ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 9 บันดาลโทสะ

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

“ชิงเอ๋อร์!”  

 

 

หลี่เหล่าซานยังไม่ทันได้ตอบคำถาม หลี่ชุ่ยฮวาก็กรีดร้องออกมา และกระโดดลงจากรถม้า วิ่งมาถึงด้านหน้าตัวม้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเงยหน้าขึ้น มองเขาน้ำตาไหลพราก “ข้าคือแม่เจ้า แม่แท้ๆ ของเจ้าเอง” 

 

 

ดวงตาเมิ่งชิงเบิกโตทันที มองหลี่ชุ่ยฮวาที่ยืนอยู่เบื้องหน้าแล้ว ก็สามารถมองเห็นถึงเงาร่างอันเลือนรางเมื่อหลายสิบปีก่อนหน้านี้ได้ เพียงแค่คนดูชราไปมาก ผอมบางจนเห็นกระดูก โดยเฉพาะเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่ไม่เหมาะกับขนาดตัวและเส้นผมขาวโพลนบนศีรษะนั่น แผดเผาดวงตาของเขา 

 

 

เมื่อนึกถึงการกระทำเมื่อหลายสิบกว่าปีก่อนหน้านี้แล้ว เมิ่งชิงก็เม้มปากสนิท มือกำบังเหียนแน่น นั่งหลังตรงอยู่บนม้าโดยไม่พูดอะไร 

 

 

เมิ่งเสียนก็จำหลี่ชุ่ยฮวาได้เช่นกัน น่าตะลึงเสียจริง ไม่ได้พบหน้ากันแค่ช่วงเวลาสิบปีสั้นๆ นางเปลี่ยนแปลงไปมาก รู้ว่าหลายปีมานี้ นางใช้ชีวิตผ่านมาด้วยความยากลำบาก คงจะได้ยินข่าวที่พวกเขากลับบ้านกันทั้งครอบครัว ถึงได้มาตามหาคนที่เมืองหลวง 

 

 

หลี่เซิ่ง หลี่เหล่าเอ้อ และหลี่เหล่าซานก็กระโดดลงจากรถม้า พากันส่งเสียงเซ็งแซ่ว่า “ยังมีข้า ยังมีข้าด้วย ข้าคือปู่เจ้า (น้าใหญ่ น้ารอง)” 

 

 

คนมากันครบแล้ว ดูท่าตัวเองจะเดาได้ถูกต้อง เมิ่งเสียนควบม้าไปด้านหน้า มองเมิ่งชิงที่มีสีหน้าตึงเครียดแวบหนึ่ง กระซิบเตือนเขาว่า “ถึงเวลาทำงานของผู้ปฏิบัติงานแล้ว มีอะไรค่อยกลับไปคุยกันที่จวนเถอะ” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวายังคงแหงนหน้าขึ้นมองเมิ่งชิงที่นั่งอยู่บนหลังม้า ยื่นมือออกไปอย่างคิดจะลูบเขาสักหน่อย “ชิงเอ๋อร์เอ๋ย หลายปีมาแล้ว แม่คิดถึงเจ้าจะตายแล้ว” 

 

 

เมิ่งชิงดึงบังเหียนให้ม้าขยับเดิน พาให้เขาหลบสัมผัสของหลี่ชุ่ยฮวาตามจิตใต้สำนึก 

 

 

มือที่ยื่นออกไปของหลี่ชุ่ยฮวาคว้าได้เพียงอากาศ น้ำตาก็ไหลพรากยิ่งกว่าเดิม ก้าวเดินตามม้าไปอยู่ด้านหน้าเมิ่งชิงอีกครั้งหนึ่ง “ชิงเอ๋อร์เอ๋ย เจ้ามองให้ดีๆ สิ ข้าคือแม่ของเจ้า เป็นแม่แท้ๆ ของเจ้านะ”  

 

 

ริมฝีปากเมิ่งชิงเม้มแน่นสนิท ไม่พูดอะไรสักประโยค 

 

 

หลี่เซิ่งก็ขยับขึ้นไปด้านหน้า จับบังเหียนม้าเอาไว้ นัยน์ตาฉาบไปด้วยหยดน้ำตาเช่นกัน “ชิงเอ๋อร์เอ๋ย พวกข้าหาเจ้าจนพบอย่างยากลำบาก เจ้าไม่อาจไม่สนใจพวกข้านะ” 

 

 

หลี่เหล่าเอ้อและหลี่เหล่าซานพยักหน้ารัว “ถูกต้องๆ พวกข้ามาเมืองหลวงรอบหนึ่งนั้นไม่ง่ายเลย ทั้งยังต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเศรษฐีหวังผู้นั้นด้วย” 

 

 

เศรษฐีหวังสามคำนี้นั้น ทำให้เมิ่งชิงรู้สึกระคายหูเป็นอย่างมาก มุมปากกระตุก เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา เอ่ยพูดกับหลี่ชุ่ยฮวาด้วยสีหน้าทะมึนว่า “ในเมื่อท่านเข้าไปเป็นอนุของตระกูลหวังแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่จะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับข้าอีก วันนี้ท่านขวางม้าข้าเอาไว้ ตะโกนเรียกข้าปาวๆ ว่าชิงเอ๋อร์ ขอถามท่านหน่อยเถอะว่า ท่านไปเอาความมั่นใจจากไหนมาทำแบบนี้กัน หลายปีมานี้ ท่านทิ้งข้า ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของคนเป็นแม่เลยแม้แต่น้อย และในวันนี้ เมื่อได้ยินว่าข้ากลายเป็นจอหงวนฝ่ายบู๊ ก็คิดจะมานับญาติเสียแล้ว จิตสำนึกของท่านอยู่ที่ไหน ไม่รู้สึกว่าไม่สบายใจบ้างหรือ” 

 

 

ทุกคำทุกประโยคของเมิ่งชิง ดั่งเข็มที่ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของหลี่ชุ่ยฮวา เธอส่ายหน้าร้องไห้ “ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ ชิงเอ๋อร์ ในปีนั้นแม่ก็ถูกบีบจนไม่มีทางเลือกเช่นกัน แม่…” 

 

 

“ถูกบีบจนไม่มีทางเลือกอะไรกัน ในปีนั้นท่านไม่กตัญญูต่อท่านปู่ท่านย่า แอบซ่อนเงินที่ท่านพ่อมอบให้พวกเขาเอาไว้นั้นคือ ถูกบีบจนไม่มีทางเลือกหรือ หรือว่าตอนที่ท่านพ่อใกล้จะสิ้นลมหายใจนั้น การที่ท่านทำเรื่องผิดประเพณีกับผู้อื่นนั้นก็คือ ถูกบีบจนไม่มีทางเลือกเช่นกัน?” 

 

 

นึกถึงการกระทำต่างๆ ของหลี่ชุ่ยฮวาในปีนั้นแล้ว อารมณ์ของเมิ่งชิงก็รุนแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาที่นั่งอยู่บนหลังม้านั้นมองลงมาจากที่สูง แต่ละคำที่เอ่ยถามนางนั้นรุนแรง 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาส่ายหน้าร้องไห้ “ชิงเอ๋อร์ แม่ผิดไปแล้ว แม่ไม่ควรจะทำเช่นนั้น แต่ว่าแม่ก็ได้รับการลงโทษแล้ว เจ้าเห็นแก่ที่แม่เลี้ยงเจ้ามาตั้งแต่เด็กจนโตอย่างยากลำบาก อย่าปฏิบัติแบบนี้กับแม่ได้ไหม” 

 

 

เมิ่งชิงหลับตาลง กดอารมณ์โกรธเกรี้ยวที่อยู่ในใจเอาไว้ หัวเราะหึๆ ออกมา ถามเสียงต่ำว่า “ท่านเลี้ยงข้าจนโตอย่างยากลำบากหรือ คำพูดนี้ท่านยังจะพูดออกมาได้อีก ท่านลืมไปแล้วหรือว่า ตอนที่ท่านจากข้าไปนั้น ข้าเพิ่งจะอายุเท่าไร?” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาสะอื้นไห้ดังยิ่งกว่าเดิม “ชิงเอ๋อร์ เป็นความผิดของแม่เอง เป็นความผิดของแม่ แม่มาเมืองหลวง ไม่ได้มีเป้าหมายอะไร ก็แค่อยากจะมาเห็นเจ้าสักครั้ง แม้ว่าแม่จะต้องตายในตอนนี้ ก็ตายตาหลับแล้ว” 

 

 

“หึ…” 

 

 

เมิ่งชิงหัวเราะเสียงเย็น มองนางด้วยสายตาเย็นชา “คราวนี้นับญาติไม่สำเร็จ ก็อาศัยความตายมาบีบบังคับแล้วหรือ ดี ดีมาก” 

 

 

“ไม่ๆ ๆ …” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาส่ายหน้าอย่างบ้าคลั่ง หยดน้ำตาร่วงหล่นลงพื้น “ชิงเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว แม่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ไม่ใช่นะ” 

 

 

สายตาเมิ่งชิงมองผ่านนางไปยังหลี่เซิ่ง เอ่ยเสียงเย็นว่า “ปล่อยมือ!” 

 

 

หลี่เซิ่งกลับจับบังเหียนแน่นยิ่งกว่าเดิม “ชิงเอ๋อร์เอ๋ย ถึงแม้ว่าแม่ของเจ้าจะกระทำผิดหนักหนาแค่ไหน ก็ยังคงเป็นแม่แท้ๆ ของเจ้านะ พวกข้าก็เป็นน้าแท้ๆ ของเจ้าเช่นกัน เจ้าไม่อาจหัดเอาอย่างคนเนรคุณเหล่านั้น ไม่ยอมรับพวกข้านะ” 

 

 

เมิ่งชิงมองเข้าอย่างเย็นชา ชูแส้ม้าขึ้น “ข้าจะพูดอีกครั้ง ปล่อยมือ!” 

 

 

“ไม่ปล่อย ถ้าหากว่าเจ้าไม่ยอมรับข้าที่เป็นน้าผู้นี้ ตีข้าให้ตาย ข้าก็ไม่ปล่อย” 

 

 

เพียะ! 

 

 

สิ้นเสียงของเขา เมิ่งชิงก็สะบัดแส้ฟาดลงบนหลังมือครั้งหนึ่ง 

 

 

หลี่เซิ่งเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ร้องโอ๊ยออกมา และปล่อยบังเหียนออก 

 

 

หลี่เหล่าฮั่น หลี่เหล่าเอ้อ และหลี่เหล่าซานตกใจสะดุ้ง เบียดกันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หลี่ชุ่ยฮวาก็ตกใจนิ่งจนลืมร้องไห้ ยืนมองเขาอย่างอึ้งๆ เช่นกัน 

 

 

“พี่ใหญ่ มอบเงินให้พวกเขาสักหลายตำลึงแล้วไล่ไปเถอะ” 

 

 

เมิ่งชิงเอ่ย เบี่ยงหัวม้า สองขาออกแรงหนีบใต้ท้องม้าเล็กน้อย ม้าก็พุ่งตัวออกไปทันที 

 

 

“เจี๋ยเอ๋อร์ เจ้าก็ไปเถอะ อย่าพลาดเวลา” 

 

 

เมิ่งเสียนหันไปเอ่ยกับเมิ่งเจี๋ย 

 

 

เมิ่งเจี๋ยมองคนเหล่านั้นแล้วก็พยักหน้า หันหัวม้ามุ่งหน้าไปในเมือง 

 

 

แส้นั้นของเมิ่งชิงใช้แรงไม่น้อย เวลาแค่เพียงครู่เดียว หลังมือของหลี่เซิ่งก็บวมขึ้นมา เขาที่เจ็บปวดร้อง โอ๊ยๆ ไม่หยุด 

 

 

เมิ่งเสียนมองดูแวบหนึ่ง ก็เอ่ยว่า “วันนี้พวกท่านมาอย่างกะทันหันเกินไป ชิงเอ๋อร์ยังไม่ทันได้เตรียมใจ อารมณ์จึงรุนแรงไปเล็กน้อย เอาแบบนี้แล้วกัน พวกท่านทิ้งที่อยู่เอาไว้ รอเขากลับมาจากกองทัพแล้ว พวกข้าจะโน้มน้าวให้เขาไปพบพวกท่าน” 

 

 

พ่อลูกสกุลหลี่แต่ละคนเพิ่งจะมาถึง และไม่รู้ตัวหนังสือ จะไปรู้ได้อย่างไรว่าโรงเตี๊ยมที่ตัวเองพักคือโรงเตี๊ยมใด โชคดีที่มีเสี่ยวเอ้อตามมาด้วย เมื่อได้ยินแล้วก็รีบเอ่ยว่า “พวกเขาพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมฝูชังของพวกข้าขอรับ ข้าคือเสี่ยวเอ้อที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้นขอรับ” 

 

 

เมิ่งเสียนพยักหน้า หยิบกระดาษเงินจำนวนห้าสิบตำลึงออกมาจากด้านในแขนเสื้อ ยื่นไปด้านหน้าหลี่เซิ่งที่ยังร้องโอ๊ยไม่หยุด “ชิงเอ๋อร์ลงมือหนักไปเล็กน้อย ท่านนำกระดาษเงินนี้ไปหาหมอเถอะ” 

 

 

เมื่อเห็นกระดาษเงิน หลี่เซิ่งก็เบิกตาโต มือก็ไม่เจ็บแล้ว คว้าหมับเอาไว้ทันที เมื่อดูอย่างละเอียดแล้ว ก็อ่านไม่ออก จึงหัวเราะแหะๆ ถามว่า “นี่คือเท่าไรหรือ” 

 

 

“ห้าสิบตำลึง รักษามือของท่านได้อย่างเหลือเฟือ หวังว่าท่านจะไม่พูดส่งเดชไปทั่ว” 

 

 

ชิงเอ๋อร์เพิ่งจะได้เป็นจอหงวนฝ่ายบู๊ กำลังโดดเด่นเกรียงไกร หากในตอนนี้มีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับเขาออกไปล่ะก็ เกรงว่าจะก่อให้เกิดปัญหาในภายหลังได้” 

 

 

หลี่เซิ่งหัวเราะแหะๆ พับกระดาษเงินอย่างระมัดระวังเรียบร้อยแล้ว ก็เก็บเอาไว้ที่สาบเสื้อตัวใน เงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ชิงเอ๋อร์ก็เป็นหลานชายแท้ๆ ของข้าเช่นกัน ข้าจะพูดเรื่องไม่ดีของเขาได้อย่างไร” 

 

 

“เป็นเช่นนั้นก็ดี พวกข้ายังมีธุระ คงไม่อยู่เป็นเพื่อนแล้ว พวกท่านก็กลับไปตามเส้นทางเดิมเถอะ” 

 

 

“ได้ทันทีๆ” 

 

 

หลี่เซิ่งโค้งตัวพยักหน้ารับคำ พร้อมกับเอ่ยเรียกพวกหลี่เหล่าฮั่น “ท่านพ่อ น้องรอง น้องสาม ชุ่ยฮวา ขึ้นรถม้าได้แล้ว”