บทที่ 1552 พบหวังเฟยครั้งแรก

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

“ไม่ไปค่ะ!” ในห้องมีเสียงปฏิเสธดังมา

เม่ยเหนียงรีบก้าวเข้าไป เห็นลูกสาวกำลังนั่งก้มหน้าอยู่ข้างเตียง ผ้าไหมงดงามที่อยู่ในมือโดนฉีกจนกลายเป็นเส้นๆ

เขาเดินไปข้างหน้าแล้วดึงแขนลูกสาวขึ้นมาเสียเลย ก่อนจะต่อว่าอย่างโมโห “สิ่งที่ควรพูดข้าก็พูดกับเจ้าไปหมดแล้ว เจ้ายังมาดื้อด้านอะไรอีก? ตอนนี้เจ้าหนักอกหนักใจ รอให้เจ้าแต่งออกไปแล้วมีคนอิจฉา เจ้าก็จะรู้เองว่าแม่หวังดีกับเจ้า!”

“ไม่แต่งค่ะ! ถ้าจะแต่งท่านก็แต่งเองสิ!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์กระทืบเท้า

เพี้ยะ! เม่ยเหนียงตบก้นนางหนึ่งที แล้วตะคอกอีกว่า “พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า! เขาไม่ดีตรงไหน เจ้าบอกมาซิว่าในบรรดาคนที่เจ้ารู้จัก มีใครดีกว่าเขาบ้าง!”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์พูดเหยียดว่า “ท่านเห็นมั้ยว่าเขาโหดเหี้ยม ดุเหมือนผีห่าซาตาน พอเข้าเมืองมาก็ฆ่าคน คนแบบนี้ควรจะกล้าแต่งงานด้วยล่ะ”

เม่ยเหนียงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เขาเพิ่งนำทหารทำศึกกลับมาไง บนสนามรบใครเขาวางมาดผู้ดีกันเสียที่ไหน แบบนั้นแปลว่าไม่อยากมีชีวิตรอดแล้ว! แบบนั้นไม่เรียกโหดหรอก นั่นเรียกว่าพลังอำนาจของลูกผู้ชาย รอให้ในตอนหลังเจ้าได้อยู่กับเขาจริงๆ เจ้าก็ย่อมค้นพบความดีของเขา”

“ท่านแม่!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์กอดแขนนาง แล้วขอร้องว่า “เขากอดผู้หญิงคนนั้นอยู่บนกำแพงเมือง ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ถ้าข้าแต่งงานกับเขาจริงๆ ข้าจะไม่โดนคนอื่นหัวเราะเยาะเหรอ!”

เม่ยเหนียงพร่ำบ่นเพราะอยากให้ได้ดี “นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย เรื่องนี้แม่รับประกันกับเจ้าได้ แม่จะต้องแก้ไขปัญหาให้เจ้าแน่นอน ใครก็มาเป็นภัยคุกคามต่อตำแหน่งฮูหยินเอกของลูกไม่ได้ทั้งนั้น แม่จะไม่ใช่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ส่วนคนอื่นจะหัวเราะเยาะยังไง เจ้าก็มองให้มันเป็นเรื่องขำๆ แล้วกัน ต่อไปยามผู้ชายของเจ้าได้กลายเป็นท่านโหว กลายเป็นเทพประจำดาว ส่วนผู้ชายของพวกนางกลับไม่ได้ทำการทำงาน เอาแต่พึ่งพาตระกูลเพื่อใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะช่วงชิงยศสตรีให้เจ้า หรือไม่ผู้ชายของพวกนางมาเป็นลูกน้องของผู้ชายของเจ้า ต้องเกรงใจเจ้า เจ้าก็คอยดูแล้วกันว่าใครจะหัวเราะเยาะใคร! แล้วอีกอย่างนะ ถ้าเจ้าอยากจะให้คนอื่นหัวเราะเยาะ เจ้าก็ต้องมีคุณสมบัตินั้นก่อนนะ เจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะถูกใจเจ้าแน่เหรอ!”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์พ่นเสียงทางจมูก “ไม่ถูกใจก็ดีน่ะสิ ข้าไม่ได้ขาดแคลนเสียหน่อย!”

พอได้ยินนางพูดแบบนี้ เม่ยเหนียงก็เดือดดาลเต็มที่แล้ว นี่เจ้าจงใจจะทำให้เรื่องเสียใช่มั้ย? จึงดึงนางมาอยู่ตรงหน้าตัวเอง ชี้จมูกนางพลางตวาดด้วยสีหน้าดุร้าย “ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้นะ วันนี้เจ้าต้องทำตัวดีๆ ถ้าเจ้าทำเรื่องนี้พัง กลับไปข้าจะหาใครสักคนที่ทำให้เจ้าร้องไห้ไปทั้งชีวิตมาแต่งงานกับเจ้าทันที ให้เจ้าเสียใจทีหลังไปทั้งชีวิต!”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้มหน้าลงอย่างรู้สึกได้รับความไม่ยุติธรรม ก่อนหน้านี้ถูกมารดาพูดระบายความทุกข์และความเกี่ยวโยงที่ร้ายแรงต่างๆ นาๆ โน้มน้าวจนใจอ่อนแล้ว แต่มาเปลี่ยนความคิดกะทันหันตอนใกล้จะถึงเวลาก็เพราะดัดจริตอิดออดนิดหน่อยเท่านั้นเอง นางไมได้รู้สึกต่อต้านอะไรเหมียวอี้ ที่มากกว่านั้นคือความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เหมือนจะเฝ้ารอ และเหมือนจะกังวลมากเช่นกัน ที่มากกว่านั้นคือไม่อยากเสียหน้า อยากจะหาบันไดลงและพิสูจน์สักหน่อยว่าตัวเองโดนบังคับถึงได้ยอมให้ความร่วมมือ นึกไม่ถึงว่ามารดาจะพูดจาร้ายแรงขนาดนี้

เมื่อเห็นนางเป็นแบบนี้ เม่ยเหนียงก็เข้าใจกระจ่างโดยฉับพลัน และตระหนักอะไรบางอย่างได้ ถึงอย่างไรนางก็เคยเป็นสตรีโสดมาก่อน นางจึงเปลี่ยนเป็นพูดอย่างอ่อนโยนทันที “เม่ยเอ๋อร์ เชื่อฟังแม่ไว้น่ะถูกแล้ว แม่เคยผ่านมาก่อน เริ่มจากฐานะต่ำต้อยจนมาถึงทุกวันนี้ มีผู้ชายแบบไหนบ้างที่แม่ไม่เคยเจอ? ยังไม่ต้องพูดถึงสาเหตุอื่นเลย อาศัยแค่ที่เขายอมก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้เพื่อช่วยคนคนหนึ่ง นี่ก็นับว่าเป็นคนมีคุณธรรมน้ำมิตรแล้ว เขาไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไรหรอก แม่ยอมรับนะว่าตอนแรกที่อยากให้เจ้าแต่งงานกับเขาเป็นเพราะคิดเรื่องผลประโยชน์ แต่พอมาดูตอนนี้แล้ว ถ้าได้คนที่มีคุณธรรมน้ำมิตรแบบนี้มา แม่ก็วางใจที่จะให้เจ้าแต่งงานด้วย ถ้าพูดถึงในด้านต่างๆ ตอนนี้แม่ก็หาผู้ชายที่เหมาะสมกว่านี้ให้เจ้าไม่ได้แล้ว เม่ยเอ๋อร์ อาศัยฐานะของเจ้า สมบัติอันล้ำค่านั้นหาง่าย แต่สามีที่มีรักแท้นั้นหายาก! คำว่า ‘รัก’ นี้ไม่ใช่ความรักความใคร่นะ แต่หมายถึง ‘ความผูกพันทางด้านจิตใจ’ ความรักใคร่เป็นเพียงความสุขชั่วคราว ยากที่จะรักษาให้คงอยู่ได้นาน มีแค่ผู้ชายที่ให้ความสำคัญกับความผูกพันทางด้านจิตใจอย่างแท้จริงต่างหาก ถึงจะควรค่าให้ฟังทั้งชีวิตไว้! ต่อให้ในภายหลังเจ้าจะไม่สดใหม่แล้ว แต่ก็จะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างขาดความยุติธรรมแน่นอน ไม่ว่าใครก็มาสั่นคลอนตำแหน่งเดิมของเจ้าไม่ได้ แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน เจ้าเข้าใจรึยัง!”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์เริ่มร้องไห้กระซิกๆ แล้ว

เม่ยเหนียงใช้มือสองข้างประคองใบหน้านาง จ้องตาลูกสาวพร้อมถามอย่างอ่อนโยน “เม่ยเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจที่แม่พูดมั้ย?”

 “ค่ะ” ก่วงเม่ยเอ๋อร์สะอึกสะอื้นพลางขานรับเบาๆ

“สมกับเป็นลูกสาวข้าจริงๆ!” เม่ยเหนียงกางแขนสองข้างโอบลูกสาวพลางตบหลังเบาๆ ปลอบโยน ในที่สุดก็สบายใจแล้ว นางหัวเราะคิกคักแล้วช่วยเช็ดน้ำตาให้ลูกสาว แล้วช่วยแต่งตัวใส่เครื่องประดับให้ใหม่ ช่วยจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วกระซิบอย่างนุ่มนวล “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ถ้าร้องไห้จนตาพร่า แล้วอีกประเดี๋ยวจะไปเจอหน้าคนได้ยังไง? อีกสักครู่ไม่มีทางทำให้เจ้าลำบากใจแน่ เจ้าไม่จำเป็นต้องรุกมาก แค่ทำให้อีกฝ่ายเห็นว่าเจ้าเต็มใจก็พอ ชายจีบหญิงนั้นยากดุจขุนเขากั้น แต่หญิงจีบชายนั้นง่ายเหมือนมุ้งกั้น อาศัยความงดงามของเม่ยเอ๋อร์ มีผู้ชายคนไหนบ้างจะไม่หวั่นไหว? เรื่องนี้จะต้องสำเร็จแน่นอน! รอให้ต่อไปพวกเจ้าสองคนได้อยู่ด้วยกันจริงๆ ม้าดีคู่ควรกับอานม้าที่ดี ผู้หญิงดีเหมาะสมกับผู้ชายดี แม่หมายถึงพวกเจ้าสองคน ให้คนที่พูดจาไม่ดีพวกนั้นอิจฉาไปเลย อ้อ แม่ยังรอให้พวกเจ้าสองคนมีหลายให้แม่สักคน ถึงตอนนั้นแม่จะช่วยเจ้าเลี้ยงเอง”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ปาดน้ำตาทันที กระทืบเท้าบอกว่า “ท่านแม่! ถ้าท่านพูดอีกข้าจะไม่ไปแล้วนะ!”

แบบนี้เท่ากับตอบตกลงแล้ว! เม่ยเหนียงรีบยอมแพ้ลูกสาว “ได้ๆๆ แม่ไม่พูดแล้ว รีบแต่งหน้าทำผมสักหน่อย พ่อบ้านโกวทุ่มเทความคิดไปมากมายเพื่อเรื่องแต่งงานของเจ้านะ อย่าทำให้เขารอนาน” พูดจบก็ดันลูกสาวมานั่งตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

ขณะที่มองตัวเองในกระจก พอนึกว่าอีกประเดี๋ยวตัวเองจะต้องเจอกับคนคนนั้น และมีความเป็นไปได้สูงว่าคนคนนั้นจะกลายเป็นสามีของตัวเองในอนาคต เป็นเพราะตัวเองไม่มีทางปฏิเสธการเตรียมการนี้ได้ จึงทำให้นางหัวใจเต้นแรงทันที ในฝ่ามือมีเหงื่อเล็กน้อย ไม่รู้ว่าหลังจากเจอแล้วควรจะพูดอะไรหรือทำอะไร

มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่มีอารมณ์รัก นางเองก็เคยจินตนาการถึงสามีในอนาคตของตัวเองเช่นกัน เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ วันนี้จะมาถึง และไม่เคยคิดมาก่อนด้วยว่าผู้ชายที่ตัวเองต้องแต่งงานด้วยจะเป็นคนที่ประหลาดอัศจรรย์ ราชันสวรรค์แต่งตั้งอันดับหนึ่งให้ ข่มเหงร้านค้าของผู้มีอำนาจในราชสำนักหลายครั้ง มีชื่อเสียงบารมีที่โจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน จับสนมสวรรค์หรูอี้แขวนบนเสาธง ก่อเรื่องในพิธีรับสนมของฝ่าบาทที่อุทยานหลวง ตบหน้าอ๋องสวรรค์อย่างแรง ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกลงโทษให้เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่ก็ยังรอดกลับออกมาได้ อีกทั้งตัวเองยังได้เห็นกับตาว่าคนคนนั้นขู่คุกคามว่าจะล้างเลือดทั้งหมด พลังอำนาจของกำลังพลที่เขาพามาด้วยก็ยิ่งเป็นสิ่งที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน นับว่าสมชื่อจริงๆ

ถึงแม้ตอนที่พูดคุยกับพวกเพื่อนสาว นางจะด่าคนคนนั้นไปบ้างนิดหน่อย แต่มีครั้งไหนบ้างที่ได้ยินข่าวคราวของหนิวโหย่วเต๋อแล้วไม่ฮือฮา โดยเฉพาะครั้งที่ก่อเรื่องที่อุทยานหลวง ขนาดในเรื่องอภิเษกของฝ่าบาทยังกล้าทำอย่างนั้น พวกเพื่อนสาวก็ยิ่งตกตะลึงไม่หยุด

ถ้าพวกเพื่อนสาวได้ยินเรื่องที่ทัพใหญ่ห้าหมื่นโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านแตกพ่าย ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะวิจารณ์กันอย่างไร?

ถ้าพวกเพื่อนสาวรู้ว่าคนชั่วที่พวกนางวิจารณ์ถึงบ่อยๆ กำลังจะกลายเป็นสามีของก่วงเม่ยเอ๋อร์  ก็ไม่รู้ว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร…ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่กำลังส่องกระจกคิดจนเขินอาย ที่จริงในใจนางก็เฝ้ารอมาก ว่าพวกเพื่อนสาวจะมีปฏิกิริยาตกตะลึงเมื่อเจอนาง

ด้านนอกหอฉางเจิน ลูกน้องของเหมียวอี้หยุดรออยู่ข้างนอก อีกฝ่ายอาศัยคำสั่งสวรรค์ข่มคน บอกเพียงว่าให้เหมียวอี้เข้าไปคนเดียว ไม่ว่าใครก็ห้ามบุกเข้าไปรบกวนอีกฝ่ายทำงานตามบัญชาสวรรค์

สภาพแวดล้อมที่หรูหราในสวนย่อมไม่ต้องพูดถึงแล้ว หานตงนำทางอยู่ข้างหน้าตลอดทาง ทุกครั้งที่เจอทางเลี้ยวก็ยื่นมือเชิญอย่างสุภาพเกรงใจ  นำเหมียวอี้มายังป่าเล็กๆ ที่สงบร่มเย็น

ที่ศาลาหลังหนึ่งในป่าเล็ก โกวเยว่กำลังนั่งอยู่ในศาลา ไม่ได้ปลอมแปลงใบหน้า เผยโฉมหน้าที่แท้จริง มีอำนาจบารมีในตัวเอง

เมื่อนำคนมาถึงแล้ว หานตงกุมหมัดรายงานว่า “พ่อบ้านใหญ่ แม่ทัพภาคหนิวมาแล้วขอรับ”

พ่อบ้านใหญ่? เหมียวอี้มองประเมินคนที่นั่งต้มน้ำชาอยู่ในศาลาด้วยอารมณ์สุนทรีย์ กำลังคิดว่าคนคนนี้คงจะเป็นพ่อบ้านใหญ่โกวเยว่ของจวนอ๋องสวรรค์ก่วง?

โกวเยว่หันกลับมามอง แล้วถามทั้งๆ ที่รู้ว่า “เจ้าคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”

“ใช่ขอรับ!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “ไม่ทราบว่าท่านคือใคร?”

โกวเยว่วางงานในมือลง ล้วเดินช้าๆ ออกมาจากศาลา “พ่อบ้านโกวเยว่ของจวนอ๋องสวรรค์ก็คือข้าเอง เป็นเพราะข้าบังเอิญอยู่ที่นี่พอดี ทางทัพตะวันตกสั่งให้ข้ามาเป็นทูตพิเศษ ทำความเข้าใจสถานการณ์ก่อน ถ้าเจ้ามีอะไรสงสัยก็ตรวจสอบกับผู้บังคับบัญชาของเจ้าได้ทันที”

“ไม่ต้องแล้ว ไม่ทราบว่าพ่อบ้านใหญ่ต้องการทำความเข้าใจอะไร?” เหมียวอี้ถาม

“ไม่ต้องเครียดไป ทัพตะวันตกแค่สั่งให้ข้ามาทำความเข้าใจสถานการณ์ก่อนเฉยๆ เรื่องสืบคดีเดี๋ยวรอให้คนที่ทำหน้าที่โดยละเอียดมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” โกวเยว่โบกมือชี้ไปตรงทางเล็กๆ “ผ่อนคลายหน่อย เดินไปคุยไปก็แล้วกัน”

เหมียวอี้เดินตามหลังเขา ทั้งสองเดินทอดน่องอยู่ในสวนป่า หานตงเดินตามหลังสุดโดยรักษาระยะห่าง

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว โกวเยว่ก็หันกลับมายิ้มอย่างอ่อนโยน “ไหนว่ามาซิ ที่มาที่ไปของเรื่องนี้เป็นยังไงกันแน่”

“ข้าน้อยก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น หลังจากข้าออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เรื่องแรกที่ทำก็คือปรับเปลี่ยนกำลังพลให้ไปผลัดเวรเฝ้าสวนบรรณาการ หลังจากกำลังพลมาถึงบริเวณน่านฟ้าระกาติง ใครจะคิดว่าจะบังเอิญเจอโจรราคะเจียงอีอีกำลังจับตัวประกันเข้ามา…” เหมียวอี้กล่าวคำให้การที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว

โกวเยว่ฟังแล้วพยักหน้าไม่หยุด บางครั้งก็แทรกมาคำสองคำ ทั้งสองเดินเที่ยวช้าอยู่ในทางเล็กๆ ที่ไขว้ตัดกันอยู่ในสวนป่า

หลังจากฟังจบ โกวเยว่ก็รู้สึกได้ว่าระฆังดาราที่ใช้ติดต่อหวังเฟยในแหวนเก็บสมบัติกำลังขยับเคลื่อนไหว จึงนำเหมียวอี้เดินไปยังทางเล็กๆ อีกทางในป่าโดยไม่รู้ตัว

ที่จริงป่าแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่ ประเดี๋ยวเดียวก็เดินออกมาแล้ว ข้างหน้าเป็นคลื่นน้ำสีหยก บนทะเลสาบมีศาลากลางน้ำงดงามหรูหรา

เหมียวอี้เพิ่งจะกวาดสายตามองสภาพแวดล้อม แต่ใครจะคิดว่าบนตึกศาลาตรงหน้าจะมีผู้หญิงที่แต่งกายหรูหราคนหนึ่งปรากฎตัว นางยิ้มมาทางนี้พร้อมบอกว่า “พ่อบ้านโกว ไม่ค่อยเห็นเจ้าสบายอารมณ์อย่างนี้เลยนะ ไม่ทราบว่าข้างกายเจ้าคือใคร ทำไมดูแปลกหน้า?”

พอเหมียวอี้เงยหน้ามอง ก็แอบตกตะลึงในความงามของอีกฝ่ายทันที อดไม่ได้ที่จะมองสองรอบ ในใจแอบทอดถอนใจ นึกไม่ถึงว่าในโลกนี้ยังมีผู้หญิงที่สวยเย้ายวนหายากแบบนี้อยู่อีก

โกวเยว่รีบกุมหมัดคารวะ “ตอบหวังเฟย บ่าวไม่ได้เดินเล่นสบายอารมณ์ แต่ได้รับคำสั่งให้สืบคดี ข้างกายบ่าวก็คือแม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อแห่งอุทยานหลวงขอรับ”

หวังเฟย? เหมียวอี้แอบตกใจ รู้ตัวแล้วว่าตัวเองเสียมารยาทนิดหน่อย เขารีบย้ายสายตาออกจากตัวผู้หญิงคนนั้นทันที ที่แท้ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นฮูหยินของอ๋องสวรรค์ก่วง

เป็นอย่างที่คาดไว้ เม่ยเหนียงที่อยู่บนตึกถามเหมือนแปลกใจ “เขาเองเหรอหนิวโหย่วเต๋อ? ข้าได้ยินชื่อนี้มานานแล้ว แต่เพิ่งเคยเห็นตัวครั้งแรก ถ้าไม่เป็นการรบกวน พาขึ้นมาเจอกันสักครั้งสิ”

“ขอรับ!” โกวเยว่เอ่ยรับ แล้วยื่นมือเชิญไปทางสะพานโค้ง “นายท่านหนิว เชิญขอรับ”

เหมียวอี้เดาว่าเรื่องที่ตระกูลโค่วบอกกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ในใจอยากปฏิเสธ จึงถามอย่างลังเลว่า “หนิวมาเพราะเรื่องงาน ทำแบบนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะกระมัง?”

ใครจะคิดว่าเม่ยเหนียงที่อยู่ข้างบนจะกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าได้ยินว่านายท่านหนิวให้ความสำคัญกับธรรมเนียมลำดับขั้นที่สุด พอเข้าเมืองมาก็ยัดข้อหาให้ผู้บัญชาการใหญ่ที่เสียมารยาทกับคนตำแหน่งสูงกว่าแล้ว ไม่ทราบว่าลำดับขั้นของหวังเฟยคนนี้สูงไม่พอหรือ หรือว่านายท่านหนิวไม่ไว้หน้าข้า?” พูดอ่อนหวานแต่แฝงความแข็งกร้าว แอบบอกใบ้ว่านางก็ทำตามอย่างเขาได้เหมือนกัน

อีกฝ่ายเอาคำพูดของเขามาข่มขา ยังจะทำอย่างไรได้อีก นอกเสียจากจะหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น ผู้ที่อารักขาอยู่ข้างกายคนแบบนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เขาทำได้เพียงข้ามสะพานตามโกวเยว่ไป เดินขึ้นไปบนตึกศาลาแล้ว

…………………………