บทที่ 11 ปีศาจทะเล (1)
ชาวสมุทร 5 คนลอยเข้าไปหาซูเฉินบนคลื่นมหาสมุทร
ที่จริงแล้วคงจะแม่นยำกว่าหากพูดว่าชาวสมุทรกำลังถูกพัดพาไปยังซูเฉินและพรรคพวกโดยกระแสน้ำ
ชาวสมุทรด้านหน้าคือเด็กหนุ่มผมสีทอง เขามีผมสั้นประบ่า และเมื่อเขามาถึง คลื่นทะเลก็กลับกลายเป็นภูเขาที่พาพวกเขาทั้ง 5 ขึ้นไปยังปราสาทลอยฟ้า เด็กหนุ่มผมทองก้าวเดินไปยังฐานปราสาทด้วยความมั่นอกมั่นใจ เขาโค้งคำนับเบื้องหน้าซูเฉินก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท้องสมุทรที่ 12 ขอต้อนรับท่านซู”
“งั้นท่านก็คือองค์ชายเฟิงหันสินะ ?” ซูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “ยินดีที่ได้พบท่าน”
ผู้ปกครองเผ่าท้องสมุทรในปัจจุบันมีนามว่าห่งหยุน และองค์ชายเฟิงหันคือองค์ชายคนที่ 12 ดังที่เขาได้แจ้งให้ทราบ นั่นคือที่มาของฉายา ‘ท้องสมุทรที่ 12’ ที่เป็นที่รู้จักกัน
ถูกต้องแล้ว ! เขาไม่ใช่ลูกทางสายเลือดของห่งหยุน และองค์หญิงเว่ยซีหมิ่นก็เช่นเดียวกัน
ตามวัฒนธรรมของเผ่าท้องสมุทร รุ่นที่อายุน้อยที่สุดของเด็ก ๆ ชาวสมุทรจะถูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน เมื่อพวกเขามีอายุครบกำหนดแล้วเท่านั้นจึงจะมีผู้ใหญ่ชาวสมุทรบางคนที่ได้รับอนุญาตให้เลือกบางส่วนไปเลี้ยงดูได้ ดังนั้นแล้ว ‘ลูก ๆ’ ของพวกเขาจึงมักจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของตัวเอง
นี่คือคำอธิบายว่าทำไมชาวสมุทรจึงไม่มีนามสกุล ในเมื่อพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีมัน
พวกเขาได้พัฒนาระบบการเลี้ยงดูเช่นนี้ขึ้นมาเพื่อพัฒนาความเป็นปึกแผ่นและความสามัคคีในเผ่าของตนทั้งหมด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามของการสูญพันธุ์โดยอสูรทะเลที่ทรงพลังเหล่านี้ ชาวสมุทรไม่มีทางเลือกนอกจากยอมละทิ้งความคิดของการตั้งตระกูลที่ชัดเจนและมุ่งมั่นไปที่ความปลอดภัยและการรักษาเผ่าพันธุ์ของตัวเองเป็นอันดับแรก
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเผ่าท้องสมุทรจึงเป็นเผ่าที่เป็นหนึ่งเดียวกันมากที่สุดในเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งหมด
แทบทุกเผ่าพันธุ์อัจฉริยะได้ผ่านประสบการณ์ของความขัดแย้งภายในมา แต่เผ่าท้องสมุทรไม่
พวกเขาเพียงแค่ไม่มีเวลาหรือพลังงานที่จะเบาะแว้งกันเอง พวกมันทั้งหมดได้ถูกใช้ไปในการสู้กับอสูรทะเลจนหมดสิ้นแล้ว
และยังไม่ใช่เรื่องที่จะเคียดแค้นต่อกันและกัน เพราะไม่มีใครรู้ว่าแต่ละคนจะได้มีชีวิตต่อไปอีกนานเท่าไร สำหรับเผ่าท้องสมุทรแล้ว การทะเลาะและแก่งแย่งผลประโยชน์กันครั้งแต่ก่อนได้ถูกชะล้างออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายน้ำใต้สะพาน
ท้องสมุทรที่ 12 คือลูกคนที่ 12 ที่ได้รับเลือกมาโดยห่งหยุน เขามีพี่น้องชายหญิงอีกกว่า 11 ก่อนหน้าเขาผู้ล้วนสิ้นลมหายใจในสนามรบ โดยปกติแล้วองค์หญิงเว่ยซีหมิ่นคือคนที่ 13
ทั้ง 11 หนุ่มสาวที่ได้เสียชีวิตไปแล้วยังเป็นพรสวรรค์ที่มีความหวังมากที่สุดในรุ่นของเฟิงหัน ในฐานะผู้นำของชาวสมุทร สิทธิพิเศษเพียงอย่างเดียวของห่งหยุนคือเขาได้รับอนุญาตให้เป็นคนแรกที่สามารถเลือกเด็ก ๆ ที่โดดเด่นที่สุดได้ ผู้จะได้เรียนรู้วิชาที่ทรงพลังที่สุดของเขา และถูกส่งมอบภารกิจที่อันตรายที่สุด
เฟิงหันและเว่ยซีหมิ่นเป็นเพียงลูกชายและลูกสาวที่ยังเหลืออยู่ของห่งหยุน ก่อนที่หนึ่งในพวกเขาจะตายไป ห่งหยุนก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เลือกลูกสาวหรือลูกชายคนใหม่
ไม่มีพื้นที่สำหรับเสน่หาหรือความผูกพันส่วนบุคคล มีเพียงความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์เท่านั้น
นี่คือวิถีชีวิตของชาวสมุทร !
เฟิงหันกล่าว “ท่านซู ท่านสุภาพเกินไปแล้ว ชาวสมุทรได้เฝ้ารอคอยเวลานี้มาโดยตลอด นี่เป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าที่ได้พบท่านในที่สุด พวกเรามีโอกาสที่จะได้เป็นอิสระเสียที”
ทั้งสองฝ่ายต่างก็สุภาพต่อกันเป็นอย่างมาก
ในครั้งนี้ ชาวสมุทรได้ส่งแม่ทัพ 4 คนไปกับลูกชายและลูกสาวของห่งหยุนเพื่อ ‘ช่วยเหลือ’ ซูเฉิน
แม่ทัพชาวสมุทรทั้ง 4 เทียบคร่าว ๆ ได้กับผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณ และเฟินหันและเว่ยซีหมิ่นต่างก็เทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน พวกเขาไม่ได้อายุมากกว่าซูเฉินนัก ข้อเท็จจริงที่ว่าระดับพลังของพวกเขาได้พัฒนามาไกลถึงเพียงนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขามีพรสวรรค์เพียงใด
เพราะพวกเขากำลังขอร้องต่อซูเฉิน ชาวสมุทรจึงปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพอย่างเหลือเชื่อ ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงสามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดี
กองทัพทั้ง 2 เดินหน้าอย่างไม่ย่อท้อและต่อมาจึงหายไปจากสายตา
ในฝั่งทะเลปีศาจ
นี่คือพื้นที่ของทะเลไร้ขอบเขตที่อาศัยอยู่โดยปลาปีศาจที่ป่าเถื่อนและชั่วร้าย
นอกจากปลาที่ดุร้ายเหล่านี้แล้ว ยังมีปีศาจทะเลอาศัยอยู่ในตำแหน่งนี้อีกด้วย
ปีศาจทะเลเป็นเผ่าพันธุ์อัจฉริยะที่อาศัยอยู่ในท้องทะเล แต่พวกเขาไม่ได้ถูกพิจารณาเป็น 1 ใน 5 เผ่าพันธุ์อัจฉริยะสำคัญ
ด้วยเหตุนี้ ปีศาจทะเลจึงคิดหาวิธีการของตนที่จะเอาชีวิตรอด โดยการกระทำการชั่วร้ายให้แก่เหล่าวายร้าย
ปีศาจทะเลรับใช้อสูรทะเลด้วยความสามารถที่แตกต่างหลากหลาย
พวกเขาทั้งกระหายเลือดและดุร้ายโดยธรรมชาติ และแทบไม่ใส่ใจในเกียรติหรือศักดิ์ศรี เพราะปัจจัยเหล่านี้ทำให้พวกเขาเป็นศัตรูต่อทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่าท้องสมุทร
ลำเรือที่เต็มไปด้วยมนุษย์กำลังแล่นออกไปบนผิวน้ำทะเล
แม้ว่าฝั่งทะเลปีศาจจะอันตราย มันก็เต็มไปด้วยสมบัติและทรัพยากรมากมาย สิ่งใดก็ตามที่พบได้ในพื้นที่นี้ควรจะมีค่ามากพอที่จะมอบชีวิตอันสุขสบายไปได้สักพักอย่างแน่นอน
แน่นอนว่านั่นคือสมมติฐานในกรณีที่พวกเขามีชีวิตรอดกลับมา
เรือลากอวนลอยขึ้นและลงอยู่บนผิวน้ำขณะที่มันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า คนคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหัวเรือและคอยสังเกตผิวน้ำถึงสัญญาณของภยันตรายใดที่อาจปรากฏขึ้นอย่างใกล้ชิด
“ลิ่วจือ เห็นอะไรข้างล่างไหม ?” กัปตันเรือเหล่าเชียงถามด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า
“ทุกอย่างปรกติดี ไม่มีปัญหาใด” ลิ่วจือตอบ
“ทุกคน พยายามกันอีกหน่อยเถอะ ! พวกเราใกล้ถึงแล้ว พวกเราต้องเข้าไปและออกมาให้เร็วที่สุด เมื่อเราทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ พวกเราจะไม่จำเป็นต้องทุกข์ทรมานอีกแล้ว !” กัปตันเรือตะโกนลั่นด้วยความกระตือรือร้น
คนพายเรือทั้งหมดเริ่มจ้วงพายด้วยพละกำลังที่กลับมาอีกครั้ง ราวกับว่าความมั่งคั่งไม่สิ้นสุดตั้งอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา
เหล่าเชียวไม่ได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด ทะเลปีศาจมีเปลือกหอยรุ้งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดในระดับพลังใดก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเรียกราคาที่สูงจนน่าเหลือเชื่อในตลาดค้าขาย
หอยอันมีค่าเหล่านี้สามารถพบได้ที่ก้นทะเลปีศาจ ตราบใดที่พวกเขาเก็บมันไป มันก็ไม่ต่างไปจากการถือเงินไว้ในมือเลยสักนิด
เงินมากมายมหาศาล
เหล่าเชียวเคยเห็นผู้คนนำเปลือกหอยเหล่านี้กลับมาหลายครั้ง เพียงแค่จำนวนน้อย ๆ ก็เหลือเฟือสำหรับที่ผู้คนเหล่านี้จะร่ำรวยได้
แต่เขาไม่เคยไป
เพราะเขายังได้เห็นอีกว่ามีผู้คนจำนวนมากยิ่งกว่าที่ไปและไม่เคยได้กลับมา
หากไม่ใช่เพราะลูกชายไม่ได้ความของเขาที่สร้างหนี้พนันสะสมไว้ก้อนมหึมา ก็ไม่มีทางที่เหล่าเชียวจะยินดีเดินทางออกมาและเสี่ยงชีวิตถึงเพียงนี้
แต่เขาไม่มีทางเลือก
เขามีลูกชายเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นเขาจำเป็นจะต้องไป
เพื่อนสิ่งนี้ เขาได้ไล่ลูกเรือเดิมออกไปจากเรือและจ้างกลุ่มใหม่มาเป็นผู้ช่วย
คนพายเรือแทบทั้งหมดของเขาตอนนี้ต่างก็มีเหตุผลที่จำเป็นต้องรับความเสี่ยงมโหฬารเช่นนี้เป็นของตัวเอง
อย่างเช่นลิ่วจือที่จำเป็นต้องเอาอกเอาใจความกระหายเงินทองของแม่ยายเพื่อที่เขาจะสามารถแต่งงานกับหญิงสาวที่รัก
ผู้รักษาการณ์ของเขาจำเป็นต้องดูแลภรรยาผู้ป่วยหนัก
พวกเขาล้วนยินดีที่จะทำอะไรมุทะลุเพื่อเงิน
พวกเขาถูกกำหนดมาให้ต้องออกเดินทางครั้งนี้และทิ้งชะตาของตนไว้กับสรวงสวรรค์
เมื่อเหล่าเชียวเห็นรอยกระเพื่อมบนผิวสมุทร เขาก็ปาดเหงื่อออกจากคิ้วและพึมพำ “ขอให้สวรรค์ปกป้องเรา !”
พวกเขากำลังจะไปถึงตำแหน่งที่พวกเขาจะสามารถเก็บเกี่ยวเปลือกหอยได้
แสงสีรุ้งส่องออกมาผ่านผิวน้ำ
นั่นคือเงาของเปลือกหอยรุ้งที่เปล่งแสงมาจากพื้นทะเล
“พวกเราถึงแล้ว ! พวกเราถึงแล้ว !” ทุกคนส่งเสียงดีใจ ราวกับว่าสมบัตินั้นอยู่ในมือของพวกเขาแล้ว
เรือลำนั้นหยุดลงอย่างรวดเร็วตรงใจกลางของพื้นที่ที่สามารถเก็บเกี่ยวเปลือกหอยรุ้งได้
พวกเขาทิ้งสมอเรือ
โดยไร้ซึ่งคำสั่งที่ชัดเจนใด ๆ นักดำน้ำก็กระโดดลงไปในมหาสมุทร
ไม่มีเสลาที่จะพักแรงหรือเฉลิมฉลอง พวกเขาต่างทำงานกันอย่างเงียบเชียบและขะมักเขม้น
“เมื่อเจ้าได้พวกมันมาแล้ว เราจะจากไปทันที แต่ละคนหยิบมาได้เพียง 3 ชิ้นเท่านั้น อย่าโลภมาก !” เหล่าเชียวไม่อาจหักห้ามการเตือนพวกเขาให้ระมัดระวังได้
เขาได้เรียนรู้มาจากนักดำน้ำที่รอดกลับไปได้ และแม้มันไม่อาจการันตีความปลอดภัยของพวกเขาได้ มันก็ยังลดโอกาสที่ปีศาจทะเลจะค้นพบพวกเขาเข้า
ใช่ ! ปีศาจทะเลคือภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภารกิจนี้
เหล่าเชียวรอคอยอย่างกระอักกระอ่วนขณะที่เวลาเดินไปวินาทีแล้ววินาทีเล่า
การเก็บเปลือกหอยเหล่านี้ไม่ง่ายเลย และนักดำน้ำต่างก็ต้องใช้เวลาในการตระเวนหาตามพื้นมหาสมุทร แม้ว่าพวกมันจะค่อนข้างมีเอกลักษณ์ ก็ยังต้องใช้เวลาไม่น้อยในการตามหาให้เจอ
หลาย ๆ ครั้งนักดำน้ำจะกลับขึ้นมาบนผิวน้ำเพื่อหายใจก่อนจะดำลงไปอีกครั้ง
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ในที่สุด นักดำน้ำคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งโดยถือเปลือกหอยขนาดมหึมาไว้ในมือ
ด้วยความรวดเร็ว เปลือกหอยชิ้นที่ 2 และ 3 ก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน
ดูเหมือนว่าสวรรค์จะอารมณ์ดีในวันนี้ จำนวนของเปลือกหอยเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุด หลังจากครึ่งชั่วยามผ่านไป พวกเขาก็ได้รวบรวมปริมาณขั้นต่ำที่จำเป็นในการเดินทางครั้งนี้แล้ว
“เตรียมตัวออกเรือได้” เหล่าเชียวออกคำสั่ง
จะดีที่สุดหากอยู่ในพื้นที่ที่อันตรายเช่นนี้ให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
“กัปตัน เอาไปอีกสักหน่อยเถอะ” เหล่าลูกเรือกล่าวด้วยความไม่พอใจที่จะกลับในตอนนี้
“ใช่แล้ว เราไม่มีโอกาสมากนักที่จะได้ออกมาถึงที่นี่ พวกเราจากไปเร็วขนาดนี้ไม่ได้หรอก”
“มันยังเร็วเกินไป ปีศาจทะเลไม่สามารถพบเราได้ง่ายขนาดนั้นหรอก”
“นี่คงเป็นเพียงครั้งเดียวที่พวกเราจะได้ออกมาที่นี่ คงน่าผิดหวังหากพวกเราไม่ได้เก็บไปเพิ่มอีกสักหน่อย”
“อยู่ต่ออีกสักหน่อยเถอะ”
พวกเขาล้วนเริ่มอ้อนวอนต่อเหล่าเชียว
เมื่อเขาเห็นคนจำนวนมากจ้องมองมาอย่างหิวกระหาย เหล่าเชียวก็ขบฟันแน่น “ก็ได้ เก็บมาได้อีกคนละชิ้น แล้วพวกเราจะออกไปทันที !”
“ขอรับท่าน !” ทุกคนดำกลับลงไปในน้ำอย่างตื่นอกตื่นใจ
แต่แม้จะมีความหวัง พวกเขาก็ไม่ได้ลงไปนานนักก่อนที่ลิ่วจือจะตะโกนขึ้น “ปีศาจทะเล ! นั่นคือปีศาจทะเล !”
เหล่าเชียวหวาดผวาอย่างหนัก เขารีบรุดไปยังหัวเรือเพื่อดูด้วยตาของตัวเอง
คลื่นสีขาวจำนวนเล็กน้อยสามารถมองเห็นได้ว่ากำลังพุ่งตรงมายังทิศทางของพวกเขา
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถมองเห็นปีศาจทะเลใด ๆ ทว่าทั้งเขาและลิ่วจือต่างก็รู้ดีว่ากระแสน้ำสีขาวเหล่านั้นคือปีศาจทะเลอย่างแน่นอน
ปีศาจเหล่านี้เป็นเหมือนฉลามกระหายเลือด ตะกละ และปราดเปรียว
“บัดซบ !” เหล่าเชียวสบถด่าขณะที่เขาหันไปตะโกนลงในน้ำ “รีบกลับขึ้นมา ! ปีศาจทะเลมาแล้ว !”
โชคไม่ดีนักที่นักดำน้ำไม่อาจได้ยินเสียงของเขา
“กัปตัน ออกไปกันเถอะ หากพวกเราไม่ไปตอนนี้ พวกเราก็จะไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว !” ลิ่วจือแผดเสียง
“เจ้าพวกนั้นยังอยู่ในน้ำนะ !” เหล่าเชียวตอบ
“ช่างพวกเขาเถอะ !” ลิ่วจือตอบ
คนเราอาจเหี้ยมโหดไม่น้อยได้ในหลาย ๆ ครั้ง เช่นเดียวกับลิ่วจือซึ่งยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด
ช่างพวกเขาหรือ ?
เหล่าเชียวตะลึงงัน
นี่คือตัวเลือกเดียวของพวกเขาจริง ๆ หรือ ?
ถึงอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะได้ออกคำสั่ง เรือก็เริ่มเคลื่อนไหว
ลูกเรือเตรียมพร้อมที่จะออกเรือแล้ว
“ไม่ หยุด !” เหล่าเชียวตะโกนลั่น
เขาไม่สามารถก้าวข้ามจิตสำนึกของตนไปได้
แต่ไม่มีผู้ใดฟังเขา เหล่าลูกเรือเริ่มพายเรือออกไปอย่างรวดเร็ว
โชคไม่ดีนักที่เพียงเพราะการที่พวกเขาละทิ้งจิตสำนึกไปไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะรอดชีวิต กระแสน้ำสีขาวเริ่มไล่ตามเรือและกระโดดขึ้นมาจากใต้น้ำขณะที่พวกเขาเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น
พวกมันว่ายวนรอบเรือราวหมอกสีขาวก่อนจะควบแน่นกลายเป็นรูปร่างเหมือนมนุษย์ ที่แท้พวกมันก็ถูกสร้างขึ้นจากน้ำทั้งหมด และแม้จะเป็นเช่นนั้น หากแต่ใบหน้าของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับมนุษย์อย่างน่าขนลุก
พวกนี้คือปีศาจทะเล
แม้ว่าพวกเขาจะถูกเรียกว่าปีศาจ ที่จริงแล้วพวกเขาก็ดุร้ายไม่น้อยไปกว่าอสูรทะเลเลยสักนิด
มีปีศาจทะเลทั้งหมด 6 ตัวผู้ส่งเสียงขู่ฟ่อมายังเรืออย่างพร้อมเพรียงกัน ปีศาจทะเลที่เป็นผู้นำกลุ่มร้องโหยหวนปลื้มปีติ “ได้เวลาออกล่า !”
พวกเขาได้ค้นพบเรือลากอวนเมื่อนานมาแล้ว แต่ก็ตั้งใจรอโอกาสที่จะเข้าจู่โจมเพื่อที่ผู้คนบนเรือจะได้รู้สึกสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด
นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ปีศาจทะเลถูกพิจารณาว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ชั่วร้าย
เพราะขนาดที่เล็กและความอ่อนแอ พวกเขาจึงเพลิดเพลินใจกับการทรมานผู้คนจากเผ่าพันธุ์อัจฉริยะที่ใหญ่กว่า
“ใช่แล้ว ถึงเวลาออกล่าแล้วละ”
ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในทันใด