คำถามที่แฝงความเดือดดาลของเจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวดังก้องอยู่ในห้องโถง แต่กลับทำให้บรรยากาศยิ่งกดดันกว่าเดิม
ที่เหนือความคาดหมายคือ หลินสวินไม่ได้โมโหจนลงมือ แต่พยักหน้าพูดว่า “เจ้าพูดไม่ผิด วิถีโลกใบนี้บูชาพลัง ผู้แข็งแกร่งมีชัยเหนือผู้อ่อนแอ”
“แต่ว่า…”
หลินสวินเปลี่ยนประเด็น นัยน์ตาดำราวกับสายฟ้า กวาดมองคนตระกูลเจิ้งทุกคนที่อยู่ในห้องโถง สุดท้ายหยุดอยู่ที่เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยว “ตระกูลเจิ้งของพวกเจ้าผิดแล้ว!”
“มีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนี้” เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวไม่จำยอม
“เพราะข้าแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้า หมัดใหญ่กว่าพวกเจ้า พวกเจ้าเหยียดหยามน้องชายของสหายข้า ก็เท่ากับเหยียดหยามน้องชายของข้า ให้พวกเจ้าคุกเข่าลงไถ่โทษแล้วมีปัญหาอะไรหรือ”
หลินสวินสีหน้าจริงจังราบเรียบ แต่ละคำราวกับสายฟ้า
คำพูดนี้ดูเหมือนจะมีเหตุผล แต่กลับไม่มีเหตุผลเลยสักนิด เผด็จการอย่างที่สุด ทำให้เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวพูดอะไรไม่ออก
“ว่ากันถึงที่สุด ก็ยังคงเป็นการใช้อำนาจรังแกกันเท่านั้น” ครู่หนึ่งเจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวจึงพูดอย่างร้ายกาจ สายตาอำมหิต
“ข้าจะรังแกตระกูลเจิ้งของพวกเจ้าแล้วอย่างไร”
หลินสวินพูดอย่างเหยียดหยาม “เจ้าอ่อนแอจึงมีเหตุผลหรือ หากเจ้าเข้าใจว่าบูชาผู้แข็งแกร่งหมายความว่าอย่างไรจริงๆ ก็คงไม่ถามคำถามโง่ๆ เช่นนี้”
สีหน้าของเจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวอึมครึมไม่นิ่ง แต่สุดท้ายก็เงียบ นางรู้ว่าเวลานี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์จริงๆ
ห้องโถงเงียบกริบ บุคคลชั้นแนวหน้าตระกูลเจิ้งรวมทั้งเจิ้งเฉียนหลงต่างคุกเข่ากับพื้น ในใจแต่ละคนตื่นตระหนกหวาดหวั่น
ครั้นเห็นภาพนี้ ในใจข้ารับใช้ชราตระกูลเยวี่ยรู้สึกสบายใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ เพียงแต่พอคิดถึงว่าคุณชายใหญ่อาจจะไม่กลับมาอีกแล้ว ในใจเขาก็อดเศร้าไม่ได้
“คุณชายคนนี้ เจ้ามาก่อเรื่องถึงตระกูลเจิ้งของข้า เห็นจะเกินไปหน่อยหรือเปล่า” เสียงชราเสียงหนึ่งดังขึ้น
ผู้อาวุโสใหญ่!
ชั่วขณะนั้น พวกเจิ้งเฉียนหลงดวงตาเป็นประกาย ในใจที่เดิมทีตื่นตระหนกไร้ที่พึ่งเกิดความหวังขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
ผู้อาวุโสใหญ่นามว่าเจิ้งหยวนซิว ชื่อเสียงโด่งดังมาหลายปีแล้ว เป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ ไม่เพียงแค่ในเมืองพันทะเลสาบ ในเมืองอื่นๆ บริเวณรอบๆ ก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือ
ในสายตาของทุกคน ครั้งนี้หากผู้อาวุโสใหญ่ออกหน้า บางทีเรื่องราวอาจจะพลิกผัน!
พร้อมกับเสียงนั่น ชายชราในชุดคลุมสีเขียวเข้ม ท่าทางเกรียงไกรและเคร่งขรึมก้าวเท้าเข้ามา มีความแข็งแกร่งราวกับภูผาอย่างหนึ่ง
ตอนที่เห็นคนตระกูลเจิ้งคุกเข่าอยู่บนพื้น สายตาของเจิ้งหยวนซิวหรี่ลงอย่างยากจะสังเกต หว่างคิ้วปรากฏความอึมครึม ก่อนที่สายตาจะมองไปยังหลินสวิน “ที่แท้ก็เป็นเด็กหนุ่มมากสามารถซึ่งก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง มิน่าถึงได้ไม่เกรงกลัวอะไรเลย”
พลันพูดกับทุกคนบนพื้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่แฝงความขัดเคือง “ข้ามาแล้วยังจะคุกเข่าอยู่ทำไม ยังขายหน้าไม่พอหรือ”
แม้จะเป็นการต่อว่า แต่พวกเจิ้งเฉียนหลงกลับสบายใจอย่างมาก คิดว่าผู้อาวุโสใหญ่มีความมั่นใจที่จะจัดการเด็กหนุ่มคนนั้นให้อยู่หมัดได้
เพียงแต่ตอนที่พวกเขาคิดจะลุกขึ้นยืน ก็รู้สึกว่าแรงกดดันรอบตัวเพิ่มขึ้น กดข่มจนพวกเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้น กระดูกเอ็นเกือบจะแตกหัก
ในเวลาเดียวกันก็เห็นหลินสวินใช้เสียงที่ราบเรียบยิ่งกว่าเจิ้งหยวนซิวพูดขึ้น “ตาเฒ่า หยิ่งผยองเกินไปไม่ใช่เรื่องดี เจ้าก็คุกเข่าลงพูดเถอะ!”
“ไอ้เด็กจองหอง ที่บ้านเจ้าเคยสอนมารยาทเจ้าหรือไม่”
เจิ้งหยวนซิวสีหน้ามืดหม่น เขาคิดว่าตนเองใช้คำพูดเกรงใจมามากพอแล้ว ทั้งไม่ได้สร้างความลำบากใจในทันที แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายกลับมองข้ามความหวังดีของเขา ท้าทายเขาขึ้นมา
“ให้ข้ามีมารยาทงั้นหรือ ตาเฒ่าอย่างเจ้าก็คู่ควรหรือ”
หลินสวินพูดพร้อมสะบัดฝ่ามือออกอย่างสบายๆ ง่ายดายและตรงไปตรงมา ดูธรรมดาอย่างมาก
“รนหาที่ตายจริงๆ!”
เจิ้งหยวนซิวเดือดดาลโดยสิ้นเชิง เสียงครืนโครมดังสนั่น รอบตัวพลันระเบิดอานุภาพที่น่ากลัว แผ่กระจายออกมาราวกับมังกรเฒ่าที่ตื่นจากการหลับใหล
เขาเองก็สะบัดฝ่ามือออกไป อานุภาพฝ่ามือแข็งกร้าวและเป็นประกาย แค่เด็กหนุ่มระดับแปรจุติขั้นกลางคนหนึ่งเท่านั้น กลับกล้าอวดดีเช่นนี้ ต้องเป็นพวกเด็กกำเริบเสิบสานที่ไม่เคยผ่านความยากลำบากมาแน่
เขาตัดสินใจว่าจะให้บทเรียนที่ยากจะลืมไปทั้งชีวิตกับเด็กจองหองคนนี้!
ปัง!
เพียงแต่ตอนที่แรงฝ่ามือสัมผัสลงไป เจิ้งหยวนซิวเป็นต้องตะลึง พบว่าฝ่ามือของตนราวกับตีบนก้อนสำลี มีความรู้สึกว่างเปล่าประการหนึ่ง พลังฝ่ามือทั้งหมดล้วนถูกกลืนกินในชั่วขณะ
“นี่…” ในใจเจิ้งหยวนซิวพลันสังเกตเห็นว่าท่าไม่ดี
เพียงแต่ตอนที่เขาเพิ่งเตรียมจะเปลี่ยนกระบวนท่า ก็รับรู้ได้ว่าพลังฝ่ามือที่เบาเหมือนสำลีในตอนแรกเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
กลายเป็นเหมือนเหวดุจนรก สะท้านขวัญไร้ขอบเขต!
เสียงกร๊อบดังขึ้นคราหนึ่ง ฝ่ามือและแขนของเจิ้งหยวนซิวราวกับถูกพลังมหาศาลปานภูเขาทลายมหาสมุทรถล่มกระแทกจนขาด เลือดสดสาดกระเซ็น
“อ๊าก…” เจิ้งหยวนซิวส่งเสียงร้องโหยหวน ตกใจจนวิญญาณเกือบหลุดออกจากร่าง แทบไม่กล้าเชื่อตาตัวเอง
นี่คือพลังที่เด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลางควรมีงั้นหรือ
ตูม!
ไม่รอให้เขาตอบสนอง พลังฝ่ามือน่ากลัวก็ปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกาย ราวกับภูเขาลูกใหญ่ทับลงมา มีอานุภาพยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถสั่นคลอนได้
ทันใดนั้นท่ามกลางสายตาหวาดกลัวและตกตื่นของทุกคน ผู้อาวุโสใหญ่ที่ราวกับเสาเทพค้ำสมุทรในใจพวกเขา กลับคุกเข่าลงพื้นดังตึง สองเข่ากระแทกพื้น พื้นดินยังถูกกระแทกเป็นหลุมใหญ่ เศษหินปลิวว่อน
ทั้งห้องโถงเงียบสนิท
ทุกสายตาที่มองมาทางหลินสวินราวกับกำลังมองเทพมารคนหนึ่ง เต็มไปด้วยความยากจะเชื่อและหวาดกลัว
นี่เป็นเด็กหนุ่มอย่างไรกัน
ผู้อาวุโสใหญ่ที่มีปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ กลับไม่สามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้ ถูกกดข่มให้คุกเข่าลง น่าพรั่นพรึงเกินไปแล้ว!
“ตาเฒ่า ตอนนี้เจ้ายังคิดว่ามีสิทธิ์สอนมารยาทข้าอยู่หรือไม่” น้ำเสียงของหลินสวินแฝงความเย้ยหยันบางๆ
ส่วนข้ารับใช้ชราตระกูลเยวี่ยนั่นก็ตาค้างอย่างสิ้นเชิง เพราะหลายปีมานี้ แม้แต่เยวี่ยเจี้ยนหมิงเมื่ออยู่ต่อหน้าเจิ้งหยวนซิวยังต้องนอบน้อมสามส่วน เคารพฐานะและพลังของอีกฝ่าย
แต่ไม่เคยคิดว่า เมื่อเผชิญหน้ากับสหายของคุณชายใหญ่ท่านนี้ เจิ้งหยวนซิวกลับต้านทานไม่ได้แม้แต่การโจมตีเดียว!
“เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่” เส้นเลือดตรงหน้าผากของเจิ้งหยวนซิวปูดนูนออกมา ใบหน้าบิดเบี้ยว รู้สึกอับอายและตื่นตระหนกอย่างที่สุด
“ข้าเป็นสหายของเยวี่ยเจี้ยนหมิง” คำพูดของหลินสวินจริงจังมาก จริงจังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นคำพูดที่มาจากใจอย่างแน่นอน
เพียงแต่น่าเสียดายที่คนตระกูลเจิ้งในห้องโถงต่างไม่เข้าใจ เพื่อสหายคนเดียว ก็บุกเข้าตระกูลเจิ้งของพวกเขามาอาละวาด ใครจะเชื่อ
“หืม”
จู่ๆ หลินสวินก็สังเกตเห็นว่า เยวี่ยเจี้ยนเฟยที่อยู่ไม่ไกลคล้ายกับต้องอาคมกะทันหัน ร่างกายสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ดูเหมือนเจ็บปวดอย่างที่สุด
ในเวลาเดียวกัน ตอนนี้เจดีย์สมบัติไร้อักษรก็สั่นไหวขึ้นมา
เกิดจากศพของเยวี่ยเจี้ยนหมิงที่ถูกเก็บไว้ในนั้น!
หลินสวินรับรู้ได้ทันที ในใจเขาสั่นไหวขึ้นมา เรียกศพนั้นออกมา
“คุณชายใหญ่!” ข้ารับใช้ชราตระกูลเยวี่ยส่งเสียงร้องโอดครวญราวกับถูกฟ้าผ่า
ส่วนพวกคนตระกูลเจิ้งต่างอึ้งงัน แม้พวกเขาได้ยินข่าวการตายของเยวี่ยเจี้ยนหมิงมานานแล้ว แต่เมื่อเห็นศพของเขากับตาก็ยังตกใจไม่น้อย
“หรือว่า… เขาคือ…” เจิ้งหยวนซิวเหมือนตระหนักอะไรขึ้นได้ นัยน์ตาที่มองหลินสวินหดรัดลง ใบหน้าแก่ชราขาวซีดขึ้นมาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ อกสั่นขวัญหนี
หลินสวินไม่ได้สังเกตเห็น ด้วยตอนนี้เขาถูกภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าดึงดูดจิตใจอย่างสิ้นเชิง
ศพของเยวี่ยเจี้ยนหมิงที่ถูกเขาอุ้มด้วยสองมือ ตอนนี้กลับกลายเป็นละอองแสงไปทีละน้อย ลอยล่องไปบนร่างกายของผู้เป็นน้องเยวี่ยเจี้ยนเฟย ทำให้ร่างกายของอีกฝ่ายอาบอยู่ท่ามกลางแสงสว่างไสว
ครู่หนึ่งละอองแสงก็หายไป
ร่างกายของเยวี่ยเจี้ยนเฟยหยุดสั่น กลับคืนสู่ความสงบ ทั้งทั่วร่างยังแผ่ท่วงทำนองปราณราวกับถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก ดูเปลี่ยนไปจากที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง
จากนั้นเขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลุกขึ้นยืน สายตากวาดผ่านร่างกายของคนตระกูลเจิ้ง สุดท้ายจึงหันมองหลินสวิน
“หลินสวิน พวกเราเจอกันอีกแล้ว” เขายิ้มอย่างแฝงความซาบซึ้ง “ขอบคุณเจ้าที่เอาร่างวิญญาณครึ่งหนึ่งของข้ากลับมา”
“พี่เยวี่ยหรือ” หลินสวินหวั่นไหว แม้แต่เขายังยากจะเชื่อ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
นี่…
ส่วนพวกคนตระกูลเจิ้งตะลึงค้างไปหมดแล้ว พริบตาเดียวเท่านั้น เหตุใดเยวี่ยเจี้ยนเฟยจึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“เป็นเขาจริงๆ ด้วย… เป็นเขาจริงๆ…” มีเพียงเจิ้งหยวนซิวที่พอได้ยินคำว่า ‘หลินสวิน’ ก็เหมือนถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ อึ้งงั้นไปหมด หัวสมองว่างเปล่า
“ไว้ข้าจัดการเรื่องนี้เสร็จ ค่อยอธิบายความเป็นมาเป็นไปกับเจ้า” เยวี่ยเจี้ยนเฟยยิ้มพูด
หลินสวินพยักหน้า “ก็ดี”
ตอนที่เยวี่ยเจี้ยนเฟยหันมองพวกเจิ้งหยวนซิว ได้กำจายอานุภาพดุดันและกดข่มไปทั่วทั้งร่าง ราวกับกระบี่สมบัติที่ถูกซ่อนอยู่ก้นหีบกำลังออกจากฝัก
“เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ข้ารู้หมดแล้ว ยกเลิกการหมั้นหมายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่สามารถมอบหนังสือหย่าให้พวกเจ้าได้”
เยวี่ยเจี้ยนเฟยเอ่ยเสียงเรียบ “ตั้งแต่ตอนที่พวกเจ้าขอให้ข้ากำหนดการแต่งงานนี้ ข้าก็คิดไว้แล้วว่าจะมีวันนี้ แต่ไม่คิดว่าจะมาถึงไวขนาดนี้”
หนังสือหย่า!
เบื้องหน้าเจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวมืดสลัวลงทันที นางยังไม่ได้แต่งงานก็ถูกหย่าแล้ว หากแบกรับชื่อเสียงเช่นนี้ ต่อไปจะให้นางเอาหน้าที่ไหนออกไปเจอผู้คน
“เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่” เจิ้งเฉียนหลงตะโกนราวกับเห็นผี
“ข้าคือเยวี่ยเจี้ยนหมิง แล้วก็เป็นเยวี่ยเจี้ยนเฟยด้วย” เยวี่ยเจี้ยนเฟยพูดเสียงเรียบ
ทันใดนั้นคนตระกูลเจิ้งในห้องโถงต่างอึ้งงัน ในใจมีเลือดหยดลงมา หากเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่า หากพวกเขาไม่ถอนหมั้น ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวจะได้แต่งงานกับบุคคลระดับผู้กล้าที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งแคว้นวิญญาณอัคนีอย่างเยวี่ยเจี้ยนหมิงงั้นหรือ
แต่…
เขาตายไปแล้วไม่ใช่หรือ กลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
……
สุดท้ายเจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวก็ถูกหย่า นี่คือบทลงโทษของ ‘เยวี่ยเจี้ยนเฟย’ ต่อตระกูลเจิ้ง
“พวกเขาทำกับน้องชายเจ้าเช่นนี้ เจ้าไม่โกรธหรือ ข้ายังคิดว่าเจ้าจะทนไม่ไหวอยากฆ่าสักสองสามคนเสียอีก”
ตอนที่เดินออกจากตระกูลเจิ้ง หลินสวินอดถามไม่ได้
“แม้พวกเขาจะไร้ยางอายไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรหลายปีที่ผ่านมาก็ช่วยข้าดูแลน้องชาย ถือว่าหายกันก็พอแล้ว” ‘เยวี่ยเจี้ยนเฟย’ พูด
“แล้วเจ้าล่ะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่” หลินสวินถาม
“ว่าแล้วว่าเจ้าต้องอดถามไม่ได้” ‘เยวี่ยเจี้ยนเฟย’ ยิ้ม “เจ้าเคยได้ยินเรื่องสองร่างหนึ่งวิญญาณหรือไม่”
สองร่างหนึ่งวิญญาณ!
หลินสวินเข้าใจทันที
นี่คือคุณลักษณะพรสวรรค์ที่หาได้ยากมากอย่างหนึ่ง หนึ่งจิตวิญญาณฝากเก็บไว้ในร่างสองร่าง แตกต่างจากฝาแฝดอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือ คนที่มีคุณลักษณะระดับนี้ ไม่เพียงสามารถนำพาผลประโยชน์ที่เหนือความคาดหมายมาให้ในการฝึกปราณ แม้อีกร่างหนึ่งถูกทำลาย ก็จะยังไม่ตายอย่างสมบูรณ์!
ข้อเสียเพียงประการเดียวคือ ทั้งสองใช้จิตวิญญาณเดียวกัน อีกร่างหนึ่งจึงถูกกำหนดให้เป็น ‘คนโง่’ ในสายตาของผู้อื่นเพราะขาดพลังจิตวิญญาณ
“ครั้งนี้ข้านับว่าโชคดีในคราวเคราะห์ ความรู้สึกที่ได้สัมผัสกับความตายอย่างแท้จริงครั้งหนึ่ง แม้ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง แต่กลับทำให้ข้ารู้จักพลังปราณในรูปแบบใหม่ทั้งหมด อีกทั้งจากประสบการณ์ครั้งนี้ ทำให้ข้าค้นพบความเร้นลับต้นกำเนิดของ ‘สองร่างหนึ่งวิญญาณ’ ไม่แน่ว่าในอนาคต ข้าอาจจะเหนือกว่าเจ้าในด้านมรรคา”
เยวี่ยเจี้ยนเฟยในตอนนี้ก็คือเยวี่ยเจี้ยนหมิง หว่างคิ้วเผยความมั่นใจที่หลินสวินคุ้นเคย
หลินสวินกระแทกหมัดหนึ่งบนไหล่ของอีกฝ่าย ยิ้มพร้อมก่นด่าว่า “ถึงว่าตอนนั้นเจ้าตายอย่างเด็ดขาดชัดเจน ทำข้าเสียใจโดยใช่เหตุ!”
ในใจเขากลับมีความสุขที่พูดไม่ออกอย่างหนึ่ง “ไปๆๆ ไปดื่มกัน!”
“ดื่มจนเมาไปเลยดีหรือไม่”
“ดื่มจนเมาไปเลย!”
——