บทที่ 3011 เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว 1
น้ำเสียงสตรีชุดขาวนางนั้นยะเยือกอึมครึม
กู้ซีจิ่วสูดหายใจตื้นๆ คราหนึ่ง ไม่สนใจนาง
มองบุตรชายก่อนเป็นลำดับแรก มองเห็นตี้เฮ่ายังยืนอยู่ดีที่ตรงนั้น จึงวางใจลงครึ่งหนึ่งแล้ว
จากนั้นก็มองฟั่นเชียนซื่อแวบหนึ่ง ฟั่นเชียนซื่อก็กำลังมองเธออยู่ ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง กู้ซีจิ่วผละสายตาไป
เธอค่อนข้างร้าวรานอยู่บ้าง!
ไม่น่าเชื่อว่าฟั่นเชียนซื่อที่เธออยากจะสับเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นยิ่งนักจะเป็นศิษย์ของเธอในชาติก่อน! ดูเหมือนตนในชาติก่อนจะใส่ใจศิษย์คนนี้อย่างยิ่งด้วย เพื่อเขาแล้วต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยเลย
เรื่องนี้ช่างเหมือนสายฟ้าที่ผ่าลงบนศีรษะของเธอจริงๆ! ทำให้เธอมีความรู้สึกเหลือจะเชื่อประการหนึ่ง
แน่นอน เมื่อครู่ตอนที่เธออยู่ในห้วงมายาได้รับ ‘สายฟ้า’ ที่หนักหนายิ่งกว่านี้มา
‘สายฟ้า’ มากมายเกินไป เธอไม่สามารถย่อยข้อมูลทั้งหมดได้ในชั่วขณะ ดังนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับฟั่นเชียนซื่อเธอจึงคร้านจะสนใจชั่วคราว
เธอมองดูสตรีชุดขาว ในห้วงมายาเมื่อครู่นี้ จิตมารตนนี้ยังเป็นเพียงเงาสีขาวซีดสายหนึ่ง แม้แต่เครื่องหน้าก็ยังเลือนรางพร่าเบลอ แต่ยามนี้กลับเป็นมนุษย์ตัวเป็นๆ ทุกอย่างแล้ว บนร่างก็มีแสงศักดิ์สิทธิ์ห้อมล้อมเช่นเดียวกับเทพผู้สร้างโลกด้วย เพียงแต่ในแสงศักดิ์สิทธิ์ของนางแฝงไอมารที่มืดดำยิ่งนักเอาไว้ ทำให้คนสะท้านใจ! พลังมารก็ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้ว ตนในยามนี้ไม่มีทางต่อกรได้…
“เจ้าอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้มานานแค่ไหนแล้ว?” จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็เอ่ยถามประโยคหนึ่ง
จิตมารผงะไปแวบหนึ่ง คล้ายคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายได้เห็นเรื่องราวมากมายปานนั้นแล้ว ยังสุขุมเยือกเย็นได้เช่นนี้อีก บนดวงหน้าเฉิดฉันนั้นถึงขั้นที่ไม่มีวี่แววของความตื่นตระหนกตกตะลึงเลย แถมยังเอ่ยถามเรื่องที่ไม่สลักสำคัญเช่นนี้อีก…
นางก้าวเข้าไป “เจ้าไม่กลัวหรือ?” น้ำเสียงคล้ายย่อมจมอยู่ในธารน้ำแข็งหมื่นปี
กู้ซีจิ่วถามกลับ “กลัว…แล้วมีประโยชน์หรือ?”
จิตมารยิ้มแล้ว “ก็จริง ไม่มีประโยชน์หรอก ตอนนี้วรยุทธ์เจ้าสู้ข้าไม่ได้ ซ้ำยังอยู่ในอาณาเขตของข้าอีก นอกจากการยอมรับชะตากรรมโดนข้าจัดการซะ เจ้าก็ไม่มีทางออกอันใดแล้ว!”
นางก้าวเข้ามาหาทีละก้าวๆ ไอมารบนร่างเยียบเย็น แทบจะแทรกซึมเข้าไปในไขกระดูกคนแล้ว ร่างกายกู้ซีจิ่วมีความรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับถูกงูรัด
เธอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ลอบโคจรพลังยุทธ์ เคลื่อนไปทั่วร่างกาย ผ่านไปครู่หนึ่ง ไอหนาวยะเยือกก็ถูกเธอผลักไสออกไปนอกร่างแล้ว
จิตมารตนนั้นเพ่งพิศขึ้นๆ ลงๆ ในสายตาดุจแฝงตะขอไว้ อยากจะมองเข้าไปให้ถึงในกระดูกคน
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ยิ้มแล้ว “เป็นเพียงเสี่ยวเซียนที่บำเพ็ญได้ไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าเจ้าเกิดใหม่แล้วจะกลายเป็นตัวอ่อนปวกเปียกเช่นนี้…”
กู้ซีจิ่วก็ยิ้มแล้วเช่นกัน น้ำเสียงเย็นชา “ต่อให้ข้าอ่อนแอแค่ไหน ข้าก็ยังเป็นร่างต้น เจ้าแข็งแกร่งสักแค่ไหน เจ้าก็เป็นได้แค่จิตมารเท่านั้น! เท่าที่ข้ารู้ ต่อให้จิตมารแข็งแกร่งสักแค่ไหนก็ไม่เหนือไปกว่าร่างต้น และไม่สามารถทำอะไรร่างต้นอย่างแท้จริงได้”
สีหน้าของจิตมารพลันแปรเปลี่ยน เอ่ยเสียงเยียบเย็น “อย่าได้ฝันเฟื่องเลย! เจ้านึกว่าตอนนี้เปิ่นจุนเป็นแค่จิตมารของเจ้าอยู่หรือไง?!”
เธอยกแขนเสื้อโบกสะบัดคราหนึ่ง “ตอนนี้ข้าไม่ใช่จิตมารที่ปล่อยให้เจ้าตัดแยกออกมาเช่นยามนั้นแล้ว! ทุกอย่างที่สูญเสียไปในตอนนั้นข้าจะทวงกลับคืนมาทุกอย่าง! รวมถึงตี้ฝูอีสามีในปัจจุบันของเจ้าด้วย ข้าคือคนที่รักเขาที่สุด กลายเป็นมารเพราะเขา ทว่าเขากลับแต่งกับเจ้าที่อ่อนปวกเปียกถึงเพียงนี้! เจ้าในตอนนี้ไม่คู่ควรกับเขาเลย! ไม่ถูกสิ ตัวเจ้าในอดีตก็ไม่คู่ควรกับเขาเช่นกัน…”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน…
เพราะอะไรทุกคนถึงรักชอบใฝ่ปองผู้ชายของเธอขนาดนี้กันนะ?
ถ้าเป็นคนอื่นก็แล้วไปเถิด ไม่น่าเชื่อว่าจิตมารที่ปรากฏขึ้นมาในยามนี้ก็จะเป็นแฟนคลับของเขาด้วย…
สามีคนนี้ของเธอมีดวงดอกท้อมากมายเกินไปแล้ว
เธอยิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง “ที่แท้เจ้าก็ชอบเขาเหมือนกันนี่เอง เช่นนั้นก็ไม่เลวเลย”
จิตมารจ้องเธอเขม็ง “เจ้าไม่หึงหวงรึ?”
กู้ซีจิ่วเอ่ยอย่างสบายๆ “สตรีที่ชมชอบเขามีมากมายเกินไป หากว่าข้าต้องหึงหวงทั้งหมด เกรงว่าคงกลายเป็นไหน้ำส้มไปแล้ว! อย่างไรก็ตาม สตรีมากมายชมชอบเขานั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเลิศล้ำมากพอ และพิสูจน์ให้เห็นว่าสายตาของข้ายอดเยี่ยมนัก ข้ายินดียิ่ง”
————————————————————————————-
บทที่ 3012 เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว 2
จิตมารชะงักไปแล้ว
นางหรี่ตาลง ยิ้มยะเยือก “ดูเหมือนเจ้าจะคิดว่าไม่มีผู้ใดสามารถแย่งเขาไปได้กระมัง?”
“แน่นอน” กู้ซีจิ่วตอบกลับอย่างมีความมั่นใจยิ่ง
จิตมารยิ้มเอ้อระเหยแวบหนึ่ง “ผู้อื่นอาจจะทำไม่ได้ แต่ข้าทำได้แน่นอน! เพราะข้าก็เคยเป็นเจ้ามาก่อน ทว่าเลิศล้ำยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก!”
กู้ซีจิ่วยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยวาจา เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ
“เจ้าไม่เชื่องั้นหรือ? เช่นนั้นเปิ่นจุนจะให้เจ้าได้เห็นด้วยตาตน ให้เจ้าถอดใจเสีย!”
กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง
นางจะทำให้ตนถอดใจหรือ? ถอดใจยังไงล่ะ? หรือว่า…
….
ในไม่ช้าเธอก็ได้รู้แล้วว่าที่จิตมารพูดหมายความว่ายังไง!
เนื่องจากจิตมารตนนี้พลันสะบัดแขนเสื้อสร้างภาพลวงตาฉากหนึ่งขึ้น ทิวทัศน์ในภาพลวงตานี้สมจริงอย่างยิ่ง ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้น อิฐทุกก้อนกระเบื้องทุกแผ่นในนั้นล้วนแจ่มชัดเหนือธรรมดา สมจริงยิ่งกว่าโทรทัศน์ค่าความละเอียดสูงเสียอีก!
ด้านในเสมือนแดนดอกท้อแห่งหนึ่ง ขุนเขาเขียวธารมรกต ดอกท้อผลิบานไปทั่ว ชายคาเขียวมุมหนึ่งโผล่ออกมาจากร่มเงาของดงต้นท้อ…
สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด เรื่องสำคัญคือ เธอเห็นตี้ฝูอีอยู่ด้านในนี้! และมองเห็นจิตมารในชุดเขียวด้วย
สายตากู้ซีจิ่วร่อนลงบนร่างตี้ฝูอี แววตาดิ่งวาบนิดๆ
ตี้ฝูอีสวมเสื้อคลุมสีม่วงตัวหนึ่งที่พิเศษยิ่งนัก ถึงแม้เสื้อคลุมสีม่วงตัวนี้จะเป็นลักษณะแบบที่เขาสวมอยู่เป็นประจำ แต่บริเวณไหล่ซ้ายของเสื้อคลุมสีม่วงชุดนี้วาดลวดลายดวงดาวเอาไว้
นี่คือผลงานของเธอ…
นั่นเป็นเรื่องเมื่อไม่กี่ปีก่อน ตี้ฝูอีพาเธอไปที่เมืองเงือก เยี่ยมชมโรงเย็บปักแห่งหนึ่ง ผลงานเย็บปักจากช่างเย็บปักของที่นั่นวิจิตรประณีตเป็นธรรมชาติ กู้ซีจิ่วเกิดใจใฝ่รู้ขึ้นมาชั่วขณะ เรียนรู้กับช่างเย็บปักคนนั้นอยู่สองวัน นำเสื้อผ้าของตี้ฝูอีมาใช้ฝึกฝีมือ เดิมทีเธอคิดจะปักลายบุปผาน้อยๆ ดอกหนึ่ง ผลคือสิ่งที่ปักออกมาผิดกันไปไกลลิบ เธอพลันเกิดความคิดบรรเจิด ปักมันให้กลายเป็นดาวใหญ่ดวงหนึ่งไปเสียเลย พาดอยู่บริเวณหัวไหล่ของตี้ฝูอีเช่นนี้…
ไม่นึกเลยว่าตี้ฝูอีกลับชอบเสื้อตัวนี้มาก มักจะสวมมันเดินร่อนไปทั่วเมืองเสมอ เมื่อมีคนเอ่ยถามถึงดวงดาวบนหัวไหล่เขาอย่างสุภาพนิ่มนวล เขาก็จะตอบกลับด้วยความรู้สึกภาคภูมิว่า “ฝีมือของภรรยาน่ะ เป็นอย่างไรบ้าง?”
คนเหล่านั้นย่อมตอบว่าดูดี วิจิตรเป็นธรรมชาติ…อะไรทำนองนั้น ด้วยเหตุนี้ตี้ฝูอีจึงพอใจยิ่ง ทำให้เสื้อตัวนี้ได้รับความโปรดปรานจากเขามากขึ้นไปอีก
และยามนี้ ตี้ฝูอีที่อยู่ในภาพลวงตาก็สวมเสื้อคลุมตัวนี้อยู่ ตอนแรกที่เขาปรากฏตัวขึ้นยังดูค่อนข้างจนตรอกอยู่บ้าง บนตัวมีเหงื่อไคล คล้ายว่าทุ่มสุดชีวิตเพื่อติดตามมา…
เขา…น่าจะเป็นตัวจริงกระมัง?!
ในที่สุดเขาก็มาแล้ว!
สภาพของเขาดูเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง หรือเป็นเพราะเถิงเสอเห็นท่าไม่ดีแล้ว จึงแจ้งเขาก่อนกำหนด?
กู้ซีจิ่วไม่ได้พบหน้าเขามากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ยามนี้ทันทีที่ได้เห็นที่นี่ หัวใจพลันอุ่นวาบ อยากจะโผเข้าไปหาเขาใจแทบขาด…
ร่างกายเธอเพิ่งจะขยับแวบหนึ่ง จิตมารพลันสะบัดแขนเสื้อ แสงทองทมิฬสายหนึ่งส่องวาบ กู้ซีจิ่วไม่อาจขยับตัวได้ชั่วขณะ
มือข้างหนึ่งของจิตมารกดลงบนไหล่เธอ กล่าวด้วยเสียงเอ้อระเหย “อย่าใจร้อน ชมละครไปก็พอ”
กู้ซีจิ่วเม้มปากนิดๆ ได้ เธอจะชมละคร!
เธอปรายตามองจิตมารแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองสตรีชุดเขียวในภาพลวงตาอีกแวบหนึ่ง “นั่นคือผู้ใด?”
“ร่างอวตารที่เปิ่นจุนบำเพ็ญแบ่งร่างออกมา” สตรีชุดขาวยิ้มนิดๆ สุ้มเสียงมีความภาคภูมิอยู่รางๆ
กู้ซีจิ่วมองสตรีชุดเขียวในภาพลวงตาพูดคุยกับตี้ฝูอีอย่างสนิทชิดเชื้อ พบว่าสตรีชุดเขียวนางนั้นเลียนอย่างท่าทางของเธอได้เหมือนยิ่ง สามารถแปลงเท็จเป็นจริงได้เลย…
เมื่อดูต่อไปอีกพักหนึ่ง เธอก็พบว่าสตรีชุดเขียวนางนั้นทราบเรื่องราวบางส่วนของเธอด้วย อย่างเช่นระยะเวลาที่เธอกับตี้ฝูอีแยกจากกันในครั้งนี้ รวมถึงเรื่องราวอื่นๆ ที่มีแค่เธอกับตี้ฝูอีที่ทราบกันอยู่สองคน…
กู้ซีจิ่วจ้องมองสตรีชุดขาวอย่างคาดคั้น “เจ้ารู้เรื่องของข้ากับฝูอีได้ยังไง?!”
————————————————————————————-