ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 10 ความละโมบ

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมิ่งชิงเดินจากไปแล้ว ต่อให้หลี่ชุ่ยฮวาไม่ยินยอมแต่นางก็ต้องหยุดร้องไห้ เดินขึ้นรถม้าไปอย่างสะอึกสะอื้น 

 

 

หลี่เหล่าเอ้อร์และหลี่เหล่าซานเหลือบมองตั๋วเงินในมือของหลี่เซิ่งและครุ่นคิดว่าพวกเขาจะใช้วิธีการใดในการแบ่งกันดี ถึงแม้ว่าจำนวนที่ได้รับจะไม่มาก แต่ได้สักสิบตำลึงก็ยังดี 

 

 

หลี่เหล่าฮั่นที่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาเลยตั้งแต่ต้นก็จับจ้องไปบนเสื้อผ้าที่เมิ่งเสียนสวมใส่อยู่ด้วยสายตาละโมบ เนื้อผ้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หากเขาได้สวมใส่มัน ต่อให้ใกล้จะตายชีวิตของเขาก็คุ้มค่าแล้ว 

 

 

เมิ่งเสียนรู้สึกถึงสายตาละโมบที่จับจ้องมาแล้ว ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองตอบกลับไปด้วยสายตาคมกริบหลี่เหล่าฮั่นที่ถูกเขาจ้องมองด้วยสายตาเช่นนั้นก็หวาดกลัวจนตัวสั่นระริก หลังจากที่ได้สติกลับมา ก็เอ่ยยิ้มๆว่า “พวกข้าจะไปเดี๋ยวนี้ จะไปเดี๋ยวนี้”หลังจากเอ่ยจบ ก็หันไปมองม้าสองตัวที่พวกเขาขี่อยู่อย่างอาลัยอาวรณ์ก่อนจะก้าวขึ้นรถม้าไป 

 

 

คนขับรถม้าไม่กล้าเอ่ยอันใดออกมา เพราะกลัวว่าตนเองจะถูกลากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย คนเหล่านี้ต่างเป็นญาติของเมิ่งชิง แต่เขาไม่ใช่ ถ้าหากเมิ่งชิงต้องการหาใครสักคนมาเพื่อระบายโทสะ เขาจะเป็นคนแรกที่ซวย ดังนั้นเขาจึงพยายามหดตัวให้เล็กลงและยืนอยู่ข้างรถม้า เว้นระยะห่างจากคนพวกนี้ตลอด เมื่อเห็นเมิ่งชิงขี่ม้าจากไปอย่างมีโทสะ แม้จะโล่งใจแต่เขาก็เข้าใจดีว่าแผนการที่นายท่านวางเอาไว้ได้พังลงแล้ว กระทั่งญาติ เมิ่งชิงก็ยังไม่สนใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องของนายน้อยทั้งสองเลย ตอนนี้ทุกคนต่างขึ้นไปบนรถม้าเรียบร้อยแล้ว เขาจึงรีบหมุนกาย กระโดดขึ้นไปบนที่นั่งคนขับรถม้า ยกแส้ขึ้นสูง ตะโกนให้ม้าวิ่ง 

 

 

เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีที่นั่งอยู่บนหลังม้า มองพวกเขาที่ขี่รถม้าจากไปอย่างรวดเร็วและชำเลืองสบตากันและกัน ไม่เพียงแต่เมิ่งชิง กระทั่งทุกคนในตระกูลเมิ่งก็ไม่มีผู้ใดจะคิดว่าครอบครัวของหลี่ชุ่ยฮวาจะมาหา โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้ 

 

 

“พี่ใหญ่ จะทำเช่นไรดี” 

 

 

เมิ่งฉีถามออกมา 

 

 

เมิ่งเสียนก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะทำเช่นไร ในตอนนี้เขาต้องกลับไปที่จวนเพื่อบอกคนในตระกูล คนในตระกูลจะต้องตกใจอย่างแน่นอน โดยเฉพาะท่านปู่ ท่านย่า ท่านตาและท่านยายที่เกลียดนางเข้ากระดูกดำ เพราะในครานั้นหลี่ชุ่ยฮวาฉวยโอกาสที่ท่านลุงสี่ได้รับบาดเจ็บหนัก ทั้งยังทำเรื่องเช่นนั้นอีก ถ้าหากนางกล้าวิ่งมาขอนับญาติก็ไม่รู้ว่าจะโมโหเพียงใด อายุของพวกท่านก็มากแล้วด้วย หากต้องเป็นอันใดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ ก็ไม่อยากจะคิดถึงผลที่จะตามมาในภายหลังเลย แต่ถ้าเขาไม่บอกคนในตระกูลและตระกูลหลี่ฉวยโอกาสตอนที่พวกเขาไม่อยู่บุกเข้าไปจะต้องเดือนร้อนแน่เมิ่งเสียนไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก็ยังไม่มีความคิดอะไรดีๆ จึงเอ่ยกับเมิ่งฉีว่า “เจ้ารีบควบม้ากลับไปบอกท่านพ่อท่านแม่ให้ทราบเรื่องที่คนในตระกูลหลี่จะมาหาก่อน ให้พวกเขากระซิบบอกกับท่านลุงใหญ่และท่านน้าสามได้เตรียมตัวเตรียมใจ ข้าจะไปปรึกษากับน้องเล็กที่จวนอ๋องฉีสักหน่อย” 

 

 

เมิ่งฉีรับคำและขี่ม้ากลับไปยังจวน 

 

 

เมิ่งเสียนก็ขี่ม้าไปยังจวนอ๋องฉี 

 

 

คนเฝ้าประตูรู้จักเขา หลังจากที่ก้าวเข้ามารับบังเหียนเอาไว้ก็เอ่ยว่า “พระชายาซื่อจื่อมีรับสั่งเอาไว้ว่า หากท่านมาก็ให้เข้าไปในเรือนของพระชายาซื่อจื่อโดยไม่ต้องกราบทูลได้เลยขอรับ” 

 

 

เมิ่งเสียนพยักหน้า ส่งบังเหียนให้เขาและเดินเข้าไปในจวน ตรงไปยังเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว 

 

 

ชิงหลวนและจูหลีไม่อยู่ เมื่อหวงฝู่อี้เห็นเขาจึงก้าวเข้ามาต้อนรับและถามอย่างดีใจว่า “พี่เมิ่งเสียน ท่านมาแล้ว? พระชายาซื่อจื่ออยู่ในเรือน” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวที่ได้ยินเสียงของทั้งสองคน ก็สงสัยว่าเหตุใดเขาถึงมาในยามนี้ จึงเอ่ยเสียงดังขึ้นว่า “พี่ใหญ่ ท่านเข้ามาเถอะ” 

 

 

เมิ่งเสียนเดินเข้าไปในเรือน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงบนเก้าอี้ ข้างหน้ามีโต๊ะเล็กๆ วางอยู่ บนโต๊ะเต็มไปด้วยสมุดบัญชี  

 

 

“พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงมาในเวลานี้ ที่จวนเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางของเขาไม่ดีนัก จึงวางสมุดบัญชีในมือลงและเอ่ยถาม 

 

 

เมิ่งเสียนนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าตึงเครียดและเอ่ยว่า “น้องเล็ก คนตระกูลหลี่มาแล้ว!” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ทันตั้งตัว จึงถามออกไปว่า “คนตระกูลหลี่ คนตระกูลใดหรือ แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรากัน” 

 

 

“คนนอกตระกูลของชิงเอ๋อร์ และหลี่ชุ่ยฮวาต่างก็มาแล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “หลี่ชุ่ยฮวา” 

 

 

เมิ่งเสียนพยักหน้าและพูดว่า “ข้ากับฉีเอ๋อร์ เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ออกมาจากเรือน เดินทางได้ครึ่งทางก็พบกับรถม้าของพวกเขา เมื่อชิงเอ๋อร์ได้พบกับพวกเขาก็โกรธมากและไม่ยอมนับญาติด้วย จึงขี่ม้าไปที่ค่ายทหารทันที หลังจากที่ข้าส่งพวกเขากลับไป ข้าจึงขอให้พี่รองของเจ้ากลับไปบอกท่านพ่อท่านแม่และท่านลุง ส่วนข้าก็มาหาเจ้า” 

 

 

“พวกเขามาถึงเมืองหลวงเมื่อใด” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามเสียงเข้ม 

 

 

เมิ่งเสียนส่ายศีรษะ เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่ได้ถาม ข้ารู้เพียงแต่ว่าพวกเขาอยู่ที่โรงเตี๊ยมฝูชัง” 

 

 

“อี้เอ๋อร์!” เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนออกไปข้างนอก 

 

 

หวงฝู่อี้รับคำ ก้าวเข้ามาด้านในและเอ่ยว่า “พระชายาซื่อจื่อ พระองค์มีอันใดจะรับสั่งหรือพะยะค่ะ” 

 

 

“ไปที่โรงเตี๊ยมฝูชัง และสืบมาสิว่า ตระกูลหลี่แห่งเมืองชิงซีมาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด ยังมี ไปสอบถามด้วยว่ามีผู้ติดตามคนอื่นอีกหรือไม่” 

 

 

ระยะห่างระหว่างเมืองชิงซีและเมืองหลวงต้องใช้เวลาหลายวันในการเดินทาง ตลอดทางต้องใช้จ่ายจำนวนไม่น้อย สำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยอย่างตระกูลหลี่คงจะมาเองไม่ได้ จะต้องมีคนคอยเป่าหูและให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังแน่นอน 

 

 

หวงฝู่อี้รับคำสั่งและหมุนตัวเดินออกไป 

 

 

หลังจากรถม้าเข้ามาในตัวเมือง หลี่เซิ่งที่มือได้รับบาดเจ็บมากจึงเริ่มร้อง โอ๊ย ออกมา บ่าวรับใช้จึงรีบเอ่ยว่า “นายท่าน ร้านยาเต๋อเหรินอยู่ไม่ไกลจากโรงเตี๊ยม ท่านอดทนอีกนิดนะขอรับ อีกประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว” 

 

 

แม้ว่าจะเจ็บปวดจนเหงื่อไหลโทรมกาย แต่หลี่เซิ่งก็ยังคงเชิดหน้าชูคอเอ่ยว่า “ไปร้านยาเต๋อเหรินเพื่ออันใด แผลเล็กแค่นี้ไม่ต้องใส่ใจหรอก วันเดียวก็หายแล้ว” 

 

 

แม้ว่ายามที่เมิ่งชิงลงแส้จะไม่ได้ใช้พละกำลังมากนัก แต่การใช้พละกำลังภายใต้ความโกรธนั้นก็ไม่ได้น้อย เพียงแค่ครู่เดียว มือของหลี่เซิ่งก็บวมแดง ต่อให้มียาของร้านเต๋อเหรินก็ไม่อาจจะหายได้ในวันสองวันเช่นกัน และถ้าหากกลัดหนองขึ้นมา ก็คาดว่าจะไม่หายภายในสิบวันหรือครึ่งเดือนอย่างแน่นอน 

 

 

“นั่นสิๆ ไปร้านยาเต๋อเหรินทำไมกัน กลับไปขอสมุนไพรและขี้เถ้าที่โรงเตี๊ยมมาโปะก็ได้แล้ว มันมีประสิทธิภาพมากกว่ายาที่ต้องจ่ายเงินซื้อไปเสียเปล่าเสียอีก” 

 

 

บ่าวรับใช้กำลังจะเอ่ยเตือน แต่หลี่เหล่าซานก็ตะโกนใส่เขาเสียก่อน 

 

 

หลี่เหล่าเอ้อร์ก็พยักหน้าเห็นด้วยและเอ่ยว่า “ใช่ๆๆ พวกเราที่เป็นคนบ้านนอกนั้นหนังหนามาก จะนำเงินไปใช้กับของพวกนั้นได้เยี่ยงไร” 

 

 

หลี่เซิ่งมองไปที่พวกเขาสองคนด้วยความระแวดระวัง ทั้งยังเอาตั๋วเงินเก็บเอาไว้ในอ้อมแขนตัวเอง พร้อมกับเอ่ยว่า “เหล่าเอ้อร์ เหล่าซาน ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะว่า ตั๋วเงินที่ข้าได้มานี้แลกกับแส้ที่ข้าโดนฟาด พวกเจ้าสองคนอย่าได้คิดที่จะเอาตั๋วเงินนี้ไปแม้แต่น้อย 

 

 

ทั้งสองคนที่มีความคิดอยากได้ตั๋วเงินนั้นก็โมโหขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนั้น หลี่เหล่าซานที่เป็นคนอารมณ์ร้อนรีบเอ่ยขึ้นว่า “พี่ใหญ่ พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกนะ แม้ว่าพี่จะโดนแส้ฟาด แต่พวกข้าสองคนก็ตามไปด้วย ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ต้องมีส่วนแบ่งบ้าง อย่างไรก็ควรแบ่งให้พวกเราสองคนสักหน่อยใช่ไหม” 

 

 

“นั่นสิๆ” 

 

 

หลี่เหล่าเอ้อร์พยักหน้าเหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวสาร ทั้งยังเอ่ยอย่างเห็นด้วยอีกว่า “อีกประการหนึ่ง ข้าและเหล่าซานก็ไม่ได้โลภมาก พี่เอาเงินห้าสิบตำลึงนั้นไปและแบ่งให้พวกข้าคนละสิบตำลึงก็ได้แล้ว” 

 

 

หลี่เซิ่งกระชับตั๋วเงินในอ้อมแขนตนเองแน่นยิ่งขึ้นและเอ่ยว่า “ฝันไปเถอะ เงินพวกนี้เป็นของข้าทั้งหมด แม้แต่ทองแดงเดียวก็ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า ถ้าหากพวกเจ้าอยากได้ก็ไปรับแส้ที่ชิงเอ๋อร์โบยอีกครั้งสิ”