ตอนที่ 807 ทางเลือกของตระกูลเฝิง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ตระกูลเฝิงถือเป็นตระกูลที่ดำรงอยู่มานานหลายร้อยปีและมีศิษย์ถึงหลายร้อยคน ศิษย์หลายคนในตระกูลก็สืบทายาทมาจากบรรพบุรุษที่อยู่ในตระกูลเฝิงมาช้านานและเรียกได้ว่าตระกูลเฝิงก็เปรียบเสมือนครอบครัวของพวกเขา หากตระกูลถูกยุบไปจริง ๆ พวกเขาคงจะทุกข์ใจและไร้ที่ไป นอกจากนี้ยังมีศิษย์อีกจำนวนหนึ่งและผู้อาวุโสหลายคนที่อุทิศตนทำทุกอย่างเพื่อตระกูลเฝิงมาตลอดและคุ้นเคยกับที่นี่ราวกับเป็นบ้านเกิดของพวกเขา การที่ต้องจากที่นี่ไปและเริ่มต้นใหม่จึงมิใช่หนทางที่พวกเขาจะรู้สึกยินดี

เมื่อเฝิงหยาง —หนึ่งในผู้อาวุโสของตระกูลเฝิงเห็นว่าทั้งเฝิงเยี่ยและเฝิงเตาไม่สนใจตำแหน่งผู้นำตระกูล ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของเขา

หากได้ฉินอวี้โม่มาเป็นผู้นำตระกูลเฝิงคนใหม่ มันจะมีผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ต่อทั้งตระกูลเฝิงอย่างแน่นอน

หลังจากเหตุการณ์ครานี้ ชื่อเสียงและเกียรติยศของฉินอวี้โม่จะเลื่องลือไปทั่วอย่างแน่นอน กอปรกับความสัมพันธ์อันดีระหว่างนางและสามตระกูลใหญ่ หากนางเลือกที่จะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนใหม่ พลังอำนาจและอิทธิพลของตระกูลเฝิงจะพัฒนาขึ้นแทนที่จะตกต่ำลงเพราะผลจากการกระทำของผู้นำคนก่อน

ก่อนหน้านี้เฝิงรุ่ยเฉิงก็เคยชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับฉินอวี้โม่ให้กับพวกเขา พวกเขาจึงทราบว่านางมาจากอำเภอซ่างหยวนและไม่มีตระกูลใดอยู่เบื้องหลัง หากเป็นอดีตก่อนหน้า พวกเขาไม่มีทางยินยอมให้จอมยุทธ์จากอำเภอเล็ก ๆ มาเป็นผู้นำตระกูลของตนอย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

นี่เป็นหนทางเดียวและเป็นทางที่ดีที่สุดในการรักษาตระกูลเฝิงไว้ ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ก็ยอดเยี่ยมมากพอที่จะทำให้พวกเขายอมรับได้ อีกทั้งนางยังเป็นผู้ครอบครองป้ายจ้าวสมุทรของตระกูลทรงอิทธิพลอย่างตระกูลหลานอีกด้วย

“ให้ข้าเป็นผู้นำตระกูลของพวกเจ้างั้นรึ ?”

ฉินอวี้โม่กระตุกยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินวาจาของบุรุษผู้นั้น แน่นอนว่านางคาดเดาความคิดของเขาได้ไม่ยากทว่ายังไม่รีบร้อนปฏิเสธกลับไป

นางไม่เคยมีความคิดนี้ในหัวมาก่อน ทว่าเมื่อคนตรงหน้าเสนอเช่นนี้ก็ถือเป็นการจุดประกายความคิดใหม่ขึ้นมา…

ต้องยอมรับเลยว่าตระกูลเฝิงมิใช่ตระกูลที่อ่อนแอแถมยังมีศิษย์มากพรสวรรค์จำนวนไม่น้อย หากได้พึ่งพาอาศัยความสามารถของคนเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของตน ฉินอวี้โม่เชื่อว่าพวกเขาจะมีส่วนช่วยนางได้ในอนาคตข้างหน้า ยิ่งไปกว่านั้น อำเภอซ่างหยวนก็เป็นเพียงอำเภอเล็ก ๆ ในมุมหนึ่งของดินแดน ฉื่อซิ่งเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าหากมีโอกาส เขาก็ต้องการพัฒนาฝีมือศิษย์สายตรงของตระกูลให้ก้าวหน้าจนถึงขั้นตั้งรกรากถิ่นฐานในเมืองใหญ่ ๆ ได้ บางทีฉินอวี้โม่ก็อาจจะใช้โอกาสนี้เพื่อย้ายตระกูลฉื่อเข้ามาที่เมืองเทียนหยวน

“แม่นางอวี้โม่ แม้ตระกูลเฝิงจะมิใช่ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด พวกเขาก็ไม่เลวเลยทีเดียว ท่านรับไว้ก็ไม่เสียหายอะไร”

หลานเผิงเดินเข้ามาข้างฉินอวี้โม่ก่อนกล่าวขึ้นเบา ๆ สำหรับเขาแล้ว แม้ตระกูลเฝิงไม่ดีพอที่จะอยู่ในสายตาของเขา ทว่าถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังถือเป็นตระกูลระดับสองที่มีศิษย์กว่าหลายร้อยคน ตราบใดที่จัดการปฏิรูปใหม่ให้เหมาะสม พลังอำนาจของพวกเขาก็อาจเหนือกว่าตระกูลโจวเสียอีก สำหรับอุปสรรคขวากหนามต่าง ๆ ที่ฉินอวี้โม่จะต้องเผชิญในอนาคต เชื่อว่าตระกูลเฝิงจะช่วยนางได้อย่างแน่นอน

“ถูกต้อง น้องอวี้โม่ ถึงอย่างไรตระกูลเฝิงก็พยายามคิดร้ายและหมายจะจัดการเจ้ามาโดยตลอด ตอนนี้ในเมื่อเจ้าโค่นล้มตระกูลเฝิงได้แล้วและมีโอกาสควบคุมทั้งตระกูลไว้ในกำมือ ข้าคิดว่าไม่มีสิ่งใดที่เสียหายเลย”

โหรวฉิงเดินเข้ามาและกล่าวพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน

หากฉินอวี้โม่ตอบตกลงและกลายเป็นผู้นำตระกูลเฝิงคนใหม่ นางและผู้นำคนอื่น ๆ ก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างตระกูลใหญ่ ๆ ของเมืองเทียนหยวนอีกต่อไป

“เป็นจริงอย่างที่ว่า ด้วยความแข็งแกร่งของเสี่ยวอวี้โม่ ในไม่ช้าตระกูลเฝิงจะกลายเป็นตระกูลอันดับสี่ได้แน่ เมื่อถึงเวลานั้น การที่เราทั้งสี่ตระกูลจะอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มันก็คงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย”

เฉินเซี่ยวลั่วกล่าวราวกับไม่เห็นตระกูลโจวอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

โจวปิ่งฮุยก็ต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เขาเองก็รู้สึกเช่นกันว่าหากมีฉินอวี้โม่เป็นผู้นำ ตระกูลเฝิงจะพัฒนาจนเหนือกว่าตระกูลโจวของตนได้อย่างง่ายดาย เดิมทีพวกเขาก็เป็นตระกูลรั้งท้ายในสี่ตระกูลใหญ่อยู่แล้ว เกรงว่าในอนาคตอันใกล้ พวกตนจะต้องตกไปเป็นตระกูลอันดับห้าของเมืองเทียนหยวนอย่างไม่มีทางเลือก

“ผู้อาวุโสใหญ่ โปรดช่วยโน้มน้าวใจนางด้วยเถอะ ด้วยการที่มีศิษย์ตระกูลเฝิงมากมายเช่นนี้ หากตระกูลถูกยุบตัวลงไป เราก็ไม่ทราบเลยว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป”

เฝิงหยางสนิทสนมกับเฝิงเตาพอสมควร เขาจึงเดินเข้าไปหาผู้อาวุโสใหญ่และกล่าวด้วยสายตาที่เหมือนจะวิงวอน

“จอมยุทธ์อวี้โม่ เรื่องนี้…”

เฝิงเตาเงยหน้าสบตากับฉินอวี้โม่ด้วยแววตาละอายใจ

แม้เฝิงรุ่ยเฉิงและเฝิงต้าเป่าจะทำสิ่งที่ชั่วร้ายอย่างไม่น่าให้อภัย ทว่าบรรดาศิษย์คนอื่น ๆ ของตระกูลเฝิงก็ไม่เลวร้ายเสียทีเดียว หากตระกูลเฝิงสลายตัวไปจริง ๆ เฝิงเตาเองก็กังวลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของศิษย์หลายคน โดยเฉพาะบรรดาศิษย์ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขามาตลอด เฝิงเตาไม่อาจปล่อยให้พวกเขาเผชิญกับความยากลำบากได้

“ข้าเป็นผู้นำคนใหม่ของทุกคนได้ ทว่าในอนาคตต่อไปจะไม่มีตระกูลเฝิงอีก หากแต่เป็นตระกูลฉิน ยิ่งไปกว่านั้น ทุก ๆ คนจะต้องยอมจำนนต่อข้าอย่างสมบูรณ์และมันต้องเป็นความเต็มใจมิใช่ยอมเพียงเพราะจะได้อยู่ในตระกูลต่อไป ในภายภาคหน้า ผู้ใดก็ตามที่กล้าแปรพักตร์เปลี่ยนใจหรือทรยศหักหลังตระกูล ข้าจะไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอน !”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะให้กับเฝิงเตาก่อนกวาดสายตามองสมาชิกตระกูลเฝิงทุกคนและกล่าวเสียงดังฟังชัด

“พวกเราเข้าใจ ในเมื่อเรายินดีรับใช้ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ในฐานะผู้นำแล้ว เราจะรับใช้ด้วยความเต็มใจและไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะทรยศหักหลังอย่างแน่นอน”

เฝิงหยางถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกล่าวยืนยันความคิดของตนออกไปทันที

อันที่จริง เขาก็มีเจตนาที่เห็นแก่ตัวส่วนหนึ่งสำหรับการที่ต้องการรักษาตระกูลเฝิงไว้ ความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของเขาไม่ได้โดดเด่นนักและกว่าที่เขาจะได้กลายเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลเฝิงก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์ตนเองนานหลายปี หากตระกูลนี้ต้องยุบสลายไปจริง ๆ และทุกคนต้องแยกย้ายไปตามทาง เขาก็จะไม่มีที่ไปอย่างแน่นอน

หากต้องเข้าร่วมกับตระกูลเล็ก ๆ เฝิงหยางก็คงไม่เต็มใจนัก ทรัพยากรของตระกูลเล็กมีน้อยเกินไปสำหรับคนที่คุ้นชินกับตระกูลเฝิงอย่างเขา ทว่าหากเข้าร่วมกับตระกูลใหญ่ตระกูลอื่น เขาก็ไม่มีวันได้พัฒนากลายเป็นบุคคลสำคัญของตระกูล

เฝิงหยางไม่ชอบวิธีการของเฝิงรุ่ยเฉิงมานานแล้ว หากตำแหน่งผู้นำถูกแทนที่ด้วยผู้ที่เพียบพร้อมรอบด้านอย่างฉินอวี้โม่ เขาก็ยินดีอย่างที่สุด อย่างน้อยในอนาคตข้างหน้าเขาและคนอื่น ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความบาดหมางกับตระกูลใหญ่อื่น ๆ และไม่ต้องฝืนทำสิ่งชั่วร้ายที่ไม่เต็มใจทำอีกต่อไป

“ทุกคน หากผู้ใดต้องการจำนนต่อผู้นำตระกูลคนใหม่จากใจจริงก็อยู่ที่นี่ต่อ หากไม่ต้องการก็เชิญไปได้เลย เราจะไม่บังคับขู่เข็ญผู้ใด ข้าจะหารือกับผู้นำตระกูลคนใหม่และจัดหาค่าชดเชยให้กับพวกเจ้าตามความเหมาะสม มั่นใจได้เลยว่าการที่พวกเจ้ามีส่วนร่วมต่อตระกูลเฝิงมาตลอดหลายปีจะไม่สูญเปล่าไป”

เฝิงหยางกวาดสายตามองสมาชิกตระกูลเฝิงทุกคนในที่แห่งนี้และกล่าวออกไป

ฉินอวี้โม่เพียงนิ่งเงียบและไม่กล่าวสิ่งใด ทว่าในใจของนางก็รู้สึกประทับใจในตัวของเฝิงหยางเล็กน้อย บุรุษผู้นี้มีพรสวรรค์บางอย่างที่ควรค่าแก่การฝึกฝน หากฝากฝังความรับผิดชอบไว้ที่เขา เขาก็น่าจะจัดการดูแลตระกูลเฝิงได้เป็นอย่างดี

“เรายินดีที่จะอยู่ร่วมกับตระกูลเฝิงต่อไปและติดตามผู้นำคนใหม่”

คนส่วนใหญ่ไม่ลังเลและกล่าวแสดงเจตนาของตนอย่างแน่วแน่ การเลือกรับใช้และติดตามฉินอวี้โม่มิใช่เรื่องที่ตัดสินใจยากเลยสักนิด ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงการเปลี่ยนผู้นำและชื่อตระกูลใหม่ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของพวกเขามากนัก

“ท่านผู้อาวุโส เฝิงเยี่ย อย่าเพิ่งรีบไปไหนล่ะ พาคนเหล่านี้กลับไปที่จวนตระกูลเฝิงก่อนเถอะและข้าจะจัดการเรื่องนี้ในภายหลัง”

ฉินอวี้โม่กล่าวกับเฝิงเตาและเฝิงเยี่ย หากเป็นไปได้ นางก็อยากให้พวกเขาอยู่ต่อไปอีกสักพัก

“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันก่อนเถอะ”

เฝิงเตาพยักศีรษะและไม่คัดค้านแต่อย่างใด

“เฝิงหยาง พาทุกคนกลับไปก่อนและจัดการทุกอย่างตามที่เจ้ากล่าวไว้เมื่อครู่ สำหรับผู้ที่ไม่อยากอยู่ต่อ จัดการเตรียมค่าชดเชยให้พวกเขาไป สำหรับผู้ที่ยินดีอยู่ต่อก็รอข้าสักพัก ข้ามีเรื่องต้องหารือกับผู้นำตระกูลคนอื่น ๆ ก่อนกลับไป”

ฉินอวี้โม่ถ่ายทอดคำสั่งให้กับเฝิงหยางซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจที่มีต่อเขาพอสมควร

“ขอรับ ท่านผู้นำ”

เฝิงหยางพยักศีรษะและรับคำสั่งอย่างนอบน้อมก่อนนำทางสมาชิกตระกูลเฝิงทุกคนกลับไปที่จวนตระกูลเฝิง

“หากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พวกเราก็ขอตัวก่อน”

โจวปิ่งฮุยกล่าวลาเพื่อกลับไปที่จวนตระกูลของตนเช่นกัน เขาต้องกลับไปเตรียมบางอย่างให้ฉินอวี้โม่และทั้งสามตระกูลเพื่อแทนคำขอโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ผู้นำโจว อยู่ต่อและหารือร่วมกันก่อนเถอะ”

ฉินอวี้โม่มองโจวปิ่งฮุยและกล่าวเชิญชวนซึ่งแสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่นางมีต่อตระกูลโจวได้เป็นอย่างดี