หลี่เหล่าเอ้อร์และหลี่เหล่าซานสบตากัน ต่างขยับร่างกาย มองดูแล้วคล้ายกับว่าจะลงมือแย่งชิง หลี่เหล่าฮั่นตะคอกเสียงดังอย่างมีโทสะ “ทะเลาะกันเพื่ออันใด เงินเหล่านี้เป็นของพวกเราตระกูลหลี่ แน่นอนว่าทุกคนล้วนได้ส่วนแบ่งอยู่แล้ว พวกเจ้าจะรีบร้อนทำไมกัน”
ทั้งสองคนหยุดการเคลื่อนไหว
หลี่เซิ่งกลับไม่ยินยอม “ท่านพ่อ นี่เป็นเงินที่ข้าได้มา เหตุใดทุกคนจึงได้มีส่วนแบ่งด้วยเล่า”
“ก็เพราะข้าเป็นพ่อเจ้า เรื่องภายในบ้าน ข้าพูดแล้วทุกคนต้องเชื่อฟัง หากเจ้าไม่ยินยอมแบ่ง เช่นนั้นก็ได้ ตอนนี้ไสหัวลงไปจากรถม้าและหอบเงินห้าสิบตำลึงกลับบ้านเกิดไปเดี๋ยวนี้”
เพิ่งจะพบหน้ากันก็ได้มาถึงห้าสิบตำลึง ในภายหลังก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลประโยชน์อีกมากมายเพียงใด ถ้ากลับไปในเวลานี้จะต้องสูญเสียผลประโยชน์มากมายอย่างแน่นอน หลี่เซิ่งไม่กล้าโต้กลับ ลูบเงินที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเองพร้อมกับเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะต้องได้ส่วนที่เยอะกว่า”
หลี่เหล่าฮั่นนึกถึงเสื้อผ้าที่เมิ่งเสียนและอีกหลายคนสวมใส่แล้ว จะเห็นเงินสิบกว่าตำลึงอยู่ในสายตาได้อีกเช่นไร เมื่อเขาเหลือบมองโดยไม่พูดอะไรก็ถือได้ว่ายอมรับแล้ว
หลี่เหล่าเอ้อร์และหลี่เหล่าซานที่แต่เดิมก็ไม่ได้คาดหวังอันใดมากมาย ก็ไม่มีอันใดที่ไม่พอใจอีก
ตลอดทางไร้เสียงพูดคุยใดๆ ไปจนถึงโรงเตี๊ยม
หลังจากที่คนทั้งหมดจากไปแล้ว เศรษฐีหวังก็นั่งรออยู่ที่ห้องโถงตลอด เมื่อเห็นรถม้ากลับมาถึง ก็ลุกขึ้นยืน และเดินออกไปพร้อมกับท้องอันใหญ่โต
หลี่เหล่าซานกระโดดลงจากรถม้าด้วยความดีใจเป็นคนแรก ถัดมาก็คือหลี่เหล่าเอ้อร์ หลังจากทั้งสองคนลงจากรถม้าแล้ว ก็หันกลับไปช่วยประคองหลี่เหล่าฮั่นลงมาพร้อมกัน จากนั้นหลี่เซิ่งก็กระโดดตามลงมา เมื่อเห็นเขาใช้มือซ้ายกุมที่แขนขวาด้วยสีหน้าเจ็บปวด เศรษฐีหวังก็หรี่ตาลง ก่อนที่จะได้ถามคำถาม หลี่ชุ่ยฮวาก็ลงจากรถม้าด้วยท่าทางใจลอย
เมื่อเห็นสีหน้าคนเหล่านี้แล้ว ไม่ต้องเอ่ยถาม ก็รู้ว่าไม่ค่อยดี เศรษฐีหวังยับยั้งความคิดที่อยากจะถาม ก้าวขึ้นไปข้างหน้า และเอ่ยขึ้นว่า “มีเรื่องอะไรค่อยคุยกัน ตอนนี้กลับไปพักผ่อนที่ห้องพักก่อนเถอะ”
“เดี๋ยวค่อยคุยหรือ แขนของพี่ใหญ่ได้รับบาดเจ็บต้องใช้สมุนไพรและขี้เถ้าเล็กน้อย ท่านก็ให้เถ้าแก่ไปจัดเตรียมให้พวกข้าหน่อยเถอะ”
หลี่เหล่าซานโวยวายใส่เขาเสียงดัง
เศรษฐีหวังก็เป็นเจ้าคนนายคน เคยให้ผู้ใดมาชี้นิ้วสั่งเสียที่ไหน เขาจึงมีสีหน้าไม่ค่อยดีทั้งยังบึ้งตึงในทันที แต่ก็ยังระงับอารมณ์ตัวเองเอาไว้และเอ่ยว่า “ใช้สมุนไพรและขี้เถ้าจะได้ผลได้อย่างไร ถ้าหากว่าได้รับบาดเจ็บจริงก็ควรจะรีบไปร้านขายยาถึงจะถูก”
หลี่เหล่าซานเถียงกลับว่า “ไปร้านยาก็ต้องเสียเงินไม่ใช่หรือ ท่านจะจ่ายให้หรือ ถ้าท่านจะจ่ายให้ก็พาพี่ใหญ่ข้าไปสิ”
คำพูดนี้ทำให้สีหน้าเศรษฐีหวังแย่ลงยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อสังเกตเห็นสายตาที่สอดรู้สอดเห็นของผู้คนที่มองมา จึงฝืนระงับโทสะและสั่งบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างกายเขาว่า “เจ้าตามไปที่ร้าน จ่ายเท่าใด ข้าจะเป็นคนจ่ายให้เอง”
เมื่อได้ยินว่าเขาเป็นผู้จ่ายเงิน นัยน์ตาของหลี่เหล่าซานก็เปล่งประกายขึ้นมา ทั้งยังยื่นมือไปด้านหน้าเขาทันทีพร้อมกับเอ่ยว่า “ไม่ต้องให้บ่าวรับใช้ตามไป ท่านมอบเงินให้ข้าก็พอ ข้าจะพาพี่ใหญ่ไปที่ร้านยาทันที”
เศรษฐีหวังชำเลืองมองเขา มุมปากกระตุกและหมดความอดทนในทันที “มอบให้เจ้าหรือ กลัวว่าจะเป็นการเอาซาลาเปาไส้หมูไปขว้างใส่สุนัข[1]มากกว่าล่ะมั้ง”
“ท่าน!”
หลี่เหล่าซานพูดไม่ออก
เสียงของคนเหล่านี้ไม่ได้ลอยเข้าหูหลี่ชุ่ยฮวา ในสมองของนางเต็มไปด้วยรูปลักษณ์ปัจจุบันของเมิ่งชิง สิบกว่าปีที่ไม่ได้พบหน้า ชิงเอ๋อร์โตขึ้น สง่างามหล่อเหลาขึ้น และยิ่ง…เหมือนกับเมิ่งเสียวเถี่ยมากกว่าเดิม เพียงแต่นิสัยของเขาโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเมิ่งเสียวเถี่ยอยู่หลายส่วน นางคิดในใจ ก้าวผ่านคนเหล่านั้นขึ้นไปชั้นบนอย่างเหม่อลอยโดยไม่รู้ตัว
เศรษฐีหวังคิดจะต่อว่า แต่คิดได้ว่าที่นี่คือโรงเตี๊ยม จึงกลืนคำตำหนินางลงไป และเอ่ยกับหลี่เซิ่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าไปหรือไม่ ไม่ไปก็เรื่องของเจ้า!”
“ไปๆๆ เหตุใดจะไม่ไปเล่า”
หลี่เซิ่งรีบตอบรับ มีประโยชน์แล้วไม่ใช้นั่นคือคนโง่ อีกประการหนึ่งตอนนี้หลังมือเขาเจ็บมาก
เศรษฐีหวังส่งสายตาให้กับบ่าวรับใช้ หลังจากที่บ่าวรับใช้สอบถามเถ้าแก่ถึงตำแหน่งที่ตั้งของร้านยาเรียบร้อยแล้ว ก็กล่าวกับหลี่เซิ่งด้วยท่าทางนอบน้อม “นายท่าน พวกเราไปกันเถอะขอรับ”
เมื่อไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ หลี่เหล่าเอ้อร์และหลี่เหล่าซานจึงไม่พูดว่าจะตามไปด้วย หลี่เซิ่งก็ไม่อยากให้พวกเขาตามไปจึงเดินตามบ่าวรับใช้ขึ้นรถม้าไปเพียงลำพัง
หลี่เหล่าฮั่นเดินขึ้นไปชั้นบนโดยมีหลี่เหล่าเอ้อร์และหลี่เหล่าซานตามมาติดๆ
เศรษฐีหวังยืนนิ่งอยู่กับที่โดยไม่ขยับเขยื้อน แววตาเขาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะที่ส่องประกายออกมา เจ้าพวกพ่อลูกตระกูลหลี่ ยังไม่ทันได้นับญาติกับเมิ่งชิงก็ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเสียแล้ว ถ้าหากพวกเขาได้นับญาติกับเมิ่งชิงขึ้นมาจริงๆ ถึงเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องช่วยเหลือเขาสักครั้ง แค่ไม่เหยียบเขาสักคราก็ไม่เลวแล้ว ไม่ได้การ เขาไม่สามารถปล่อยให้พ่อลูกตระกูลหลี่ทำแบบนี้กับตนเองได้เด็ดขาด
หวงฝู่อี้ที่ได้รับคำสั่งจากเมิ่งเชี่ยนโยวก็มายังโรงเตี๊ยมฝูชัง และสืบข่าวคนทั้งหมดได้ในไม่ช้า ก่อนที่จะกลับไปรายงานนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงเบา
เมิ่งเสียนเห็นแล้วก็สั่นไปทั้งตัวและเอ่ยขึ้นว่า “น้อง น้องเล็ก เจ้าจะทำอันใด”
“แน่นอนว่าข้าจะไปเยี่ยมญาติ ผู้อื่นอุตส่าห์เดินทางมาจากแดนไกล พวกเราไม่ไปพบก็คงจะไม่ได้ ใช่ไหม พี่ใหญ่”
เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่สอดคล้องกับคำพูดของนางแล้ว เมิ่งเสียนก็เป็นกังวลและห้ามปรามว่า “น้องเล็ก ชิงเอ๋อร์เพิ่งจะสอบติดจอหงวน กำลังอยู่ในช่วงที่ก้าวหน้า ผู้คนในเมืองหลวงล้วนจับจ้อง เจ้าอย่าทำอะไรเหลวไหลเชียว!”
“พี่ใหญ่วางใจได้ อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็มีตำแหน่งเป็นถึงพระชายาซื่อจื่อ แม้ว่าจะไม่คำนึงถึงชิงเอ๋อร์ แต่ก็ต้องคำนึงถึงจวนอ๋อง ข้าไม่ทำเรื่องที่ทำให้ตนเองเสียผลประโยชน์หรอก เพียงแต่…”
ในขณะที่กล่าว นางก็ลุกขึ้นยืน บิดคอและขยับแขนขาไปมา พร้อมกับเอ่ยว่า “นานแล้วที่ข้าไม่ได้ขยับแข้งขยับขา ข้ารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว”
หลังจากได้ฟังนางเอ่ยพูดแล้ว เมิ่งเสียนก็รู้สึกเสียใจ หากเขารู้ว่านางจะทำเช่นนี้แต่แรก ตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางมาจวนอ๋องเพื่อปรึกษากับนางเด็ดขาด
ไม่ว่าในใจเขาจะรู้สึกเสียใจเช่นไร เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ใส่ใจและก้าวเดินออกไป เมิ่งเสียนทำอะไรไม่ได้จึงทำได้เพียงแต่เดินตามหลังนางออกไป
ภายในโรงเตี๊ยม
หลังจากที่เศรษฐีหวังพิจารณาดูแล้ว เขาก็ขึ้นไปยังชั้นบนด้วยใบหน้าเคร่งขรึมและให้บ่าวรับใช้ไปเคาะประตูห้องพ่อลูกตระกูลหลี่
“จะเคาะอะไรนักหนา มีสิ่งใดก็รีบเอ่ยมา มีลมก็ให้รีบผายเสีย!”
หลี่เหล่าซานตะโกนผ่านประตูออกมาจากด้านในด้วยความหงุดหงิด
ใบหน้าเศรษฐีหวังดำทะมึนยิ่งขึ้นและส่งสายตาสั่งบ่าวรับใช้ บ่าวรับใช้เข้าใจ จึงยกเท้าขึ้นถีบประตูให้เปิดออก
ไม่เพียงแต่ผู้คนในโรงเตี๊ยมเท่านั้นที่ตกใจแล้วหันมามอง แม้แต่พ่อลูกตระกูลหลี่ทั้งสามคนก็ยืนขึ้นด้วยความตกใจเช่นกัน
เศรษฐีหวังเดินเข้าไปในห้องอย่างช้าๆ กวาดตามองไปที่คนเหล่านี้ เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายหลี่เหล่าฮั่น
“ท่าน ท่านจะทำอันใด”
เมื่อเห็นรังสีของเขาแล้วก็รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี หลี่เหล่าซานกลืนน้ำลายและเอ่ยถามด้วยความระมัดระวังว่า
เศรษฐีหวังโบกมือ บ่าวรับใช้ก็รีบปิดประตู
ภายในห้องเงียบสงบลง
เศรษฐีหวังเหลือบมองไปที่ผู้คนเหล่านี้แวบหนึ่งและเอ่ยขึ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “ข้าจะทำอันใด มันควรจะเป็นข้าที่ถามพวกเจ้าว่า พวกเจ้าจะทำอันใด ในคราแรกข้าก็เอ่ยอย่างชัดเจนแล้วว่า เมื่อมาถึงเมืองหลวงให้เชื่อฟังข้าทุกอย่าง แต่ในตอนนี้ที่พวกเจ้าได้พบกับเมิ่งชิงแล้วก็กล้าที่จะแข็งข้อกับข้า ทั้งยังกล้าที่จะตะโกนใส่ข้าด้วยท่าทางหยิ่งยโสอีกด้วย เชื่อหรือไม่ว่า ถ้าข้าไม่ช่วยออกเงินให้พวกเจ้าสักตำลึง ดูสิว่าพวกเจ้าจะมีชีวิตรอดในเมืองหลวงได้เช่นไร!”
[1] เอาซาลาเปาไส้หมูไปขว้างใส่สุนัข หมายถึง เมื่อมอบของให้ใครไปแล้วก็ยากที่จะได้คืน