ประโยคเดียวก็สามารถดูออกว่า ตระกูลเจิ้งยโสโอหังแค่ไหนในเมืองพันทะเลสาบ
ดังนั้นแม้ตอนที่สังเกตว่ากลิ่นอายของเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ธรรมดา ปฏิกิริยาแรกของบุคคลชั้นแนวหน้าของตระกูลเจิ้งไม่ใช่หวาดกลัว แต่เป็นโมโห
“คุณชายรอง!”
ข้ารับใช้ชราส่งเสียงอย่างโศกเศร้า พลันพุ่งเข้าไป
เขาไม่คิดเลยว่าเยวี่ยเจี้ยนเฟยจะนั่งอยู่บนพื้น และบนใบหน้าจะยังมีเลือด ตรงหน้ามีอาหารกระจัดกระจาย เห็นได้ชัดว่าถูกเหยียดหยามมามาก
“พวกเจ้าใจร้ายนัก!” ข้ารับใช้ชราถลึงตา
“ลุงเหวิน พวกเขาบอกว่า… พี่ชายข้าจะไม่กลับมาแล้ว พวกเขากำลังโกหกกันใช่ไหม” เยวี่ยเจี้ยนเฟยเหมือนคว้าฟางช่วยชีวิตได้ จับแขนของข้ารับใช้ชราแน่น ใบหน้าแฝงความหวัง
“อะไรนะ คุณชายใหญ่จะไม่กลับมาแล้วหรือ” ข้ารับใช้ชราสั่นเทิ้มไปทั้งกายราวกับถูกฟ้าผ่า พลันพูดเสียงหลง “ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด คุณชายใหญ่เป็นถึงผู้สืบทอดสำนักยุทธ์พันเวท จะไม่กลับมาได้อย่างไร”
“เฮอะ ยังไม่ตัดใจอีก ไอ้แก่ จะบอกให้นะ เยวี่ยเจี้ยนหมิงตายแล้ว อย่าหวังว่าเขาจะกลับมาออกหน้าให้พวกเจ้าได้อีก!”
หญิงวัยกลางคนผู้นั้นยิ้มเยาะ “อีกอย่าง สำนักยุทธ์พันเวทเองก็ประกาศแล้วว่า การตายของเยวี่ยเจี้ยนหมิงเป็นเพราะเขาหาเรื่องใส่ตัว ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักยุทธ์พันเวทอีกต่อไป นี่ก็หมายความว่า สำนักยุทธ์พันเวทไม่มีทางสนใจคุณชายรองผู้โง่เขลาคนนี้ของตระกูลเยวี่ย”
นางย่ามใจมาก มองข้ามหลินสวินที่อยู่นอกห้องโถง ฉวยโอกาสนี้โจมตีข้ารับใช้ชราอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด น้ำเสียงร้ายกาจ
ภาพตรงหน้าข้ารับใช้ชรามืดสลัวลง รู้สึกเหมือนท้องฟ้าจะถล่มลงมา
คุณชายใหญ่จะตายได้อย่างไร
เขาเป็นเหมือนกับเยวี่ยเจี้ยนเฟย ไม่สามารถรับข่าวร้ายนี้ได้
นอกห้องโถง หลินสวินถอนหายใจในใจ สายตาที่มองเยวี่ยเจี้ยนเฟยแฝงความสับสน อีกฝ่ายกับเยวี่ยเจี้ยนหมิงเป็นฝาแฝดกัน ใบหน้าเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
พอเห็นเขา พลันทำให้หลินสวินนึกถึงเยวี่ยเจี้ยนหมิงโดยไม่รู้ตัว นึกถึงคำพูดที่เขาเคยพูดก่อนตาย…
‘เจ้าเห็นข้าเยวี่ยเจี้ยนหมิงเป็นสหาย ข้าย่อมไม่มีทางปล่อยให้เจ้าถูกคนอื่นข่มขู่!’
เยวี่ยเจี้ยนหมิงในตอนนั้นเด็ดเดี่ยวและนิ่งสงบ ก่อนตายบนใบหน้ายังแฝงความรู้สึกผิด
คิดถึงตรงนี้ ในใจหลินสวินก็รู้สึกอัดอั้นขึ้นมา ราวกับในใจเต็มไปด้วยความหดหู่ เขาพึมพำในใจ ‘เจ้าเห็นข้าหลินสวินเป็นสหาย แล้วข้าจะยอมให้ใครเหยียดหยามน้องชายเจ้าได้อย่างไร…’
“ไอ้แก่เจ้ามาได้เวลาพอดี หากรู้จักเจียมตัวก็บอกมาว่าสัญญาหมั้นหมายฉบับนั้นอยู่ไหน เราส่งคนไปค้นที่บ้านตระกูลเยวี่ยแล้ว ขุดดินเข้าไปลึกสามฉื่อก็ยังไม่เจอสัญญาหมั้นหมายฉบับนั้น แล้วคนโง่เขลาคนนี้ก็ไม่รู้อะไรเลย บอกมาว่าพวกเจ้าซ่อนสัญญาหมั้นหมายเอาไว้ใช่หรือไม่”
หญิงวัยกลางคนลุกขึ้น ด่าว่าข้ารับใช้ชราพร้อมสายตาเหี้ยมโหด “จะบอกให้นะ พาตัวช่วยมาก็ไม่มีประโยชน์หรอก ที่นี่คือตระกูลเจิ้ง! ในเมืองพันทะเลสาบไม่มีใครกล้าเหิมเกริมในตระกูลเจิ้งของข้า!”
“ที่แท้… พวกเจ้ารู้ว่าคุณชายใหญ่ตายแล้ว จึงเหยียดหยามตระกูลเยวี่ยของเราเช่นนี้ ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่า พวกเจ้ามันพวกเนรคุณไม่รู้จักบุญคุณ!”
เส้นเลือดตรงหน้าผากของข้ารับใช้ชราปูดนูนออกมา พลันตะเบ็งเสียงอย่างเดือดดาล “แม้วันนี้ข้าต้องตาย ก็ไม่มีทางเอาสัญญาหมั้นหมายออกมา จะให้ตระกูลเจิ้งของพวกเจ้าถูกตราหน้าว่าเนรคุณตลอดชีวิต!”
“เจ้ารนหาที่ตาย!”
หญิงวัยกลางคนที่เห็นได้ชัดว่าวางอำนาจจนเป็นนิสัยก้าวไปข้างหน้าทันที สะบัดฝ่ามือออกไปหมายจะสั่งสอนข้ารับใช้ชราสักหน่อย
แทบจะในเวลาเดียวกัน หลินสวินได้สติจากความรู้สึกผิด ตอนที่เห็นภาพนี้ ในสายตาสาดประกายเย็นเยียบที่น่าหวาดหวั่นทันควัน
เขาถึงขั้นเผยอานุภาพออกมาแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่เพียงไม่หยุด กลับยังคงยโสโอหังและหยิ่งผยองเพียงนี้ เห็นได้ว่าเมื่อก่อนตระกูลเจิ้งของพวกเขาวางอำนาจเพียงใดในเมืองพันทะเลสาบ
ฟุ่บ!
เงาร่างกายของเขาวูบไหว พลันปรากฏตัวตรงหน้าข้ารับใช้ชรา ยื่นมือออกไปคว้าแขนของหญิงวัยกลางคนผู้นั้นไว้ แล้วสะบัดมือทิ้งออกไป
เสียงปังดังขึ้น หญิงวัยกลางคนล้มจนมึนเวียน ภาพตรงหน้าพร่ามัว ส่งเสียงกรีดร้องอย่างหัวเสีย “เจ้ากล้าลงมือในตระกูลเจิ้งของข้าหรือ”
“คุกเข่า!” เสียงของหลินสวินทุ้มต่ำและเยียบเย็น
“ให้ข้าคุกเข่างั้นหรือ เจ้ากล้านัก…”
หญิงวัยกลางคนยิ่งระเบิดความโกรธ ที่ผ่านมานางวางอำนาจบาตรใหญ่ในเมืองพันทะเลสาบจนเป็นนิสัย ไม่เคยถูกต่อว่าเช่นนี้มาก่อน เพลิงโกรธพุ่งขึ้นศีรษะโดยพลัน สติหลุดไปอย่างสิ้นเชิง
แต่ยังไม่รอให้นางพูดจบ นางก็เหมือนถูกภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทับอยู่บนร่าง คุกเข่าลงพื้นดังปึง กระดูกทั่วร่างกายดังกร๊อบๆ ทวารทั้งเจ็ดหลั่งเลือด เกือบจะหมดสติไป
นางตื่นตะลึง อ้าปากหมายจะขอความช่วยเหลือ แต่กลับไม่สามารถส่งเสียงใดๆ ได้
พร้อมกันนั้นพวกคนชั้นแนวหน้าตระกูลเจิ้งคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ต่างพรั่นพรึง สีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน
ตั้งแต่หลินสวินเข้ามาในห้องโถง จนหญิงวัยกลางคนคุกเข่าลง ทั้งหมดใช้เวลาเพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น แต่ฝีมือที่หลินสวินแสดงออกมาได้ทำให้พวกเขาตกใจกลัวแล้ว
เดิมทีพวกเขายังคิดว่าแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น แม้จะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามเปิดศึกกับตระกูลเจิ้งของพวกเขา อย่างมากก็แค่มาขอร้องแทนตระกูลเยวี่ย ดังนั้นแม้จะประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้หวาดหวั่นนัก
แต่ตอนนี้ พวกเขานั่งไม่ติดขึ้นมาแล้ว
“สหายน้อย ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของตระกูลเจิ้ง เจ้าบุกเข้ามาเช่นนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ” ชายชราเผ้าผมและหนวดเคราขาวโพลนพูดขึ้น
“อาศัยว่าตนอายุมากกว่าข่มคนอื่น เจ้าก็คุกเข่าลง!”
หลินสวินในตอนนี้คิ้วคมราวกับดาบ ดวงตาดำเยียบเย็นราวกับสายฟ้า กำจายอานุภาพที่สยดสยองและน่าหวั่นหวาดไปทั่วร่างกาย
ไม่เหมือนแขกที่มาเยือน กลับเหมือนนายเหนือหัวผู้กุมความเป็นตายของที่แห่งนี้!
ปึง!
สิ้นเสียงของหลินสวิน ก็ไม่เห็นว่าเขาจะทำอะไร ทว่าชายชราผมขาวนั่นพลันส่งเสียงร้องโอดครวญกะทันหัน ร่างกายทรุดลง คุกเข่าสองข้างลงกับพื้น ใบหน้าชราอึดอัดจนม่วงช้ำขึ้นมา
ทันใดนั้นทั้งห้องโถงพลันเงียบสนิท บุคคลชั้นแนวหน้าตระกูลเจิ้งเหล่านี้ไม่ได้โง่ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เกรงกลัว ก็เพียงเพราะตระกูลของตนเป็นตระกูลทรงอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ในเมืองพันทะเลสาบ นำพาความมั่นใจให้พวกเขาอย่างมาก
อีกอย่างหลินสวินนั้นตัวคนเดียวและยังเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ทำให้พวกเขาคิดไม่ถึงว่าอานุภาพของอีกฝ่ายจะน่ากลัวถึงเพียงนี้!
ไม่เคยลงมือ แค่คำพูดเพียงไม่กี่คำเท่านั้น ก็สามารถข่มให้บุคคลชั้นแนวหน้าสองคนในตระกูลเจิ้งของพวกเขาคุกเข่าลง นี่มันน่าตกใจเกินไปแล้ว
ข้ารับใช้ชราตระกูลเยวี่ยนั่นไปหาคนดุร้ายเช่นนี้มาจากไหน
“คุณชายท่านนี้ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ก่อนหน้านี้หากล่วงเกินประการใดโปรดอภัยให้ด้วย” ชายวัยกลางคนในชุดผ้าไหมสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าแฝงรอยยิ้มถ่อมตัว
“ไม่มีความจริงใจ คุกเข่า!”
หลินสวินไม่หันมองด้วยซ้ำ ประโยคเดียวก็ทำให้ชายวัยกลางคนชุดผ้าไหมคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตึง สองเข่าล้วนแตกหัก ส่งเสียงร้องโหยหวน ใบหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมา
ในห้องโถงยิ่งเงียบงันกว่าเดิม
ในใจทุกคนต่างรู้สึกตระหนกและโกรธอย่างควบคุมไม่อยู่ เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงมีอานุภาพที่น่ากลัวถึงเพียงนี้
ยุ่งยากใหญ่แล้ว!
หัวใจของเจิ้งเฉียนหลงดิ่งวูบ เย็นวาบไปทั้งตัว ตระหนักได้ว่าคราวนี้เจอกำแพงเหล็กเข้าแล้ว
คำว่ามังกรแกร่งไม่อาจสยบคนพาลอะไรนั่นล้วนเป็นคำลวง เมื่อเผชิญกับศักยภาพที่จริงแท้แน่นอน ทุกสิ่งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเสือกระดาษ!
“ลุงเหวิน เหตุใดจู่ๆ พวกเขาจึงคุกเข่าลง กำลังเล่นกลหรือ”
เยวี่ยเจี้ยนเฟยเอ่ยอย่างงุนงง ดังกังวานผิดปกติท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบกริบนี้
เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้เหลวไหลและน่าขันมาก หากอยู่ในสถานการณ์อื่น คนตระกูลเจิ้งที่นั่งอยู่จะต้องหัวเราะลั่น เยาะเย้ยอย่างไม่มีปิดบังแน่
แต่ตอนนี้พวกเขากลับหัวเราะไม่ออก แต่ละคนสีหน้าแข็งทื่อหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับเจอเรื่องทุกข์ระทมที่สุดอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนข้ารับใช้ชราคนนั้นตะลึงกับวิธีเผด็จการและเด็ดขาดของหลินสวินตั้งนานแล้ว อีกทั้งพลังปราณของเขาตื้นเขิน ดูความเร้นลับภายในไม่ออกเช่นกัน แน่นอนว่าไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้
“ไม่ได้เล่นกล เป็นพวกเขากำลังไถ่โทษต่างหาก” หลินสวินพูดเสียงอบอุ่น
“ไถ่โทษหรือ” เยวี่ยเจี้ยนเฟยงงงวย
“ใช่ พวกเขาจะต้องชดใช้กับสิ่งที่ทำวันนี้!”
คำพูดนี้ของหลินสวินประหนึ่งค้อนทุบหนักๆ ลงมา ทำให้คนตระกูลเจิ้งต่างงุนงง ในใจตื่นตะลึง นี่ไม่คิดจะวางมือยุติเรื่องราวโดยดีงั้นหรือ
“คุณชาย ดูออกว่าท่านมาเพื่อเยวี่ยเจี้ยนเฟย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มีอะไรย่อมคุยกันได้ เหตุใดต้องทำร้ายกัน”
ในที่สุดเจิ้งเฉียนหลงก็นั่งไม่ติดแล้ว ลุกขึ้นพูดเสียงขรึม “ที่ผ่านมาตระกูลเจิ้งของข้าไม่ได้เอาเปรียบเยวี่ยเจี้ยนเฟย ที่เกิดเรื่องวันนี้ขึ้นก็เป็นการเข้าใจผิด หากทำผิดพลาดประการใด ตระกูลเจิ้งของข้าก็ยินดีจะชดใช้อย่างสาสม คุณชายคิดว่าอย่างไร”
“เข้าใจผิดงั้นหรือ”
แววเย็นเยียบแวบผ่านในดวงตาหลินสวิน ก่อนหน้านี้เขามาถึงตระกูลเจิ้งตั้งนานแล้ว จิตรับรู้ปกคลุมพื้นที่ทั้งแถบ ได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกของเจิ้งเฉียนหลงอย่างชัดเจน ย่อมรู้ดีว่าเจ้าหมอนี่ที่ดูเหมือนจริงใจ ความจริงก็ยังโกหก!
“คุกเข่าลงพูด”
ดวงตาดำขลับของหลินสวินกวาดมองไป ราวกับทันทีที่พูดออกมาก็กลายเป็นกฎที่บังคับใช้โดยพลัน ความน่าเกรงขามแผ่กระจาย
“เจ้า!”
เจิ้งเฉียนหลงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ระหว่างที่รับมือไม่ทันก็เกือบจะถูกกำราบจนคุกเข่ากับพื้น เขาดิ้นรนสุดชีวิต ในใจทั้งตะลึงทั้งโกรธ
เขาเป็นถึงผู้นำตระกูลเจิ้ง เป็นเหมือนเจ้าเหนือหัวเด็ดขาดในเมืองพันทะเลสาบ หากคุกเข่าลงไป เช่นนั้นต่อไปจะให้เขายืนอยู่ในเมืองพันทะเลสาบได้อย่างไร
แต่สิ่งที่ทำให้เจิ้งเฉียนหลงกลัวคือ ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างไร ในชั่วพริบตาเดียว ร่างกายของเขาก็ถูกพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่สามารถต้านทานได้กดลงพื้น
ในระหว่างนี้เขาโกรธจนเผ้าผมหนวดเคราชี้สูง คำรามดิ้นรน เรียกได้ว่าต่อต้านสุดชีวิต แต่สุดท้ายก็ยังคุกเข่าลง กระดูกทั่วร่างไม่รู้ว่าหักไปกี่ท่อนต่อกี่ท่อนแล้ว น่าอนาถอย่างที่สุด
“ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์เท่านั้น คิดว่าหลบอยู่ในเมืองเล็กๆ อันห่างไกลนี้ ก็สามารถเรียกว่าเป็นราชันได้แล้วจริงๆ หรือ”
เสียงหลินสวินเรียบเฉย
นี่เรียกว่าในป่าไม่มีเสือ ลิงจึงอ้างตัวเป็นราชันโดยแท้ เหมือนอย่างในหมู่บ้านเฟยอวิ๋นแห่งจักรวรรดิจื่อเย่า เหลียนหรูเฟิงที่มีพลังปราณเพียงระดับกำลังภายในยังกล้ากดขี่ชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน วางอำนาจบาตรใหญ่ ก่อกรรมทำชั่วจนแม้แต่สวรรค์และผู้คนต่างพากันเคียดแค้น แต่กลับไม่มีใครกล้าต่อต้าน
เพราะเหตุใด
เพราะหมู่บ้านเฟยอวิ๋นไร้ซึ่งผู้แข็งแกร่ง!
ตระกูลเจิ้งนี่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นสถานการณ์เดียวกัน คิดเองเออเองว่าอยู่ในเมืองเล็กที่ไม่อยู่ในสายตาอย่างเมืองพันทะเลสาบนี้แล้วจะสามารถกําเริบเสิบสานได้ สาเหตุเพราะอะไร
ก็เพราะที่นี่ไม่มีผู้แข็งแกร่งที่สามารถข่มขวัญพวกเขาได้!
เสียดายที่วันนี้พวกเขาเจอกับหลินสวิน
เจิ้งเฉียนหลงคุกเข่าลง ทำให้บุคคลระดับสูงของตระกูลเจิ้งคนอื่นๆ ในห้องโถงอกสั่นขวัญหนี ไอเย็นเยียบแผ่ซ่านในใจ ตกใจจนขาสั่น สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ก่อนหน้านี้พวกเขายังหยิ่งผยอง มั่นใจเต็มเปี่ยม ไม่เคยกลัวหลินสวินอย่างแท้จริง แต่ตอนนี้พวกเขาเหมือนมะเขือเหี่ยวที่ไม่มีชีวิตจิตใจอย่างไรอย่างนั้น
ความแตกต่างนี้มากเกินไปแล้ว ทำให้ข้ารับใช้ชราตระกูลเยวี่ยยังอึ้งค้างอยู่ตรงนั้น
ดวงตาดำของหลินสวินราวกับสายฟ้า กวาดมองรอบๆ “ทำไมไม่พูดแล้วล่ะ เช่นนั้นก็คุกเข่าลงฟังให้หมด!”
เพิ่งจะสิ้นเสียง เสียงคุกเข่าลงพื้นตึงๆ ระลอกหนึ่งดังขึ้นในห้องโถง ทันใดนั้นในห้องโถงนอกจากหลินสวิน ข้ารับใช้ชราตระกูลเยวี่ยและเยวี่ยเจี้ยนเฟยที่ถูกพยุงขึ้นมา คนอื่นๆ ต่างคุกเข่าลงพื้นทั้งหมด
และตั้งแต่ต้นจนจบ หลินสวินไม่ได้ขยับเลยแม้แต่ปลายนิ้ว!
อานุภาพที่น่ากลัวเช่นนี้ ทำให้บุคคลชั้นแนวหน้าตระกูลเจิ้งรู้สึกหมดหวัง ตระหนักได้ว่าครั้งนี้เตะใส่แผ่นเหล็กเข้าแล้ว
“เจ้าจะฆ่าก็ฆ่า เหตุใดต้องเหยียดหยามพวกเราเช่นนี้ ว่ากันถึงที่สุด ก็เพราะคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งไม่ใช่หรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราปฏิบัติต่อเยวี่ยเจี้ยนเฟยแบบเดียวกันแล้วจะผิดอะไร”
แต่ตอนนี้เอง เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นกลับเหมือนไม่จำยอมอย่างมาก กรีดร้องเสียงแหลมออกมา
แย่แล้ว!
ในใจพวกเจิ้งเฉียนหลงกระตุกวูบ ความท้าทายในคำพูดนี้รุนแรงเกินไป หากยั่วโทสะเด็กหนุ่มคนนี้เข้าจะต้องเกิดวิบัติภัยครั้งใหญ่แน่!
——