หลี่เหล่าซานแค่นเสียงเหยียดๆ เดินกร่างไปนั่งเก้าอี้ตรงหน้าตนเอง “ข้าก็นึกว่ามีเรื่องอันใด ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง ข้าจะบอกท่านให้นะว่า วันนี้พวกเราได้พบกับชิงเอ๋อร์แล้ว เขาขี่ม้าตัวใหญ่ สวมชุดเกราะสีเงิน นั่งอยู่บนหลังม้าด้วยท่าทางสง่างาม พบกันครั้งแรกก็ให้ตั๋วเงินห้าสิบตำลึงกับพวกเราเลย พวกเรายังต้องกลัวท่านข่มเหงอีกหรือ”
เศรษฐีหวังยิ้มเย็น ถามพวกเขากลับว่า “ห้าสิบตำลึงนั่น เกรงว่าจะไม่ได้มอบให้พวกเจ้าหรอก มอบให้หลี่เซิ่งไว้รักษาบาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บเสียมากกว่า”
เมื่อถูกเอ่ยเรื่องจริงออกมา หลี่เหล่าซานก็เก็บอาการบนใบหน้าเอาไว้ไม่อยู่ ตะคอกเสียงดังว่า “แล้วเป็นอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรพวกเราทั้งครอบครัวก็มีเงินห้าสิบตำลึงนี่ จะกินดื่มหาความสำราญในเมืองหลวงเช่นไรก็ได้ ทั้งยังไม่ต้องถูกพวกเจ้าข่มเหงด้วย”
เศรษฐีหวังหัวเราะพรืด “เกรงว่าเจ้าคงกำลังฝันหวานอยู่สินะ เงินห้าสิบตำลึงนี้ คิดกินดื่มหาความสำราญในเมืองหลวง เจ้ารู้ไหมว่าโรงเตี๊ยมที่เจ้าพักอยู่ห้องละเท่าใด”
หลี่เหล่าซานแกว่งขาที่นั่งไขว่ห้างไปมา เอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “ได้ยินมาว่าโรงเตี๊ยมในเมืองชิงซีของพวกเราคืนละสิบเหวิน ถึงในเมืองหลวงจะแพงไปเสียหน่อย สักหนึ่งร้อยเหรียญทองแดงก็คงจะพอได้อยู่นะ”
เศรษฐีหวังยิ้มเยาะแล้วยิ้มเยาะอีก “หนึ่งร้อยเหวิน ราคานี้เกรงว่านอนข้างถนนก็ยังไม่ได้เลย”
หลี่เหล่าฮั่นที่อาวุโสกว่าหลายสิบปีได้ยินแล้วก็เข้าใจความหมายของเศรษฐีหวัง ถามด้วยท่าทีกระสับกระส่ายว่า “เช่นนั้นต้องเท่าใดกันเล่า”
เศรษฐีหวังชูนิ้วมือออกมาสองนิ้ว
หลี่เหล่าฮั่นเบิกตากว้าง กลืนน้ำลายไปหลายอึก “สองร้อยเหวินหรือ”
นั่นก็แพงเกินไปนะ เงินสองร้อยเหวินใช้จ่ายภายในบ้านก็ใช้ได้เป็นเดือนแล้ว
เศรษฐีหวังเยาะเย้ย “สองร้อยตำลึง!”
ตึง!
ตึง!
ตึง!
เสียงของร่วงกระทบกับพื้นติดต่อกันสามครั้ง
หลี่เหล่าฮั่นถามด้วยน้ำเสียงที่พร้อมจะเป็นลมว่า “เท่า เท่าใดนะ”
เศรษฐีหวังเน้นเสียงหนัก “สองร้อยตำลึง”
ลูกตาของพ่อลูกตระกูลหลี่สามคนแทบจะถลนออกมา เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้าอยู่ชั่วครู่หนึ่ง หลี่เหล่าซานก็กระโดดตัวลอย ตะโกนถามว่า “เจ้าอย่ามาหลอกพวกข้าเลย จะเป็นไปได้เช่นไร สองร้อยตำลึง?”
เศรษฐีหวังคร้านจะสนทนาด้วย “หากเจ้าไม่เชื่อ ก็ลองลงไปถามดูก็ได้ว่า ที่ข้าพูดไปนั้นใช่ความจริงหรือไม่”
เมื่อเห็นเขามีท่าทางมั่นใจ หลี่เหล่าซานก็ตะลึงค้างไป “นี่ นี่จะเป็นไปได้เช่นไรกัน”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้เล่า พวกเราพักอยู่ในโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุด ทั้งยังเป็นห้องชุดที่ดีที่สุดในเมืองหลวง ห้องละสองร้อยตำลึงยังจะบอกว่าแพงไปหรือ”
พวกเขาเบิกตากว้าง ตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่เหล่าฮั่นก็ทรุดตัวลงกับพื้น คลานไปข้างเตียงท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองมา และลุกขึ้นขาสั่น ทิ้งตัวลงไปบนเตียง บ่นพึมพำว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะนอนนิ่งๆอยู่บนเตียงไม่ขยับไปที่ใดทั้งสิ้น พวกเจ้ามีเรื่องอันใดก็ไม่ต้องเรียกหาข้า”
ให้มันได้อย่างนี้สิ เงินสองร้อยตำลึง นับจากเขาขึ้นไปอีกสิบชั่วอายุคน เงินของเหล่าบรรพบุรุษตระกูลหลี่รวมกันยังมีไม่มากเท่านี้เลย แต่กลับถูกเขานอนผลาญไปเปล่าๆ เสียอย่างนั้น
หลี่เหล่าซานและหลี่เหล่าเอ้อร์สบตากัน ในใจก็คิดเช่นเดียวกัน ขณะที่จะขยับตัว เสียงเย็นยะเยือกของเศรษฐีหวังก็ดังขึ้น “เช่นไรเล่า ยังรู้สึกว่าเงินห้าสิบตำลึงของพวกเจ้าสามารถกินดื่มอย่างสำราญในเมืองหลวงได้อีกหรือไม่”
ทั้งสองคนส่ายศีรษะไปมาเหมือนกับปอหลังกู่[1]
“เช่นนี้แล้ว พวกเจ้าก็ลองตรองดูให้ดีว่าจะยอมเชื่อฟังข้าหรือไม่”
ทั้งสองคนพยักหน้าเหมือนกับลูกเจี๊ยบที่กำลังจิกข้าวกิน
เมื่อเศรษฐีหวังเห็นว่าสยบพวกเขาได้แล้ว สีหน้าก็อ่อนลงเล็กน้อย “ตอนนี้ บอกข้ามาว่าเกิดอันใดขึ้นในวันนี้กันแน่?”
ทั้งสองคนผลัดกันเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมดคนละคำสองคำ
เศรษฐีหวังขมวดคิ้ว “พวกเจ้าบอกว่าเมิ่งชิงผู้นั้นไม่ยอมรับพวกเจ้าเป็นญาติเช่นนั้นหรือ”
ทั้งสองคนผงกศีรษะ แต่เมื่อรู้สึกตัวก็ส่ายศีรษะไปมา มองไปทางเศรษฐีหวังด้วยความหวาดกลัว
“พวกเจ้าไม่ต้องกลัว ปฏิกิริยาของเมิ่งชิงอยู่ภายใต้การคาดการณ์ของข้า ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็เป็นญาติ เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ตอนนี้เขากำลังโมโห รอให้ผ่านไปสักระยะหนึ่งก็จะดีขึ้นเอง พวกเจ้าฟังข้าให้ดี นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอย่าออกไปรบกวนเขาถึงที่จวนอีก หลังจากนี้สามวัน ข้าจะให้คนจัดการให้พวกเจ้าได้พบหน้ากับเขา ถึงตอนนั้นก็ไม่แน่ว่าท่าทีของเขาจะอ่อนลงแล้ว”
ทั้งสองคนผงกศีรษะ
เศรษฐีหวังเอ่ยกำชับอย่างพอใจ “พวกเจ้าก็อยู่ในห้องดีๆ อย่าออกไปก่อเรื่องข้างนอกเล่า!”
ทั้งสองคนผงกศีรษะอีกครั้ง
เศรษฐีหวังลุกขึ้นยืนและเดินออกไป ขณะที่ก้าวออกจากประตูก็ยิ้มมุมปากอย่างได้ใจ พวกบ้านนอกที่ไม่เคยพบเจอโลกกว้าง คิดจะสู้กับเขา ก็ไม่คิดเสียบ้างว่ากว่าเขาจะมีทุกวันนี้ได้ ก็สู้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงตนเองทั้งนั้น จะเป็นเจ้านายที่ให้ผู้อื่นมาหยามได้เช่นไรเล่า คุ้มค่ากับเงินสองร้อยตำลึงแล้วหรือ แค่จะขู่ให้คนพวกนั้นตกใจ เขาไม่เชื่อหรอกว่าพวกไร้สมองพวกนั้นจะไปถามจั่งกุ้ย
ภายในห้องเงียบกริบ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เสียงของหลี่เหล่าซานถึงได้ดังขึ้นมา “พี่ พี่รอง ข้า ข้าไม่ได้ฝันไปสินะ ห้องที่พวกเราพัก สอง สองร้อยตำลึงเลยหรือ”
หลี่เหล่าซานพูดลิ้นพันกัน “น่า น่าจะใช่นะ เศรษ เศรษฐีหวังคงจะไม่ ไม่โกหกพวกเราหรอก”
“สวรรค์ เช่นนั้นก็หมายความว่า ข้านั่งอยู่ที่นี่ไปอีกชั่วครู่หนึ่งก็เสียไปหลายร้อยตำลึงแล้วหรือ?”
หลี่เหล่าเอ้อร์ผงกศีรษะ “ก็ประมาณนั้น”
“เช่นนั้นวันนี้ที่พวกเราไปหาเมิ่งชิง ใช้เวลาไปกลับหลายชั่วยามถึงเพียงนั้น ก็คงจะต้องใช้เงินหลายสิบตำลึง?”
หลี่เหล่าซานเอ่ยถามต่อ
หลี่เหล่าเอ้อร์ก็ผงกศีรษะ
“ขาดทุนครั้งใหญ่ ขาดทุนครั้งใหญ่เสียแล้ว” หลี่เหล่าซานเอ่ย พลางจับแขนหลี่เหล่าเอ้อร์ “พี่รอง พวกเราขาดทุนเสียแล้ว เมิ่งเสียนก็ไม่นับเป็นตัวอะไร ให้พวกเราแค่ห้าสิบตำลึง คิดๆ ดูแล้วพวกเราขาดทุนครั้งใหญ่เลยทีเดียว?”
หลี่เหล่าเอ้อร์แหงนศีรษะเอนตัวนอนลงบนพื้น “เหล่าซาน ไม่ต้องพูดแล้ว รีบนอนลงเร็วเข้า เจ้าคิดดูสิว่าพวกเรานั่งกับพื้นก็เสียเงินเท่านี้ นอนกับพื้นก็เสียเงินเท่านี้ ถ้าเจ้ายังนั่งพูดอยู่อีกจะไม่ขาดทุนไปกันใหญ่หรือ”
หลี่เหล่าซานได้ยินแล้วก็รีบนอนลงกับพื้น “พี่รองพูดถูก พวกเราจะขาดทุนไปมากกว่านี้ไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนรถม้า นำหวงฝู่อี้ เมิ่งเสียนและองครักษ์ลับอีกหลายมายังโรงเตี๊ยมฝูชัง เสี่ยวเอ้อร์เห็นสัญลักษณ์จวนอ๋องฉีบนรถม้า ก็วิ่งเข้ามารายงานในโรงเตี๊ยมอย่างแตกตื่น “จั่งกุ้ย รถม้าจวนอ๋องฉีมาถึงแล้ว”
จั่งกุ้ยตกใจรีบเดินออกมาจากหลังโต๊ะคิดเงินเพื่อออกไปต้อนรับ
เมื่อรถม้าหยุด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลงจากรถม้า
ดูจากอายุของนางแล้วน่าจะเป็นพระชายาซื่อจื่อ จั่งกุ้ยถวายบังคมอย่างตื่นตระหนกจนเหงื่อโซมกาย “ถวายบังคมพระชายาซื่อจื่อ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เขาแวบหนึ่ง เห็นเหงื่อที่ซึมออกมาบนหน้าผากและร่างกายที่สั่นเล็กน้อยแล้ว ก็แย้มรอยยิ้ม “จั่งกุ้ยอย่าได้ตื่นตระหนกไป ข้าได้ยินมาว่ามีญาติที่ไม่ได้พบกันหลายสิบปีมาที่เมืองหลวงและพักอยู่ในโรงเตี๊ยมของพวกเจ้าจึงตั้งใจมาเยี่ยมเยียนสักหน่อย ไม่ทราบว่าพวกเขาพักอยู่ที่ชั้นใดหรือ”
ชื่อเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวนี้เป็นที่ร่ำลือทั่วเมืองหลวง ว่ากันว่าเป็นคนเอาแต่ใจอย่างที่สุด หากถูกชะตาใครเข้า ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนพวกใคร หรือแม้แต่ขอทานก็ยังคบหาด้วย แต่หากไม่ถูกชะตาขึ้นมาล่ะก็ ต่อให้ใหญ่โตร่ำรวยมาจากที่ใด นางก็ไม่สนใจ อีกทั้งซื่อจื่อก็รักใคร่เอ็นดูนางเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าการที่นางมาโรงเตี๊ยมของตนเองในวันนี้จะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่
จั่งกุ้ยที่ใจไม่ดี เอ่ยตอบด้วยความระมัดระวังว่า “เรียนพระชายาซื่อจื่อ พวกเขาอยู่ที่ชั้นสอง ต้องการให้ข้าน้อยเรียกพวกเขาลงมาหรือไม่พะยะค่ะ”
[1] ปอหลังกู่ หรือกลองป๋องแป๋ง เป็นเครื่องดนตรีโบราณ ปัจจุบันใช้เป็นเครื่องให้สัญญาณในพิธีกรรมบางพิธี เป็นเครื่องมือในการค้าขายสินค้าประเภทผ้า และเป็นของเล่นเด็ก