บทที่ 10 กองทัพอันยิ่งใหญ่
เจียงจูเซิงขุ่นเคืองเหลือเกิน
แย่หน่อยที่ความกดดันต่อตัวเขาในตอนนี้มีมากเกินกว่าที่จะรับไหว
เรื่องนี้ถูกตัดสินเป็นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากก้มหน้ายอมรับมัน
เจียงจูเซิงจำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วยท่าทีที่ดูน่าเชื่อถือ และทำให้ทุกคนเห็นว่าเขาเต็มใจที่จะทำอย่างนั้น เพื่อที่ซูเฉินจะได้ไม่มาตามราวีอีกในอนาคต ดังนั้นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่จึงพาซูเฉินเดินตรงออกไปจากวังด้วยตัวเอง
จนกระทั่งซูเฉินก้าวเข้าไปในตำหนักลอยฟ้าแล้ว เจียงจูเซิงจึงมีสีหน้าที่หม่นลงอีกครั้ง
“ท่านพ่อ……” เจียงส่าวหง กล่าว
เพียะ !
เจียงจูเซิงตบเข้าที่หน้าเขาอย่างแรง
เขาทำแบบนั้นเพราะความไม่พอใจล้วน ๆ
ฝ่ายเจียงซีสุ่ยก็พาทัพสยบสมุทรไปกับเขาและตามซูเฉินไปแล้ว จึงไม่มีใครอื่นที่เขาจะระบายความคับแค้นใจได้นอกจากลูกชายคนโตคนนี้เท่านั้น
เจียงส่าวหงเข้าใจในโทสะของพ่อเป็นอย่างดี เขาจึงได้แต่ลูบใบหน้าตัวเองและไม่ปริปากใด ๆ อีก
เจียงจูเซิงเดินเข้าไปโดยไม่เอ่ยปากใด ๆ ก่อนจะนั่งลงบนบัลลังก์และมองไกลออกไป เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นในที่สุด “ไปบอกอาณาจักรอื่น ๆ ว่าซูเฉินกำลังวางแผนจะช่วยเมืองล่องนภาให้ได้ดวงตาไห่เสินกลับคืนมาในครอบครอง !”
นี่จะทำให้เกิดความกดดันต่อซูเฉินและชาวสมุทรอย่างมากทีเดียว
มันคือวิธีการแก้แค้นของเจียงจูเซิง
ทว่าในไม่ช้าเขากลับเปลี่ยนใจเสียอย่างนั้น “ช่างมันเถอะ”
เขารู้ว่าชาวสมุทรนั้นเป็นอย่างไร และการทำแบบนี้ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนใจพวกเขาได้แน่ มีแต่จะสร้างปัญหาให้ตัวเขาเองต่อไปเท่านั้น
นั่นก็เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าชาวสมุทรต้องทุกข์ทรมานกับท้องสมุทรโศกามากเพียงไร พวกเขาคงยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ท้องสมุทรโศกาถูกทำลายได้เสียที ใครก็ตามที่เข้ามาขวางทางจะถูกมองว่าเป็นสิ่งกีดขวางและจะถูกจัดการอย่างไรปราณีทันที
หากซูเฉินจากไปวันนี้ และข่าวถูกแพร่ออกไปในวันรุ่งขึ้น เผ่าท้องสมุทรก็จะรู้แน่นอนว่าเขาเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้
เจียงจูเซิงได้แต่หวังว่าแผนการของชายหนุ่มจะไม่สำเร็จ แต่สาเหตุของการล้มเหลวก็จะต้องไม่ใช่ตัวเขา ไม่เช่นนั้นแล้วความโกรธแค้นของชาวสมุทรก็จะมาตกลงที่เขาอีกอยู่ดี
หลังจากครุ่นคิดต่อไป เขาก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ไปบอกให้ซีสุ่ยรู้ว่าเขาจะต้องรายงานการเคลื่อนไหวทั้งหมดของซูเฉินให้ข้ารู้ด้วย”
“เขาจะยอมหรือ ?”
“เขาต้องยอมสิ !” เจียงจูเซิงตอบด้วยท่าทีถมึงทึง
“พี่ซู นี่เป็นความผิดของข้าเอง” เจียงซีสุ่ยกล่าวอย่างรู้สึกผิดขณะอยู่บนตำหนักลอยฟ้าของนิกายไร้ขอบเขต
“มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก” ซูเฉินหัวเราะด้วยท่าทางผ่อนคลาย “ถ้าเจ้ารู้สึกผิดจริง ๆ ก็นำทัพสยบสมุทรให้ดีก็แล้วกัน นั่นจะช่วยข้าได้มากทีเดียว”
“เราจะล่าจักรพรรดิอสูรทะเลกันจริง ๆ หรือ ?” เจียงซีสุ่ยถามด้วยความหวั่นใจ
องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดขึ้น “ฝ่าบาท อย่ากังวลไปเลย ชาวสมุทรต่อกรกับจักรพรรดิอสูรมานานแล้ว พวกเรามีประสบการณ์โชกโชนและรับรองได้เลยว่าจะชนะแน่นอน”
“แต่ท่านก็ยังไม่เคยเอาชนะพวกมันได้นี่” จีหานเยี่ยนกล่าวขึ้น
องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นได้ยินดังนั้นก็ตอบทันที “นั่นก็เพราะพวกมันมีจำนวนมากเกินไป เราสังหารพวกนั้นไม่ได้ทั้งหมด ความหวังในชัยชนะของพวกข้าไม่ได้มาจากการต่อสู้หรอก แต่เป็นซูเฉินต่างหาก ตราบใดที่ท่านซูสามารถหาทางหยุดอิทธิฤทธิ์ของท้องสมุทรโศกาได้ ก็จะเป็นการกำจัดภาระออกไปได้มหาศาล แม้ว่าเขาจะไม่สามารถทำลายมันจนสิ้นซากได้ก็เถอะ”
ชาวสมุทรไม่ได้หวังว่าซูเฉินจะได้ท้องสมุทรโศกามา แต่พวกเขาสนใจมากกว่าว่าชายหนุ่มจะสามารถหยุดการกระตุ้นการเติบโตของอสูรทะเลได้หรือไม่
เมื่อเป็นเช่นนั้น ต่อให้อสูรทะเลยังโจมตีชาวสมุทรต่อไป จำนวนของจักรพรรดิอสูรก็จะลดน้อยลงมาก
ซูเฉินเข้าใจในสิ่งที่องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นคิด และเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับความคิดนั้น
ชายหนุ่มตอบกลับไปเพียงว่า “ไปกันเถอะ ได้เวลาออกเดินทางกันแล้วละ”
เจียงซีสุ่ยพยักหน้าให้กับผู้คุ้มกันที่ข้างกาย ชายเหล่านั้นเดินออกไปจากตำหนักก่อนจะหยิบเอาแตรสังข์ออกมาเป่า
เสียงทุ้มต่ำของแตรนั้นดังก้องไปทั่วฟ้า และทัพสยบสมุทรก็เริ่มเคลื่อนที่
ทัพเรือรบเคลื่อนออกจากท่าและรวมตัวกันไปเหนือผิวน้ำ
เรือรบของทัพสยบสมุทรนั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าเรือมังกรของนิกายไร้ขอบเขต เรือที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขามีขนาดเพียงสามในสี่ของเรืองมังกรหนึ่งลำ ในขณะที่เรือที่เล็กมีขนาดเล็กถึงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็มีจำนวนอย่างน้อยถึงหนึ่งพันลำในทั้งกองเรือ
“ทัพสยบสมุทรมีเรือทั้งหมด 1,032 ลำ โดยมีเรือรักษาการณ์ 600 ลำ เรือขับลำนำ 400 ลำ เรือกองพัน 30 ลำ และเรือนำทัพอีกสองลำ” เจียงซีสุ่ยแจกแจงด้วยความภาคภูมิใจ
ในบรรดาเรือรบทั้งหมดของอาณาจักรประกายวารีนั้น เรือรักษาการณ์สามารถจุคนได้ 100 คน เรือขับลำนำสามารถจุได้ 300 คน เรือกองพันสามารถจุได้ 1,000 คน และเรือนำทัพสามารถจุได้ 3,000 คน ดังนั้นจึงมีทหารในทัพสยบสมุทรทั้งหมดจำนวน 216,000 คนนั่นเอง
ซึ่งสิ่งนี้เองแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าทำไมทัพสยบสมุทรจึงเป็นทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรประกายวารี
กองราชนาวีจำนวนสองแสนคนเดินทางออกจากท่าเรือและดึงดูดสายตาของผู้คนบริเวณใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี
“ทัพสยบสมุทรจะออกเดินทางอีกแล้วหรือ ?”
“คราวนี้จะรอดชีวิตกลับมากี่คนกันนะ”
“ขอให้กลับมาอย่างปลอดภัยด้วยเถอะ !”
ชาวเมืองที่ยืนอยู่ตามริมฝั่ง บนหาด และบนเรือหาปลาบริเวณใกล้เคียงต่างหวังว่าทัพสยบสมุทรจะโชคดี
แม้ว่าเจียงจูเซิงจะไม่ได้เป็นคนดีนัก แต่เขาก็ปกครองอาณาจักรได้ดีทีเดียว และผู้ครองอาณาจักรก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีเสมอไปหรอก…
แต่ถึงอย่างนั้นความยิ่งใหญ่ของทัพสยบสมุทรก็ยังเทียบไม่ได้กับความยิ่งใหญ่ของชาวสมุทรอยู่ดี
หลังจากเรือของทัพสยบสมุทรออกจากท่าแล้ว ชาวสมุทรจำนวนมากก็เคลื่อนพลตามไปบนผิวน้ำด้วยเช่นกัน
เผ่าท้องสมุทรไม่ได้มีเรือรบในครอบครองแต่อย่างใด
พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีมัน และต่อให้มีเรือเหล่านั้นก็คงถูกนำไปใช้เพื่อการขนส่งเท่านั้น เพราะกองทัพของเผ่าท้องสมุทรไม่ได้ต้องการเรือเพื่อการเคลื่อนพลอยู่แล้ว
ในฐานะที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท้องทะเล พวกเขาสามารถหายใจได้อย่างอิสระเมื่ออยู่ใต้น้ำ แม้แต่ชาวสมุทรที่ยังไม่โตเต็มวัยก็ยังสามารถว่ายน้ำไปได้ตามที่ใจต้องการไม่ต่างกับที่มนุษย์เดินเหินบนบกเลย
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็มีหน่วยทหารม้าอยู่ด้วยเช่นกัน
ขณะที่เกลียวคลื่นสีขาวซัดสาดไป เหล่าฉลามท่าทางดุร้ายพลันปรากฏขึ้นบนผิวน้ำ
ฉลามหัวด่างเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายอย่างน่าเหลือเชื่อ ความเร็วของพวกมันน่าทึ่งยิ่งนักและยังเป็นฉลามที่มีความสามารถในการควบคุมการไหลของสายน้ำได้ ฉลามหัวด่างจึงเป็นอสูรกายที่ชาวสมุทรสั่งสอนจนเชื่องและเปลี่ยนพวกมันให้เป็นพาหนะหลักของพวกเขา
ชาวสมุทรที่ขี่หลังฉลามหัวด่างเป็นที่รู้จักในนามนักล่าหลังฉลาม ซึ่งเหนือไปกว่ามือสังหารวาฬ อย่างไรแล้วทักษะของพวกเขาก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ความแข็งแกร่งของนักล่าหลังฉลามเหล่านี้เทียบเท่าได้กับมนุษย์ในด่านก่อเกิดลมปราณ แต่ด้วยความช่วยเหลือจากฉลามหัวด่าง จึงทำให้พวกเขามีพลังเทียบได้กับผู้ฝึกตนด่านกลั่นโลหิต
นักล่ากลุ่มนี้เพียงกลุ่มเดียวก็รวมจำนวนกันได้ราว 400,000 คนแล้ว
ปลาดาบบินได้ ฝูงใหญ่ปรากฏขึ้นที่ข้าง ๆ ฝูงฉลาม
ปลาดาบพวกนี้จะกระโดดขึ้นจากผิวน้ำเป็นครั้งคราวและมีชาวสมุทรขี่อยู่บนหลังพวกมันด้วยเช่นกัน
ปลาพวกนี้ไม่ได้ร่อนไปมา แต่พวกมันสามารถบินได้จริง ๆ แม้ว่ามันจะไม่สามารถอยู่กลางอากาศได้นานนักก็ตาม
พลังในการต่อสู้ของมันเทียบไม่ได้กับฉลามหัวด่าง แต่ความไวของปลาดาบนั้นมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ชาวสมุทรที่ขี่ปลาดาบบินได้มีหน้าที่หลักในการสอดแนม รวมถึงทำการโจมตีในช่วงเวลาวิกฤต
ถัดจากฝูงปลาดาบไปที่ด้านหลังเป็นเต่ามังกรร่างยักษ์กลุ่มใหญ่
เต่ามังกรเป็นอสูรทะเลที่มีขนาดเท่ากับภูเขาลูกเล็ก ๆ โดยทั่วไปแล้วลำตัวของมันมีความยาวราว 27 จั้ง และด้วยกระดองที่แข็งแกร่งกับส่วนหัวรูปทรงคล้ายค้อนที่คมกริบราวกับใบมีดนั้น ก็ทำให้มันกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการโจมตีระยะประชิดของชาวสมุทร โดยเต่ามังกรแต่ละตัวจะสามารถรับน้ำหนักของทหารได้ถึง 100 คนเลยทีเดียว
เต่ามังกรไม่ถือว่าเป็นทหารม้า แต่จัดเป็นเกราะป้องกันใต้น้ำของเผ่าท้องสมุทร
แม้ว่าพวกมันจะเคลื่อนที่ได้ช้ากว่ามาก แต่ก็สามารถต่อกรกับอสูรทะเลที่ไร้ชั้นเชิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โชคไม่ดีนักที่เต่ามังกรใช้เวลาในการพัฒนาร่างกายให้โตเต็มวัยค่อนข้างนาน ดังนั้นหากเสียเต่ามังกรไป การหาใหม่มาแทนจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เผ่าท้องสมุทรไม่สามารถสร้างทัพเต่ามังกรขนาดใหญ่ขึ้นได้ก็เพราะเหตุนี้ แม้ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วที่จะคุ้มกันและดูแลให้เต่าพวกนี้ปลอดภัยและแข็งแรงอยู่เสมอ แต่พวกเขาก็ไม่เคยมีมันมากไปกว่า 300 ตัวเลย
ถัดไปจากเต่ามังกรก็คือ พะยูนเหล็ก
พะยูนเหล็กเป็นทหารม้าอีกกลุ่มที่สำคัญสำหรับชาวสมุทร พวกมันไร้ซึ่งความสามารถในการจู่โจมแม้จะมีขนาดที่ใหญ่โตและทำหน้าที่ป้องกันได้เป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้นพะยูนเหล็กก็มีประโยชน์กับชาวสมุทรมากทีเดียว อาจเรียกได้ว่าเป็นทหารม้ากลุ่มที่มีประโยชน์ที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะพวกมันสามารถมอบพลังของตัวเองให้กับผู้ขี่ได้นั่นเอง
พะยูนที่โตเต็มวัยจะสามารถเพิ่มพลังให้กับผู้ขี่ได้ถึงหนึ่งขั้นพลังเต็ม ๆ
นั่นแปลว่านักรบด่านกลั่นโลหิตก็จะมีพลังที่แข็งแกร่งเท่ากับนักรบด่านทะลวงลมปราณเมื่อขี่พะยูนที่โตเต็มที่ แน่นอนว่าความแตกต่างระหว่างด่านสู่พิสดารและด่านทะลวงลมปราณนั้นมีมากนัก ดังนั้นการจะเพิ่มพลังถึงระดับนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นการเพิ่มพลังจากด่านทะลวงลมปราณระดับล่างไปยังขั้นสูงสุดนั้นก็ยังเป็นไปได้อยู่ หากผู้ขี่พะยูนมีพลังขั้นสูงสุดของด่านทะลวงลมปราณอยู่แล้ว ก็เป็นไปได้ที่พลังของผู้นั้นจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ด่านสู่พิสดารได้
พะยูนเหล็กยังมีช่วงชีวิตที่ยาวนานอีกด้วย แต่พวกมันไม่ได้สืบพันธุ์ยากอย่างเต่ามังกร ซึ่งภายใต้ความดูแลของชาวสมุทรแล้ว จำนวนของพะยูนเหล็กในตอนนี้จึงมีอยู่มากกว่าหนึ่งหมื่นตัวเลยทีเดียว
ถัดไปจากเหล่าพะยูนเหล็กก็มีท้องสมุทรอันแปรปรวนที่ก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเห็นได้ชัด
หนวดขนาดใหญ่พุ่งออกไปจากบนพื้นน้ำและเหยียดขึ้นไปบนท้องฟ้า
หนวดเหล่านี้ทั้งยาวและหนาราวกับเสาขนาดยักษ์ โดยแต่ละเส้นนั้นมีความยาวอย่างน้อยถึง 30 จั้ง
ซูเฉินรู้ว่าพวกมันคือกองทหารม้าที่แข็งแกร่งที่สุดของชาวสมุทร ซึ่งก็คือหมึกยักษ์แห่งท้องสมุทรนั่นเอง
หมึกยักษ์แห่งท้องสมุทรเป็นอสูรทะเลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่ชาวสมุทรสามารถควบคุมได้ เมื่อพวกมันเหยียดรยางค์ทั้งหลายออกไป ขนาดโดยรวมของมันก็เทียบได้กับเขาลูกหนึ่งเลยทีเดียว
แม้แต่หมึกยักษ์แห่งท้องสมุทรที่อ่อนแอที่สุดก็ยังมีพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารเลยด้วยซ้ำ ในขณะที่หมึกที่แกร่งที่สุดนั้นเทียบได้กับผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณเลยทีเดียว
ตอนนี้มีหมึกยักษ์อยู่พอสมควร ถึงแม้ว่าร่างกายของพวกมันจะใหญ่โต แต่ก็สามารถสืบพันธุ์ได้ง่ายกว่าเต่ามังกร ทว่าการเรียนรู้ที่จะควบคุมหมึกยักษ์พวกนี้นั้นยากเย็นกว่ามาก
ตอนนี้ชาวสมุทรสามารถควบคุมหมึกได้ไม่เกินแปดร้อยตัวเท่านั้น
แม้กระนั้น เมื่อใช้ทัพนักรบที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงของชาวสมุทรคู่กันแล้ว หมึกยักษ์แห่งท้องสมุทรก็ถือเป็นไม้ตายที่ทรงพลังขางเผ่าท้องสมุทรเลยก็ว่าได้
แน่นอนว่าชาวสมุทรไม่ได้ยกกองทัพทั้งหมดมาที่นี่ แต่จำนวนเพียงหนึ่งในสิบที่พวกเขามีในตอนนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้พบเห็นต้องเกรงขามได้แล้ว
ชาวสมุทรปรากฏกายขึ้นบนผิวน้ำทีละคนจนเกิดเป็นภาพที่น่าทึ่งยิ่งนัก
พวกเขาทำทุกอย่างอย่างเต็มที่เพื่อให้ซูเฉินปลอดภัย
….การต้อนรับซูเฉินของชาวสมุทร รวมถึงการเตือนเจียงจูเซิงนั้นแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดของพวกเขาได้เป็นอย่างดี !
ถัดไปจากหมึกยักษ์แห่งท้องสมุทรก็ยังมีชาวสมุทรตามมาอีกจำนวนหนึ่ง
พวกเขาไม่ได้ขี่ยานพาหนะหรือสัตว์ใด ๆ และไม่ได้มีใครคุ้มกันหรือเดินทางมาด้วย ชาวสมุทรกลุ่มนี้มีจำนวนเพียงไม่กี่สิบคนและลอยไปตามผิวน้ำนิ่ง ๆ เท่านั้น ร่างของพวกเขาดูแคระแกร็นไปทันตาเมื่อเทียบกับหมึกยักษ์ที่เบื้องหน้า แต่ผู้ที่เข้าใจว่าชาวสมุทรกลุ่มนี้คือใครก็จะสามารถสัมผัสถึงพลังอันน่ากลัวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังได้เป็นอย่างดี
ซูเฉินเองก็รู้แล้วว่าปรมาจารย์ชาวสมุทรได้เดินทางมาถึงแล้ว