บทที่ 1553 เจอกันครั้งแรกก็เหมือนรู้จักกันมานาน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พอมาถึงตึกศาลาด้านบน ก็พบว่ายังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง กำลังนั่งหันหลังให้ทางนี้ เหมือนกำลังต้มน้ำชาอยู่ด้วย

เม่ยเหนียงสวมเครื่องแต่งกายหรูราแสดงอำนาจบารมีทั้งตัว ชายกระโปรงยาวลากพื้น บนศีรษะสวมมงกุฎชั้นหนึ่ง ยืนอยู่คนเดียวอย่างเย่อหยิ่ง บนใบหน้าเจือรอยยิ้มบางๆ ขณะมองเหมียวอี้เดินเข้ามา

เหมียวอี้เองก็ได้เปิดหูเปิดตาที่อุทยานหลวงมาบ้าง แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเครื่องแต่งกายที่อีกฝ่ายสวมใส่คือชุดสตรีบรรดาศักดิ์ ทั้งยังเป็นชุดสตรีบรรดาศักดิ์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน อาศัยฐานะของอ๋องสวรรค์ก่วงก็เดาได้ไม่ยากว่าเป็นชุดสตรีบรรดาศักดิ์ขั้นหนึ่ง นี่คือคนระดับหวังเฟยเท่านั้นที่มีได้

ในปัจจุบันทั้งใต้หล้ามีเพียงอ๋องสวรรค์ก่วงเท่านั้นที่มีหวังเฟย ส่วนอีกสามอ๋องนั้นไม่ได้แต่งงานใหม่ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ผู้ที่มีสิทธิ์สวมชุดสตรีบรรดาศักดิ์ขั้นหนึ่งก็มีเพียงท่านที่อยู่ตรงหน้านี้เท่านั้น บรรดาศักดิ์ขั้นหนึ่งก็เป็นยศขุนนางเช่นกัน มีค่าประจำตำแหน่งเท่ากับระดับจอมพล เพียงแต่ไม่มีอำนาจทางทหารก็เท่านั้นเอง

เหมียวอี้รีบก้าวขึ้นมาทำความเคารพ “ข้าน้อยคารวะหวังเฟย!”

“พบกันเป็นการส่วนตัวเท่านั้น ไม่ต้องมากพิธี!” เม่ยเหนียงยกแขนเสื้อขึ้น แต่สายตากลับจ้องเหมียวอี้ทั้งข้างล่างข้างบนสองครั้ง ในดวงตาอมยิ้ม พบว่าเหมียวอี้ที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วยิ่งดูองอาจห้าวหาญ เฉียบคมสมเป็นลูกผู้ชาย มีสง่าราศีค่อนข้างดี

นางอยากจะเห็นปฏิกิริยาของลูกสาว จึงเอียงหน้ามองไม่ ผลปรากฏว่าลูกสาวฉวยโอกาสตอนนางไม่สนใจหันหลังให้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ มองไม่เห็นตัวผู้ชายเลย นางทั้งโมโหทั้งอยากขำ แต่ก็เข้าใจความรู้สึกสาวโสดเช่นกัน จึงเอ่ยถามทันทีว่า “เม่ยเอ๋อร์ เหตุใดจึงเสียมารยาทเช่นนี้ ไม่รู้หรือว่ามีแขกมา?”

ตอนนี้ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่นั่งยองๆ ถึงได้ยืนขึ้น แล้วหันตัวมามองแขกอย่างเนิบนาบ เพียงแต่มองเหมียวอี้แค่แวบเดียว แล้วก็หลุบตาลงอย่างขวยอาย ไม่กล้ามองตรงๆ แต่กลับเห็นใบหน้าของเหมียวอี้ชัดเจนแล้ว นางพบว่าเขามีสง่าราศีของลูกผู้ชายเต็มเปี่ยม ความองอาจกับพลังหยางที่หลอมรวมกันทำให้เกิดพลังปะทะต่อสายตา ไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้จากตัวลูกหลานผู้มีอำนาจที่ตัวเองเคยเจอ ทำให้นางหัวใจเต้นรัวยิ่งขึ้น

เหมียวอี้ก็อึ้งตั้งแต่แวบแรกที่เห็นก่วงเม่ยเอ๋อร์เช่นกัน ด้านในของชุดคลุมผ้ามุ้งบางสีทองคือชุดกระโปรงสีขาว ในเรือนร่างสุดเย้ายวนเผยให้เห็นความสง่างาม ใบหน้าสวยสดราวกับลูกท้อลูกสาลี ในดวงตางามแฝงความออดอ้อนเย้ายวนโดยธรรมชาติ เป็นความสวยเย้ายวนประเภทผู้ชายเห็นแล้วหลงทันที โดยเฉพาะท่าทางเขินอายแบบนั้นก็ยิ่งมีเสน่ห์

“นี่คือลูกสาวของข้า ก่วงเม่ยเอ๋อร์ ครั้งนี้ติดตามข้าออกมาเที่ยวเล่นด้วยกันแล้ว” เม่ยเหนียงยกมือแนะนำ นางแอบภาคภูมิใจเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของเหมียวอี้ ลูกสาวที่ข้าคลอดมาจะแย่ได้อย่างไรล่ะ

“ข้าน้อยคารวะคุณหนู” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะทันที

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ย่อตัวเล็กน้อยเพื่อคารวะกลับ พร้อมกล่าวด้วยเสียงที่แหลมเล็ก “คารวะขุนพลหนิวค่ะ”

เหมียวอี้ไม่รู้จะพูดอะไรดี เขามองไปที่เม่ยเหนียงเงียบๆ แวบหนึ่ง พบว่าสองแม่ลูกหน้าตาคล้ายกันจริงๆ หน้าตาต่างกันไม่มาก ทั้งคู่มีความสวยเย้ายวนโดยธรรมชาติแบบที่ใฝ่ฝันได้แต่ไขว่คว้าไม่ได้ ราวกับพิมพ์ออกมาจากแม่พิมพ์ เพียงแต่อีกคนดูสุกงอมและรูปร่างใหญ่กว่า ส่วนอีกคนมีรูปร่างเล็กและแฝงความเขินอายของสาวแรกรุ่น ต่างกันเหมือนอีกคนเป็นดอกไม้ตูม อีกคนเป็นดอกไม้บาน ถ้าไม่บอกว่าสองคนนี้เป็นแม่ลูกกัน ดูจากอายุและรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ก็เกรงว่าคนคงเข้าใจผิดว่าเป็นพี่สาวกับน้องสาว

ในใจเขาแอบทอดถอนใจ เป็นเพราะอำนาจอิทธิพลของอ๋องสวรรค์ก่วงเช่นกัน จึงไม่มีใครกล้าคิดไม่ซื่อกับแม่ลูกคู่นี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปที่เลี้ยงผู้หญิงแบบสองคนนี้ไว้ในบ้าน เกรงว่าหญิงงามคงจะเป็นต้นตอหายนะ ดีไม่ดีอาจจะทำให้มีภัยถึงตายก็ได้

พอนึกถึงคำว่า ‘โชคสามชั้น’  ที่ตระกูลโค่วบอก เหมียวอี้ก็แอบหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก คนที่จะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตนจริงๆ คงไม่ใช่ก่วงเม่ยเอ๋อร์คนนี้ใช่มั้ย? อ๋องสวรรค์ก่วงช่างโยนเหยื่อล่อที่หอมหวานไร้ที่เปรียบออกมาได้จริงๆ นับว่าลงทุนควักเนื้อแล้ว อสุราอัคนีเอ๊ยอสุราอัคนี ข้าได้อาศัยบารมีแล้ว

เขาเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน พอเห็นผู้หญิงที่สวยเย้ายวนแบบก่วงเม่ยเอ๋อร์ ถ้าจะบอกว่าในใจไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดก็แสดงว่าโกหกแล้ว ถ้านางไม่ได้มีฐานะภูมิหลังแบบนั้น เขาก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะไม่ครอบครองหญิงงามในทันทีเหมือนที่ทำกับจูเก๋อชิง เขารู้ชัดอยู่แก่ใจดี ว่าถ้าไปแตะต้องก่วงเม่ยเอ๋อร์คนนี้จริงๆ อวิ๋นจือชิวก็จะมีอันตรายถึงชีวิต เพราะตระกูลโค่วได้อธิบายเอาไว้ชัดเจนแล้ว

เม่ยเหนียงยิ้มเรียบๆ พร้อมบอกว่า “นี่เป็นการพบกันส่วนตัว ขุนพลหนิวไม่ใช่ลูกน้องของท่านอ๋อง ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้น คิดเสียว่าคุยกันตามปกติเหมือนคนทั่วไป” จากนั้นก็หันมากำชับ “เด็กๆ เตรียมสุราอาหารไว้ต้อนรับแขก”

ไม่นานก็มีหญิงรับใช้เดินขึ้นมา แล้วจัดวางโต๊ะอาหาร สุราอาหารเลิศรสก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว

สุดท้ายเม่ยเหนียงก็อ้างว่าต้องการทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย จึงกันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปหมด แล้วเชิญให้เหมียวอี้เข้ามานั่งประจำที่

ด้วยฐานะของเม่ยเหนียงหวังเฟย ก็ย่อมต้องนั่งที่หัวโต๊ะอยู่แล้ว ส่วนก่วงเม่ยเอ๋อร์กับเหมียวอี้ก็นั่งตรงข้ามกันอยู่ตรงซ้ายและขวาของนาง โกวเยว่นั่งถัดไปจากก่วงเม่ยเอ๋อร์

เหมียวอี้นั่งแล้วเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่เหล่ตามองใคร มองไปเพียงบนโต๊ะ และขยับตะเกียบยกจอกสุราไม่บ่อยเช่นกัน เม่ยเหนียงถามคำเขาก็ตอบคำ เมื่ออีกฝ่ายเร่งรัดเขาค่อยขยับตัวสักที กลับเป็นก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่อยู่ตรงข้ามที่เหลือบตาขึ้นมองคนตรงหน้าเป็นระยะ ดวงตาช่างสวยหยาดเยิ้ม นางพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้หยาบคายเหมือนตอนนำกองทัพ แต่รักษามารยาทและธรรมเนียม ไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่เห็นครั้งแรก ทั้งยังมองแล้วเพลินตามากด้วย พอนึกว่าในอนาคตทั้งสองจะได้เป็นสามีภรรยากัน ในดวงตานางก็เริ่มฉายแววออดอ้อนอาลัยรักโดยที่ตัวเองก็ไม่ได้สังเกตด้วย

ขณะที่พูดคุยกันอย่างสบายอารมณ์ เม่ยเหนียงที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อนก็มองเข้าใจความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในความคิดของลูกสาวแล้ว รู้ว่าฝั่งลูกสาวไม่มีปัญหาอะไร แต่ท่าทีที่นิ่งเฉยดุจขุนเขาของหนิวโหย่วเต๋อยังต้องรอหยั่งเชิงอีก ว่ากันตามจริง เมื่อได้เห็นคนคนนี้ใกล้ๆ นางพบว่าแตกต่างกับตอนที่เห็นนอกกำแพงเมือง แววตาที่นางมองเหมียวอี้เริ่มเผยความพึงพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ความเปลี่ยนแปลงตรงนั้นอยู่ในสายตาโกวเยว่หมดแล้ว กำลังฟังบทสนทนาที่ไม่ใช่ประเด็นหลัก พลางรินสุราดื่มเองราวกับเป็นผู้ชมข้างสนาม ความสนใจหลักของเขาอยู่ที่เหมียวอี้

เมื่อเห็นลูกสาวกับเหมียวอี้ไม่ได้สื่อสารอะไรกันเลย เม่ยเหนียงก็พูดเร่งว่า “เม่ยเอ๋อร์ มีแขกมาแล้วทำไมไม่ทักทายหน่อยล่ะ”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์กะพริบดวงตางาม จ้องเหมียวอี้พร้อมถามว่า “ขุนพลหนิว ได้ยินว่าตอนที่ท่านเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ ท่านไปพังร้านค้าของตระกูลข้าเหรอคะ มีเรื่องแบบนี้จริงหรือเปล่า?”

เหมียวอี้เหลือบตาขึ้น มีท่าทีเหมือนจบเรื่องแล้วจำอะไรไม่ได้ ตอบว่า “ไม่เคยมีเรื่องนี้เลย!”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์อุทาน “เอ๋” แล้วบอกว่า “เป็นไปไม่ได้! ข้าได้ยินว่าท่านไม่ได้พังแค่ครั้งเดียวด้วย”

“พูดอะไรของเจ้าน่ะ? ไม่มีมารยาทเลยสักนิด!” เม่ยเหนียงเอียงหน้าไปทางเหมียวอี้ “ไป!เจ้าไปรินสุราไถ่โทษให้แขก!”

“ไม่ต้องขอรับๆ ข้าน้อยรับไม่ไหว” เหมียวอี้รีบโบกมือปฏิเสธ

ทว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์กลับเป็นฝ่ายยกกระโปรงแล้วยืนขึ้นก่อน หยิบกาสุราและจอกสุราขึ้นมา ก้าวช้าๆ เดินมาข้างกายเหมียวอี้อย่างไม่ประหม่าเลยสักนิด

เหมียวอี้รีบลุกขึ้น แล้วยกจอกสุราหลบ “จะกล้ารบกวนให้คุณหนูรินสุราได้อย่างไร ให้เกียรติข้าน้อยเกินไปแล้ว”

เรื่องบางเรื่องตอนยังไม่มีจุดเริ่มต้นก็ยังดีหน่อย แต่พอหักหน้ากันแล้ว หญิงสาววัยแรกรุ่นอย่างก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็เขินอายอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่กลับมีความใจกว้างและมั่นใจในตนเองเพราะเป็นคนจากตระกูลใหญ่ ดวงตางามจ้องตรงมาที่เหมียวอี้ทันที แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เม่ยเอ๋อร์พูดผิดไปแล้วก็ย่อมต้องยอมรับโทษ เหตุใดท่านขุนพลจึงควบคุมตัวเองขนาดนี้? ได้ยินว่าขุนพลเป็นวีรบุรุษที่วิ่งอยู่ท่ามกลางทัพใหญ่หนึ่งล้านอย่างไร้อุปสรรค ไม่หวาดกลัวแม้แต่ความตาย ยังจะกลัวสุราจอกเดียวของสตรีผู้ต่ำต้อยคนนี้เชียวหรือคะ?”

ความประหม่าควบคุมตัวเองของเหมียวอี้กลับเรียกความมั่นใจกลับมาให้นางหนูแล้ว นี่เป็นเรื่องดี โกวเยว่เห็นแล้วยิ้ม

เม่ยเหนียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าธาตุแท้อีกด้านของลูกสาวเผยออกมาแล้ว นางถูไม้ถูมือกล่าวพร้อมรอยยิ้มทันทีว่า “ที่เม่ยเอ๋อร์พูดหมายถึง ควรทำตัวเหมือนสหายพบกันครั้งแรก ไม่จำเป็นต้องควบคุมตัวเอง!” ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังชื่นชมความใจกว้างของลูกสาวตัวเอง

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ยกกาสุราขึ้นมา แล้วอมยิ้มรอ ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่า ‘ถ้าเจ้าไม่ยินยอมข้าก็จะไม่ไป’

เหมียวอี้ยกจอกสุราที่กุมไว้ตรงเองขึ้นมาอย่างลังเล ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้าวเขามารินให้ทันที กลิ่นหอมอ่อนจางของสตรีโผเข้ามาที่ใบหน้าเช่นกัน

“พอเก็บจอกสุราแล้ว ก็รินให้ตัวเองหนึ่งจอก จากนั้นก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็ยกจอกสุราเชื้อเชิญ “”ก่อนหน้านี้พูดผิดไปแล้ว หวังว่าท่านขุนพลจะไม่ถือสา เม่ยเอ๋อร์จะดื่มก่อนเพื่อเป็นการขอโทษ”” พูดจบก็เอียงหน้าหลบแล้วดื่มหมดจอก จากนั้นก็พลิกมือที่เรียวเล็ก เผยก้นจอกให้เหมียวอี้ดู แล้วรอคอย

ท่วงท่าดูชำนาญมาก แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงบ่อยๆ

“มิบังอาจ!” เหมียวอี้กล่าวอย่างเกรงใจ แต่ก็ยังดื่มลงไปแล้ว

ตอนที่ก่วงเม่ยเอ๋อร์ถอยออกไป เม่ยเหนียงก็ฉวยโอกาสโต้ตอบอีกฝ่ายแล้ว “เม่ยเอ๋อร์ เป็นเรื่องยากที่เจ้าจะเจอใครและถูกชะตาขนาดนี้ ข้าว่าขุนพลก็อายุมากกว่าเจ้าไม่เท่าไร เป็นเรื่องยากที่จะได้พบคนที่เจอกันครั้งแรกก็เหมือนรู้จักกันมานาน คบหาเป็นสหายสักคน ในภายหลังติดต่อกันบ่อยๆ สิ”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์หันมาถามเหมียวอี้ “ขุนพลคิดว่ายังไงบ้างคะ?”

เหมียวอี้ปฏิเสธอ้อมๆ “มิอาจเอื้อมขอรับ!”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์กลับวางจอกสุราและกาสุราลง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาสองอัน แบ่งลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไป แล้ววางระฆังดาราสองอันตรงหน้าเหมียวอี้ นางไม่พูดอะไรทั้งนั้น ให้เหมียวอี้ตัดสินใจเองตามเห็นสมควร

โกวเยว่ที่นั่งอยู่ท้ายสุดค่อยๆ ยกจอกสุราขึ้นมาจ่อปาก เริ่มยกยิ้มมุกปาก นิสัยที่แท้จริงของคุณหนูเผยออกมาแล้ว กลับลดความยุ่งยากลงไม่น้อย

เหมียวอี้ลังเลเล็กน้อย พอนึกถึงสิ่งที่ตระกูลโค่วบอก สุดท้ายเขาก็ยังลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองไว้บนระฆังดารา ก่วงเม่ยเอ๋อร์หยิบอันหนึ่งมาเขย่าในมือ เมื่อเห็นระฆังอีกอันมีปฏิกิริยา นางก็ไม่พูดอะไรมากอีก เก็บทั้งกาสุราทั้งจอกสุราไปด้วยกัน ทิ้งไว้เพียงระฆังดาราหนึ่งอัน กลับไปนั่งที่ของตัวเองแล้ว ดูเหมือนสงบเยือกเย็น แต่มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่าแก้มของตัวเองนั้นร้อนจี๋แค่ไหน

“พ่อบ้าน ไม่ทราบว่าเจ้าพาขุนพลมาเพราะเรื่องอะไร?” ในตอนนี้เม่ยเหนียงพูดกับโกวเยว่แล้ว

โกวเยว่ลุกขึ้นตอบ “ไม่ปิดบังหวังเฟย ครั้งนี้บ่าวได้รับคำสั่งให้มาถามขุนพลหนิว เพราะขุนพลหนิวก่อเรื่องนิดหน่อย…” เขาเล่าเรื่องของเหมียวอี้ให้ฟังคร่าวๆ ทันที

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…” สายตาเม่ยเหนียงที่หยุดอยู่บนตัวเหมียวอี้วูบไหวเล็กน้อย นางเงียบไปนานมาก เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็พยักหน้าบอกว่า “ข้าว่าขุนพลอยู่ที่นี่คงอึดอัด ในเมื่อมีงานรัดตัว พวกเราสองแม่ลูกก็ไม่รบกวนแล้ว” นางก็พยักหน้าบอกใบ้ก่วงเม่ยเอ๋อร์เล็กน้อย แล้วสองแม่ลูกก็หลบไปด้วยกัน แต่ตอนที่เดินออกมานอกตึกศาลา จู่ๆ นางก็หันกลับมาบอกว่า “พ่อบ้าน เจ้ามานี่สักเดี๋ยว”

โกวเยว่รีบก้าวออกมาทันที ออกไปพร้อมกับสองแม่ลูก เหลือเหมียวอี้อยู่ในห้องคนเดียว

ผ่านไปไม่นาน โกวเยว่ก็กลับมาแล้ว กลับมานั่งที่เดิม ดื่มสุราไปจอกหนึ่งแล้วถึงได้กล่าวช้าๆ ว่า “ขุนพลหนิว ครั้งนี้คงจะเป็นวาสนาของเจ้า หวังเฟยมีเจตนาจะช่วยเหลือเจ้า”

“ข้าน้อยไม่เข้าใจว่าท่านหมายความว่าอะไร” เหมียวอี้กล่าวอย่างนิ่งเฉย

โกวเยว่นั่งหันตัวมา “หวังเฟยมีลูกสาวเพียงคนเดียว มองเป็นดั่งไข่มุกล้ำค่าในมือ เป็นกังวลเรื่องการแต่งงานของลูกสาวมาตลอด วันนี้เห็นขุนพลกับคุณหนูเจอกันครั้งแรกก็เหมือนรู้จักกันมานาน และหวังเฟยเองก็พอใจขุนพลมาก จึงเกิดความคิดอยากได้เป็นลูกเขย เมื่อครู่นี้หวังเฟยบอกแล้ว ว่าขอเพียงขุนพลตอบตกลง หวังเฟยก็ยินดีจะมอบลูกสาวให้ ส่วนเรื่องที่น่านฟ้าระกาติง หวังเฟยจะช่วยขุนพลแก้ปัญหาเอง ไม่ทราบว่าขุนพลคิดอย่างไร?”

อ้อมไปอ้อมมา สุดท้ายก็เผยเจตนาที่แท้จริงแล้ว! เหมียวอี้แสยะยิ้มในใจ แต่ตอบพร้อมสีหน้าสุขุมเยือกเย็นว่า “ข้าน้อยซาบซึ้งเจตนาดีของหวังเฟยแล้ว แต่ข้าน้อยไม่เชื่อว่าท่านจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นบนกำแพงเมือง หนิวคนนี้มีคนในใจอยู่แล้ว มิบังอาจเอื้อมไปหาไข่มุกล้ำค่าในมือหวังเฟยขอรับ!”

…………………………