บทที่ 1451 : ของวิเศษระดับสมบัติ
“ช่างเป็นของวิเศษที่ล้ำเลิศยิ่งนัก!”
ในสายตาของผู้หลอมยุทธภัณฑ์ระดับปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นทุกสิ่งในโลกล้วนแล้วแต่นำมาหลอมเป็นอาวุธได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว พลังงานไปจนถึงระดับอิเล็คตรอน แม้กระทั่งสัตว์ หรือแม้แต่มนุษย์เอง..
บางคนอาจคิดปฏิเสธอยู่ในใจว่าฉันคือมนุษย์ที่กินได้ ดื่มได้ ร้องรำทำเพลงได้ จะกลายเป็นอาวุธไปได้อย่างไร
และหากผู้ใดคิดเช่นนี้หลิงหยุนคงได้แต่นึกเย้ยหยัน.. ร่างกายของมนุษย์ล้วนกอปรขึ้นด้วยอวัยวะต่างๆมากมาย เหตุใดจักนำมาเป็นอาวุธไม่ได้
หากจะพูดอย่างตรงไปตรงมานั้น..มนุษย์นั้นก็คือหุ่นยนต์ดีๆนั่นเอง และหากจะเปรียบเทียบแล้ว สิ่งที่มนุษย์เหนือกว่าหุ่นยนต์ก็คือความเฉลียวฉลาด แล้วก็การสืบพันธุ์กับเพศตรงข้ามเพื่อสร้างผู้สืบต่อเท่านั้น
ในสายตาของปรมาจารย์ผู้หลอมยุทธภัณฑ์นั้นยุทธภัณฑ์ทั้งหลายสามารถจัดแบ่งแยกได้ถึงสามประเภทใหญ่ๆ ซึ่งก็คือ..
แบ่งแยกตามระดับแบ่งแยกตามธาตุ และแบ่งแยกตามวิธีใช้งาน..
หากแบ่งแยกยุทธภัณฑ์ที่หลอมตามระดับ..ก็จะมีตั้งแต่ระดับทั่วไป ระดับเวทย์ ระดับวิญญาณ ระดับสมบัติ ระดับเต๋า ระดับเซียน ..เป็นต้น
และหากแยกยุทธภัณฑ์ที่หลอมตามธาตุ..ก็จะมีตั้งแต่ทองหรือโลหะ ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลม พายุ และอีกมากมาย..
ท้ายสุดหากแบ่งยุทธภัณฑ์ที่หลอมตามวิธีใช้งาน..ซึ่งจะมีมากมายและค่อนข้างสับสนอย่างเช่น.. ประเภทโจมตี ประเภทป้องกัน
หากแบ่งแยกตามวิถีอันนี้จะค่อนข้างสับสนและหลากหลาย เช่น.. ประเภทโจมตี ประเภทป้องกัน ประหุ่น ประเภทห้วงมิติและเวลา และอีกมากมายก่ายกอง..
แต่ไม่ว่าจะแบ่งแยกยุทธภัณฑ์ในแบบใดก็ตามสิ่งชี้วัดที่สำคัญที่สุดของยุทธภัณฑ์แต่ละชิ้นก็คือ ความสามารถในการต้านทานของมัน..
ยกตัวอย่างเช่นกระบี่เหินเงาธนูของหลิงหยุนที่เพิ่งทำการหลอมใหม่นี้นับเป็นยุทธภัณฑ์ระดับสมบัติ
ยกตัวอย่างเช่นกระบี่เหินเงาธนูของหลิงหยุนที่เพิ่งหลอมใหม่นี้ นับเป็นยุทธภัณฑ์ระดับสมบัติ ธาตุโลหะ และเป็นประเภทจู่โจม
ในเมื่อกระบี่เหินเงาธนูเป็นอาวุธประเภทจู่โจมหากพลังจู่โจมของมันไม่แข็งแกร่งแล้วล่ะก็ สิ่งอื่นๆตามมาก็จะอ่อนกำลังตามไปด้วย
แต่หากพลังจู่โจมแข็งแกร่งเงื่อนไขประเภทอื่นๆก็จะดีขึ้นตามไปด้วย อย่างเช่นความสามารถในการต้านทานต่ออุณหภูมิสูงหรือต่ำ ความเร็วในการบิน และอีกมากมาย..
นั่นเพราะต่อให้กระบี่เหินเงาธนูจะเป็นอาวุธที่มีพลังจู่โจมแข็งแกร่งมากเพียงใดแต่หากไม่สามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว ก็สามารถถูกฝ่ายตรงข้ามบดขยี้ทำลายก่อนจะถึงตัว เช่นนี้แล้วความแข็งแกร่งจักมีประโยชน์อันใด
ดูอย่างกระบี่เหินเงาธนูกระบี่กังฉี และแม้แต่ตราหยกจักรพรรดิกับหอกมังกรทอง เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือในด่านสุดท้ายขั้นก่อสร้างรากฐานอย่างจ้าวหมิงถัง ตี๋เฮ่อหมิง และตี๋เฮ่ออี้ ยังมิสามารถทำอันตรายพวกเขาได้ ช่างเป็นที่น่าอับอายของหลิงหยุนยิ่งนัก!
อย่าว่าแต่จะทำอันตรายเลยแม้แต่เข้าใกล้ยังไม่สามารถทำได้..
แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากขั้นพลังที่แตกต่างกันมากจนเกินไปทำให้พลังจิตและพลังวิเศษของทั้งสามนั้นเหนือกว่าหลิงหยุนนัก..
อีกทั้งในคืนนั้นหลิงหยุนยังลังเลที่จะใช้วิชาพลังหยางพิสุทธิ์และยิ่งไม่ต้องการใช้กระบี่จักรพรรดิมังกรด้วย เขาจึงต้องใช้กระบี่โลหิตเทวะสังหารยอดฝีมือทั้งสามแทน! แต่ถึงอย่างนั้นหลิงหยุนก็ยังอดที่จะภูมิใจกับของวิเศษทั้งสี่ชิ้นของตนไม่ได้ เพราะเขาสามารถใช้พลังจิตควบคุมของวิเศษทั้งสี่ ให้ทำหน้าที่ปกป้องของวิเศษจากฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสมบูรณ์แบบ..
นั่นเพราะตราหยกจักรพรรดินั้นนับเป็นของวิเศษที่ล้ำเลิศยิ่งหากขั้นพลังของหลิงหยุนแข็งแกร่งขึ้น การควบคุมบังคับก็จะยิ่งได้ผลดีกว่านี้อย่างคาดไม่ถึงทีเดียว..
ส่วนหอกมังกรทองของหลิงหยุนนั้นหาใช่ของของวิเศษจริงๆไม่ แต่เกิดจากการควบแน่นของพลังชีวิตสีทองในกระดูกสันหลังของเขา ส่วนกระบี่กังฉีก็เกิดจากการควบแน่นหลอมรวมของพลังหยิน–หยางภายในจุดตันเถียน อาจพูดได้ว่านี่เป็นพลังวิเศษมากกว่าของวิเศษก็น่าจะถูกต้องกว่า
ส่วนกระบี่เหินเงาธนูก่อนหน้านี้หลิงหยุนหลอมขึ้นเมื่อครั้งที่เขาเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นปฐมชี่เท่านั้น จึงยังนับเป็นเพียงอาวุธในระดับวิญญาณขั้นต่ำเท่านั้น แต่หลิงหยุนกลับสามารถใช้มันรับมือกับของวิเศษของเหยวีนถงหลัวหย่งฉี และตู้เจี๋ย ศิษย์ทั้งสามของคุนหลุนที่อยู่ในขั้นก่อสร้างรากฐานได้!
และของวิเศษที่ยอดฝีมือทั้งสามใช้นั้นแน่นอนว่าย่อมต้องเป็นยุทธภัณฑ์ระดับวิญญาณขั้นสูง และยังต้องทำจากวัสดุชั้นเลิศอีกด้วย..
ของวิเศษต่างๆที่หลอมขึ้นมานั้นแม้จุดประสงค์จะเพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมด้วยพลังจิตของตนได้ แต่ก็มิได้แตกต่างจากการควบคุมด้วยมือนัก
แต่อาวุธระดับวิญญาณขั้นต่ำของหลิงหยุนนั้นเมื่อปะทะเข้ากับอาวุธระดับวิญญาณขั้นสูงของอีกฝ่าย กลับสามารถรับและรุกได้อย่างว่องไวไม่แพ้อาวุธระดับวิญญาณขั้นสูงแม้แต่น้อย และนั่นเป็นสิ่งชี้ชัดว่า ทักษะในการหลอมยุทธภัณฑ์ของหลิงหยุนนั้นล้ำเลิศมากเพียงใด!
ในเมื่ออาวุธระดับวิญญาณขั้นต่ำที่หลิงหยุนหลอมขึ้นมานั้นยังสามารถทำให้อาวุธของผู้ฝึกยุทธในด่านกลางขั้นก่อสร้างรากฐานถึงกับสั่นคลอนได้ เช่นนี้แล้วกระบี่เหินเงาธนูที่เขาเพิ่งหลอมใหม่นั้น โดยการหลอมรวมเข้ากับกระบี่ฑูตสวรรค์ อีกทั้งยังได้ดูดซับเอาปราณกระบี่เข้าไป มิหนำซ้ำหลิงหยุนยังได้สลักค่ายกลไว้อีกหลายชั้น ทำให้กระบี่เหินเงาธนูกลายเป็นอาวุธระดับสมบัติขั้นสูงขึ้นในทันที และย่อมสามารถทลายเกราะป้องกันของผู้ฝึกยุทธระดับสูงสุดขั้นก่อสร้างรากฐานได้อย่างง่ายดาย
จากอาวุธระดับวิญญาณขั้นต่ำกลับกลายเป็นอาวุธระดับสมบัติขั้นสูงในพริบตาเช่นนี้ เท่ากับว่ากระบี่เหินเงาธนูของหลิงหยุนได้เลื่อนระดับขึ้นไปคราเดียวถึงหกระดับ!
สำหรับผู้ที่ฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นแก่นปราณทองคำได้นั้นความภาคภูมิใจของผู้ฝึกยุทธในขั้นนี้ก็คือ การมีของวิเศษล้ำเลิศในระดับสมบัตินั่นเอง!
หลิงหยุนมั่นใจอย่างยิ่งว่ากระบี่เหินเงาธนูที่ผ่านการหลอมใหม่ในครั้งนี้ จักต้องเหนือกว่าหอกมังกรทองของตนเป็นแน่!
เวลานี้..กระบี่เหินเงาธนูกำลังเปล่งประกายสีเขียวสว่างเจิดจ้า รัศมีดุดันเย็นยะเยือกได้แผ่นซ่านออกมาอย่างน่ากลัว คมกระบี่สว่างวาบอย่างน่าขนหัวลุก!
โดยปกติแล้วยุทธภัณฑ์ระดับวิญญาณจะเริ่มมีพลังลึกลับแทรกซึมอยู่ จึงสามารถต่อสู้ไปตามจิตใจที่เจ้าของต้องการได้ แต่เวลานี้กระบี่เหินเงาธนูได้กลายเป็นอาวุธระดับสมบัติขั้นสูงสุดไปแล้ว!
แน่นอนว่าย่อมต้องมีจิตวิญญาณของกระบี่ซ่อนอยู่!
เดิมทีกระบี่เหินเงาธนูของหลิงหยุนนั้นมีโลหิตของหลิงหยุนหยดอยู่และเวลานี้จิตวิญญาณของมันก็อายุเทียบเท่ากับเด็กสามขวบ
“กระบี่เหินเงาธนู..มานี่!”
หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมกับยกมือขึ้นเอื้อมจับกระบี่เหินเงาธนูที่พุ่งเข้ามาหาอย่างว่าง่าย จากนั้นจึงได้กัดปลายลิ้นของตน ก่อนจะพ่นโลหิตสีแดงไปที่ตัวกระบี่อีกครั้ง!
เมื่อเห็นว่าโลหิตของตนได้ซึมซาบเข้าสู่ตัวกระบี่แล้วหลิงหยุนจึงใช้นิ้วมือทั้งสองของตนค่อยๆลูบไล้ไปที่ตัวกระบี่
“เงาธนูขอบคุณเจ้านายยิ่ง..”
หลังจากที่กระบี่เหินเงาธนูได้รับโลหิตของหลิงหยุนเข้าไปอีกครั้งเวลานี้มันได้กลายเป็นกระบี่มีชีวิตเต็มตัว และสามารถสื่อสารกับหลิงหยุนได้แล้ว
“อืมม..กลับเข้าไปได้แล้ว!”
กระบี่เหินเงาธนูค่อยๆลดขนาดลงทันทีเหลือเพียงแค่จุดสีเขียวสว่างเล็กๆ ก่อนจะเจาะหายเข้าไปกลางหน้าผากของหลิงหยุน และเข้าไปบ่มเพาะอยู่ภายในนั้น
สำหรับของวิเศษในระดับสมบัติขั้นสูงสุดนั้นหากได้รับการบ่มเพาะที่เพียงพอ จะสามารถมีปัญญาที่พัฒนาขึ้นเท่ากับเด็กเจ็ดขวบได้
“พี่หลิงหยุน..กระบี่เหินของพี่ที่หลอมขึ้นใหม่นั้น รัศมีของมันดูน่ากลัวมากกว่าเดิมมากทีเดียว!”
หลังจากที่หลิงหยุนเก็บกระบี่เหินเงาธนูเข้าไปแล้วไป๋เซียนเอ๋อที่เหาะหนีไปไกลจึงได้เหาะกลับมาหาเขา ดวงตากลมโตของนางจ้องมองเขาเป็นประกายพร้อมกับเอ่ยออกมา
หลิงหยุนรู้ว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางนั้นมีสัญชาติญาณที่ไวต่ออันตรายยิ่งนัก เขาจึงหันไปยิ้มให้กับนาง และปลอบโยนว่า
“เซียนเอ๋อ..รอให้หางที่ห้าของเจ้างอก เจ้าก็จะเลิกหวาดกลัวเอง..”
หลังจากนั้นหลิงหยุนจึงได้เริ่มทำการหลอมอาวุธอย่างต่อเนื่อง เขาสั่งให้ไป๋เซียนเอ๋อไปพักผ่อน ส่วนตัวเขานั้นเข้าไปใกล้หม้อเสินหนง และเริ่มดูดซับเอาปราณกระบี่เข้าไปในร่าง แล้วเริ่มหลอมกระบี่กังฉีต่อ
เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว.. ในราวเที่ยงคืนปราณกระบี่ภายในหม้อเสินหนงก็ได้ลดลงไปถึงหนึ่งในสามส่วน และในที่สุดกระบี่กังฉีของหลิงหยุนก็ถูกหลอมใหม่ได้สำเร็จ!
“อืมม..กระบี่กังฉีภายในกายของข้าเวลานี้ เทียบเท่าอาวุธระดับสมบัติขั้นสูงสุดเช่นเดียวกับกระบี่เหินเงาธนูเลยทีเดียว!”
หลิงหยุนพึมพำออกมาด้วยสีหน้าที่พออกพอใจอย่างมาก..
หลิงหยุนมิได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น..เขาเรียกโลหิตสีทองของหลงเทียนฟาง ซึ่งเก็บได้เมื่อครั้งที่ประมือกับหลงเทียนฟางที่ทะเลสาบผอหยางออกมา..
โลหิตสีทองจำนวนมากนี้เป็นโลหิตที่ไหลหลั่งจากร่างที่เป็นกายามังกร!
หลิงหยุนทำการพ่นเปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางออกมาจากปากทำการหลอมกลั่นโลหิตสีทองทั้งหมดนี้ จนได้ปราณมังกรที่บริสุทธิ์ซึ่งหลิงหยุนได้ดูดซับเข้าไปในร่างกายของตน! แต่การดูดซับปราณมังกรที่บริสุทธิ์เข้าไปในร่างครั้งนี้หลิงหยุนมิได้ปล่อยให้กระจายไปทั่วร่าง แต่กลับดูดซับเขาไปยังกระดูกสันหลังสีทองที่เวลานี้ดูคล้ายกับมังกรสีทองตัวใหญ่แทน!
บูม!
ปราณมังกรบริสุทธิ์ที่หลอมกลั่นจากโลหิตสีทองได้เคลื่อนเข้าไปยังกระดูสันหลังสีทองของเขา และเกิดเป็นประกายแสงสีทองสว่างเจิดจ้า จนแม้กระทั่งค่ายกลวราหกยังมิอาจปิดบังไว้ได้ ปราณมังกรเหล่านี้ได้เปล่งรัศมีไปทั่วทั้งบริเวณ..
วิชามังกรทองคะนอง!
หอกมังกรทองยาวกว่าสามเมตรได้พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าด้ามหอกมีมังกรสีทองตัวใหญ่พันรอบ หัวและหางของมันนั้นโบกสะบัดราวกับกำลังจ้องหาเหยื่อ ดูช่างดุร้ายและน่ากลัวยิ่งนัก!
“อืมม..ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นหนึ่งในเรื่องของการโจมตีคู่ต่อสู้!” หลิงหยุนพึมพำออกมาอย่างพอใจในขณะที่เรียกหอกมังกรทองกลับเข้าไปในร่างดังเดิม..
และในที่สุด..หลิงหยุนก็สามารถหลอมกระบี่เหินเงาธนู กระบี่กังฉี และหอกมังกรทอง ให้กลายเป็นอาวุธระดับสมบัติได้สำเร็จ!
ยังคงเหลือตราหยกจักรพรรดิ!
“เอาล่ะ..ข้าจักทำเช่นไรกับเจ้าดี”
หลิงหยุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับถือตราหยกจักรพรรดิรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดสิบเซ็นติเมตรและหนักเพียงครึ่งกิโลกรัมไว้ในมือ แต่กลับพบว่าเขามิสามารถมองเห็นด้านในของมันได้
ในเมื่อไม่สามารถมองเห็นได้ก็ย่อมไม่สามารถทำการหลอมได้เช่นกัน!
“เฮ้อ..ด้านในกลับมิมีห้วงมิติใดๆ เพียงแค่สามารถขยายใหญ่เล็กได้ และน้ำหนักก็เพิ่มขึ้นตามขนาดที่ขยายขึ้น ใช้แทนอิฐก้อนใหญ่ทับหัวคนได้เท่านั้นสินะ..” หลิงหยุนได้แต่ถอนหายใจและเรียกตราหยกจักรพรรดิเก็บเข้าไปในแหวนดังเดิม จากนั้นจึงได้แต่คิดอยู่ในใจว่า เขาคงต้องไปพบผู้เฒ่ามู่หลงเพื่อสอบถามที่มาของตราหยกจักรพรรดิด้วยตัวเองเสียแล้ว..
ในเวลาตีสอง..
“เอาล่ะ..ถึงคราวของพวกเจ้าแล้ว”
หลิงหยุนไม่รบกวนไป๋เซียนเอ๋ออีกเขาเริ่มเรียกของวิเศษต่างๆที่ได้จากการต่อสู้ในคืนก่อนหน้านั้นออกมาจากแหวนทีละชิ้น แล้วจึงเริ่มใช้เปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางหลอมทำลายผนึก และโลหิตของเจ้าของเดิมออก และเวลานี้ของวิเศษเหล่านั้นก็มิได้มีเจ้าของครอบครองอีกแล้ว