เมื่อคำว่าจอหงวนฝ่ายบู๊สามสี่คำนี้ลอยเข้าหู คนทั้งโรงเตี๊ยมก็ล้วนมองมาทางนี้ 

 

 

หลี่เหล่าซานที่รู้สึกได้ถึงสายตาของฝูงชนก็ยืดแผ่นหลังตรง 

 

 

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็มีท่าทีที่อ่อนน้อมเช่นกัน ฉีกรอยยิ้ม พร้อมกับเอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าทุกท่านมาจากที่ใดกันหรือขอรับ” 

 

 

“แน่นอนว่ามาจากตำบลชิงซี เมิ่งชิงผู้นั้นก็เป็นลูกชายแท้ๆ ของน้องสาวข้า หลานชายเพียงคนเดียวของพวกข้าพี่น้อง” 

 

 

หลี่เหล่าซานตะโกนเสียงดังออกมาอย่างไม่ปิดบัง 

 

 

เศรษฐีหวังขมวดคิ้วแน่น หลี่เหล่าซานผู้นี้ ก่อนจะออกเดินทางมา ตัวเองได้กำชับเขาแล้วว่า หลังถึงเมืองหลวง ทั้งหมดล้วนต้องฟังตัวเอง แต่คาดไม่ถึงเลยว่า พริบตาเดียว เขาก็ลืมเสียแล้ว เมื่อลองคิดดูใหม่อีกครั้ง การพูดออกมาอย่างกำเริบเสิบสานก็มีข้อดีเช่นกัน ไม่แน่ว่าจะสามารถสืบว่าที่พักอาศัยของคนตระกูลเมิ่งอยู่ที่ไหนได้ง่ายๆ ด้วย คิดถึงจุดนี้แล้ว คิ้วก็คลายออก หัวเราะฮ่าๆ พลางเอ่ยต่อว่า “ครานี้ชิงเอ๋อร์รีบร้อนกลับเมืองหลวง ไม่ได้พาพวกข้ามาด้วย หลังจากที่พวกข้าจัดการเรื่องราวในครอบครัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มาช้าไปเสียหลายวัน” 

 

 

เถ้าแก่เห็นว่าเขาอายุประมาณเจ็ดสิบแปดสิบ ใบหน้าโหดเหี้ยม รูปร่างอ้วนท้วม อย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเขามีความเกี่ยวข้องอะไรกับเมิ่งชิง จึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ว่า “ท่านคือ…?” 

 

 

“อ่อ ข้าเป็นบิดาบุญธรรมของเมิ่งชิง บิดาผู้ให้กำเนิดเขาลาลับไปนานแล้ว มารดาของเขาจึงได้สมรสใหม่กับข้า” 

 

 

เศรษฐีหวังเอ่ยคำพูดที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วออกมา 

 

 

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ฝูงชนเข้าใจในทันที สายตาจึงตกลงบนร่างของหญิงสาวผู้เดียวที่อยู่ในกลุ่ม ดูหน้าตาแล้ว อายุของหญิงผู้นี้ก็ไม่มาก แต่เส้นผมบนศีรษะนั้นขาวโพลนไม่น้อย แต่ก็ยังไม่แน่ใจ เถ้าแก่จึงถามต่ออีกประโยคว่า “ท่านนี้คือ…” 

 

 

“นี่คือมารดาของชิงเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้ไม่กี่ปีมีอาการป่วยหนัก ข้าทุ่มเทเรี่ยวแรงและจิตใจอย่างมาก ถึงได้เก็บชีวิตนางกลับมาได้ เพียงแต่ว่าต้องมีสภาพอย่างในปัจจุบัน” 

 

 

ฝูงชนพยักหน้าอีกครั้ง มีความเห็นอกเห็นใจเพิ่มขึ้นในสายตา ทอดถอนใจเงียบๆ ว่าชะตาชีวิตของหลี่ชุ่ยฮวาไม่ดี ถ้าหากว่าผู้ชายที่ลาโลกไปไวของนางคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ ตอนนี้นางก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในตระกูลเมิ่งแล้ว มารดาของจอหงวนฝ่ายบู๊เมิ่งชิง ไม่พูดเรื่องกินดีอยู่ดี แค่ชื่อเสียงเกียรติยศที่ได้รับก็เสพสุขได้ไม่มีวันหมดแล้ว 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาอ้าปาก อยากจะชี้แจงข้อเท็จจริง แต่หลังจากได้รับสายตาตักเตือนจากเศรษฐีหวังที่มองมาแล้ว ก็ก้มหน้าลงด้วยความกลัว 

 

 

เศรษฐีหวังนั้นอาบน้ำร้อนมาก่อน เมื่อรับรู้ถึงสายตาของฝูงชน ก็กลอกดวงตาไปมา ถามยิ้มๆ ว่า “เถ้าแก่ พวกข้ามาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก จึงไม่ทราบที่ทางนัก จะรบกวนท่านช่วยบอกพวกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่า ตอนนี้เมิ่งชิงพักอาศัยอยู่ที่ใดในตอนนี้” 

 

 

เรื่องนี้คนทั้งเมืองหลวงล้วนทราบโดยทั่วกัน เถ้าแก่จึงตอบออกไปทันทีโดยไม่ได้คิดอะไรมาก “จอหงวนบู๊ท่านนี้ ยังคงพักอาศัยอยู่กับคนของตระกูลเมิ่งที่จวนนอกเป่ยเฉิงขอรับ” 

 

 

เศรษฐีหวังประสานมือคำนับ “ขอบคุณเถ้าแก่มาก วันนี้ก็ค่ำแล้ว พวกข้าจะพักอาศัยอยู่ที่โรงเตี๊ยมของท่านก่อน รอวันพรุ่งพวกข้าจะเดินทางไปนอกเป่ยเฉิง” 

 

 

คนทั้งขบวนพักอยู่ที่นี่ หลังจากที่แจกแจงประโยชน์และความเสียหายแล้ว คนสกุลหลี่ก็อยู่ในห้องพักโรงเตี๊ยมอย่างสงบ โดยไม่ได้ย่างเท้าออกมา 

 

 

ตลอดค่ำคืนนั้นเงียบสงัดไร้เสียงพูดคุย 

 

 

เมื่อตื่นนอนในเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว ทุกคนก็ลงไปกินอาหารเช้าที่ด้านล่าง คนในโรงเตี๊ยมทั้งหมดล้วนใช้สายตาอิจฉามองมาทางพวกเขา หลี่เหล่าซานเริ่มดีใจจนลืมตัวอีกแล้ว จึงยืดอกขึ้นสูง เดินกร่างไปนั่งบนเก้าอี้อย่างนึกว่าตัวเองสูงส่งมากยิ่งกว่าเดิม 

 

 

เศรษฐีหวังเหลือบมองเขา แต่ก็ไม่พูดอะไร 

 

 

สุดท้ายแล้วก็เป็นหลี่เซิ่งที่มีอายุมากกว่าหลายปีที่รู้ว่า ในเมืองหลวงทุกแห่งนี้ล้วนมีขุนนางชนชั้นสูง และพ่อค้าผู้ร่ำรวย จึงตำหนิเขาไปประโยคหนึ่ง “เหล่าซาน ทำตัวดีๆ หน่อย ถ้าหากว่ามีข่าวลือไม่ดีหลุดลอยไปเข้าหูของชิงเอ๋อร์ พวกเราล้วนต้องไสหัวกลับไปอย่างเปลือยเปล่าแน่นอน” 

 

 

การมาเมืองหลวงก็คือการมาพึ่งพาบารมีจากผู้อื่น เสพสุขกับเกียรติยศและชื่อเสียง ไม่อาจถูกเมิ่งชิงไล่กลับไปได้อย่างเด็ดขาด หลี่เหล่าซานรีบนำขาที่พาดอยู่บนม้านั่งข้างหนึ่งของตัวเองลงไป และนั่งอย่างเรียบร้อยด้วยความรวดเร็ว 

 

 

เสี่ยวเอ้อยกอาหารเช้ามาวางไว้เบื้องหน้าทุกคน 

 

 

เศรษฐีหวังหยิบเศษเงินออกมาจากด้านในแขนเสื้อก้อนหนึ่งแล้วมอบให้เขา 

 

 

หลี่เหล่าซานมองด้วยสายตาเป็นประกาย แทบจะอดทนไม่ไหวที่จะแย่งเงินมา 

 

 

เสี่ยวเอ้อดีใจจนตัวลอย หลังจากโค้งตัวขอบคุณไม่หยุดแล้ว ก็ถือเงินกลับไปที่ลานด้านหลังอย่างเบิกบานใจ 

 

 

สายตาหลี่เหล่าซานมองตามเขาไปตลอดทาง 

 

 

เศรษฐีหวังกระแอมไอครั้งหนึ่ง กระซิบเสียงเบาว่า “หากต้องการดำเนินเรื่องนี้ให้สำเร็จ ก็จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ อีกครู่หนึ่งยังต้องให้เขานำทางพวกเรา” 

 

 

หลี่เหล่าซานถึงได้ดึงสายตากลับมา ก้มหน้ากินอย่างตะกละตะกลาม 

 

 

เมื่อทานอาหารแล้ว เศรษฐีหวังก็หัวเราะฮ่าๆ ไปหาเถ้าแก่ “ท่านจะช่วยให้เสี่ยวเอ้อพาพวกเราไปจวนนอกเมืองได้หรือไม่ ท่านวางใจได้ ข้าจะไม่ให้เขานำทางไปเปล่าๆ แน่นอน” 

 

 

เถ้าแก่เห็นเหตุการณ์ที่เศรษฐีหวังให้รางวัลเสี่ยวเอ้อไปเมื่อครู่นี้อยู่ในสายตา รู้ว่าเขาเป็นคนที่ใช้เงินมือเติบ จึงตกปากรับคำในทันที ตะโกนเรียกเสี่ยวเอ้อที่ยกอาหารเช้าไปให้เมื่อครู่มา และกำชับว่า “เจ้าไปส่งผู้สูงศักดิ์หลายท่านนี้ที่จวนตระกูลเมิ่ง จำเอาไว้ว่า เจ้าห้ามหยุดอยู่ที่นั่น เมื่อส่งถึงที่หมายแล้วก็รีบกลับมา” 

 

 

เสี่ยวเอ้อที่เพิ่งได้รับเงินเป็นรางวัลนั้นกำลังมีความสุข เมื่อได้ยินดังนั้นก็ดีใจ หลังจากรับคำสั่งแล้ว ก็รีบไปที่ลานด้านหลังช่วยจัดเตรียมรถม้าให้กับทุกคนอย่างอารมณ์ดี 

 

 

เศรษฐีหวังมีแผนการของตัวเอง จึงไม่ได้ตามพวกเขาไป แต่กลับอยู่กับคนของตัวเองที่โรงเตี๊ยมต่อ “พวกเจ้าล้วนเป็นญาติพี่น้องของเมิ่งชิง ไปนับญาติที่บ้านผู้อื่น หาใช่เรื่องที่ต้องร่วมแสดงความคิดเห็นอะไร ข้าคงไม่ไปแล้ว หลังจากนับญาติกันแล้ว อย่าลืมแจ้งให้ข้าทราบด้วย” 

 

 

พ่อลูกสกุลหลี่และหลี่ชุ่ยฮวาก็ปรารถนาไม่ให้เขาไปด้วยเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน คราวนี้ก็สมใจพวกเขาแล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรให้มากความ ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถม้าและรีบออกเดินทางไปนอกเป่ยเฉิงทันที 

 

 

ตลอดทางทุกคนล้วนรู้สึกว่าตามีไม่เพียงพอแล้ว ทั้งยังโหวกเหวกเสียงดังด้วยความตื่นตะลึงบ่อยๆ เสี่ยวเอ้อนั้นไม่ใส่ใจ บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มเยินยออยู่ แต่สารถีที่เศรษฐีหวังพามานั้นกลับเบะปากใส่ คนพวกนี้เหมือนพวกบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นโลกกว้าง แต่เคยเห็นเพียงแค่ทิวทัศน์ทั่วไปเท่านั้น ถึงได้ตื่นเต้นเสียขนาดนี้ ถ้าหากว่าได้เห็นประตูวังสูงตระหง่าน จะไม่ตื่นเต้นจนสลบไปหรือ 

 

 

เมื่อออกจากประตูเมือง ทุกคนถึงได้นิ่งเงียบ 

 

 

เดินทางมาได้ 15 นาที หลี่เหล่าซานก็ถามเสี่ยวเอ้อด้วยความทนไม่ไหวว่า “อีกไกลแค่ไหนหรือ” 

 

 

“ใกล้แล้วขอรับ ระยะทางอีกไม่เท่าไรแล้ว” 

 

 

เสี่ยวเอ้อตอบ พร้อมกับเร่งสารถี “เร็วกว่านี้อีกสักหน่อยเถอะ ยามสายจอหงวนคนใหม่ก็น่าจะไปที่กองทัพแล้ว วันนี้พวกเขาก็คงไม่ได้เจอแล้ว” 

 

 

เสียงของเขาเพิ่งจะสิ้นสุดลง เสียงฝีเท้าม้าที่ดังอย่างเร่งรีบก็ลอยมาจากที่ไกลๆ  

 

 

สามพี่น้องสกุลหลี่เงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นเพียงแค่ม้าสี่ตัวกำลังห้อตะบึงมาจากฝั่งตรงข้าม 

 

 

ทุกวันหลังกินข้าวเช้าแล้วเมิ่งเสียน เมิ่งฉี เมิ่งเจี๋ย และเมิ่งชิง จะออกมาด้วยกัน วันนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เวลานี้นอกเมืองไม่มีคน สี่คนควบม้าวิ่งอย่างบ้าคลั่ง เมื่อมองเห็นรถม้าที่มุ่งตรงมาแล้ว ก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงมาผิดทาง หรือว่าเดินทางไปยังสถานที่พักอาศัยของเหล่าทหารพิการ เพื่อเยี่ยมญาติกัน แม้ในใจจะคิดเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้หยุดลง ดึงม้าหลบหลีก และลดความเร็วลง ทยอยควบผ่านข้างรถม้าไป 

 

 

พี่น้องสกุลหลี่นั้นตาแหลม แค่แวบเดียวก็เห็นเมิ่งชิงที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด จึงทยอยลุกขึ้นยืน โบกมือให้เมิ่งชิงที่ผ่านไปแล้ว “ชิงเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ รอก่อน” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาได้ยินเสียงเรียกแล้วก็ยื่นศีรษะออกมาอย่างตื่นเต้น  

 

 

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกของคนหลายคนแล้ว ทั้งสี่คนก็ดึงบังเหียนหยุด ประสานสายตากันแวบหนึ่ง คนทั้งหมดก็ดึงม้าหันหัวกลับไปทางรถม้า 

 

 

หลี่เหล่าซานกระโดดลงจากรถม้า วิ่งไปถึงเบื้องหน้าม้าของเมิ่งชิง “ชิงเอ๋อร์เอ๋ย ในที่สุดพวกข้าก็ได้พบเจ้าแล้ว” 

 

 

เมิ่งชิงพิจารณามองเขาครู่หนึ่ง ไม่มีความทรงจำใดๆ จึงเอ่ยปากสอบถามว่า “ท่านคือ…?”