แล้ว

พวกนั้นอาจเป็นอันตรายคนอื่น ๆ ก็จริง… แต่ไม่ใช่กับชาวสมุทรเสียหน่อย

หากเผ่าปักษาต้องการที่จะลงไปใต้ผืนน้ำจริง ๆ ชาวสมุทรก็ไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว… พวกเขาจะยินดีเสียมากกว่าที่จะมีใครบางคนมาช่วยแบ่งเบาภาระในการต่อกรกับอสูรทะเล

และที่ชาวสมุทรไม่เต็มใจจะมอบดวงตาไห่เสินให้ก่อนหน้านี้ก็เพราะมันเป็นส่วนประกอบสำคัญในการป้องกันของพวกเขา เมืองล่องนภาไม่มีอะไรที่จะเสนอเพื่อให้ชาวสมุทรยินดีที่จะทำการแลกเปลี่ยนกับพวกเขา

ในทางตรงกันข้าม ท้องสมุทรโศกานั้นควรค่ายิ่งนัก หากดวงตาไห่เสินไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว เผ่าท้องสมุทรก็คงยินดีที่จะมอบมันให้มากกว่านี้เสียอีก

น่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถเสนออะไรได้มากกว่านี้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่สามารถช่วยซูเฉินด้วยวิธีอื่น ๆ ได้

และนี่คือสาเหตุที่องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นมาปรากฏกายที่นี่…. ฝ่ายซูเฉินนั้นไม่มีปัญหากับการรอต่อไปอีกห้าปี แต่ชาวสมุทรนั้นไม่ยินดียิ่งนัก

เจียงจูเซิงรู้ว่าสถานการณ์กำลังเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง

“แล้วถ้าข้าปฏิเสธที่จะให้ยืมคนของข้าเล่า ?” เจียงจูเซิงถามขึ้น

องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นถอนใจ “สำหรับพวกเราชาวสมุทรแล้ว เราไม่ยอมรับคำว่า ‘แล้วถ้า’ เผ่าท้องสมุทรรอมานานกว่าสองหมื่นปี ตอนนี้เมื่อมีโอกาสอยู่ในมือแล้ว ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรเราก็ไม่มีทางปล่อยให้มันหลุดมือไปได้อย่างแน่นอน”

ประโยคที่แสนธรรมดานี้แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดของชาวสมุทรได้เป็นอย่างดีทีเดียว

เพื่อที่จะปกป้องซูเฉินแล้ว เผ่าท้องสมุทรยินดีที่จะทรยศต่ออดีตพันธมิตร แม้ว่านั่นจะหมายถึงการนองเลือดก็ตาม !

ไม่เพียงเท่านั้น องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นยังกล่าวเสริมต่อไปอีกว่า “อีกอย่างนะฝ่าบาท กรุณาทำตามที่ท่านได้รับปากกับซูเฉินด้วย”

“ท่านว่าอย่างไรนะ ?” เจียงจูเซิงเดือดดาล

ฝ่ายองค์หญิงเว่ยซีหมิ่นตอบกลับอย่างวางท่า “นั่นเป็นสิ่งที่ท่านควรจะให้เขาอยู่แล้ว และมันก็เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในแผนของท่านซูด้วย แผนการนี้อาจล้มเหลวก็ได้ แต่ผู้ที่จะเป็นสาเหตุให้มันล้มเหลวก็จะต้องรับผลจากการกระทำของตัวเองด้วย”

ชาวสมุทรไม่ได้ปักใจเชื่อว่าแผนของซูเฉินจะสำเร็จ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถยอมรับได้หากเจียงจูเซิงเป็นสาเหตุที่แผนต้องล้มเหลว

เจียงจูเซิงรู้ตัวแล้วว่าเขากำลังตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว

ในตอนนั้นเอง ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านผลาญจิตวิญญาณคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในห้องและกระซิบกับเจียงจูเซิงว่า “ฝ่าบาท ชาวสมุทรรวมกองทัพกันที่ข้างนอกแล้ว”

ที่ตรงหน้าเจียงจูเซิงนั้น สงครามครั้งใหม่พร้อมที่จะบังเกิดขึ้นทุกเมื่อแล้ว !

เจียงจูเซิงไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถหยุดซูเฉินได้หรือไม่ แต่เขารู้ว่าตัวเองไม่มีทางที่จะหยุดชาวสมุทรได้อย่างแน่นอน

พวกนั้นใช้ชีวิตโดยที่ต้องเผชิญหน้ากับจักรพรรดิอสูรอยู่ตลอดเวลา นักรบของพวกเขาแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อและไม่เกรงกลัวความตายเลยแม้แต่น้อย

หากพวกเขาต้องการที่จะโจมตีแล้ว อาณาจักรประกายวารีก็จะต้องล่มสลายอย่างแน่นอน !

สีหน้าของเจียงจูเซิงพลันเปลี่ยนไปก่อนที่เขาจะเริ่มหัวเราะและกล่าวขึ้น “เข้าใจกันผิดสินะ ! เรื่องทั้งหมดนี่เป็นแค่การเข้าใจผิด ! ข้าก็แค่ล้อเล่นกับท่านซูเท่านั้น อย่าคิดจริงจังเลย ! พวกเจ้าทั้งหมดถอยไป ! ทำไมยังยืนอยู่ตรงนี้อีกเล่า… ท่านซู องค์หญิงเว่ยซีหมิ่น พวกท่านเข้ามานี่สิ”

ทหารทั้งหมดพากันถอยหลังไปในทันที

ผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองนั้นจะต้องเป็นคนที่ไม่หวั่นไหวกับคำวิจารณ์ได้ง่าย ๆ

เจียงจูเซิงเองก็ค่อนข้างจะลื่นไหลทีเดียว

แต่ซูเฉินก็ไม่ได้คิดจะเล่นตามน้ำกับอีกฝ่ายอยู่แล้ว

เขากล่าวเพียงว่า “ข้าไปได้หรือยัง ?”

“หือ แน่นอนสิ ข้าจะห้ามท่านไว้ได้อย่างไรกัน ?”

“แล้วทัพสยบสมุทรเล่า ?” ซูเฉินถาม

“ข้าก็ต้องให้ยืมอยู่แล้วสิ และเราจะยึดตามเงื่อนไขที่เคยตกลงกันไว้”

ซูเฉินส่ายหน้า “ข้าไม่ได้คิดที่จะจ่ายอะไรให้ท่านในตอนนี้ เรามาดูกันก่อนว่ากองทหารทัพสยบสมุทรจะเป็นอย่างไรบ้างก็แล้วกัน”

“อะไรนะ ?” เจียงจูเซิงตะลึง

“นี่คือเงื่อนไขของข้าในตอนนี้ ท่านจะรับหรือไม่ก็สุดแล้วแต่ที่จะต้องการ”

เจียงจูเซิงกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “ซูเฉิน อย่าใจร้อนนัก เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้าจะกลัว……”

ซูเฉินแทรกขึ้นมา “ไม่มีใครหรอกที่จะทำผิดพลาดโดยไม่เสียอะไรเลย ข้าไม่คิดว่าคำขอของข้าจะมากเกินไปเลยสักนิด ตอนนี้ข้ากำลังอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นหากเราจะตกลงเรื่องนี้กันให้เสร็จสิ้นก็ควรรีบทำ จะได้ไม่ต้องมาพูดถึงมันอีกหลังจากนี้ องค์หญิงเว่ยซีหมิ่น ท่านว่าอย่างไรล่ะ ?”

องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นไม่ต้องการให้สถานการณ์แย่ไปกว่านี้อีกแล้ว นางขมวดคิ้วและตอบกลับไป “ท่านจะแก้ไขสถานการณ์ด้วยความเกลียดชังที่น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือ ?”

“ข้าไม่อยากจะใช้ท้องสมุทรโศกาเพื่อบังคับให้ชาวสมุทรต้องทำอะไรบางอย่าง ดังนั้นนี่จึงถือเป็นความช่วยเหลือและน้ำใจจากท่านต่อข้า แต่ข้าจะยอมรับแค่เพียงวิธีนี้เท่านั้น” ซูเฉินตอบ

องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นรู้ว่าซูเฉินกำลังเสนอทางให้นางออกไปจากสถานการณ์นี้ นางเองไม่ได้มีความคิดหวังว่าเขาจะตอบแทนความช่วยเหลืออยู่แล้ว

แต่ในเมื่อซูเฉินตัดสินใจแล้ว และเว่ยซีหมิ่นเองก็เข้าใจในความเดือดดาลของเขา…….

นางหันไปหาเจียงจูเซิงและกล่าวกับเขา “ข้าเห็นด้วยเช่นกันว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับสถานการณ์นี้ ฝ่าบาท”

[1] องค์กรอาร์คาน่าที่ตั้งอยู่ในเขตแดนของชาวสมุทร