ตอนที่ 1014 ราตรีที่ยากจะหลับใหล

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1014 ราตรีที่ยากจะหลับใหล

ในราตรีนั้นเองท่าป๋าวั่งและท่าป๋ายวี่ล้วนมิอาจข่มตาหลับได้

ทั้งสองมานั่งอยู่ในลานของคฤหาสน์โดยมิรู้ว่าดื่มชาไปแล้วกี่กา สนทนาไปแล้วตั้งกี่เรื่อง

ท่าป๋าวั่งจากที่โกรธในตอนแรก บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นผิดหวังท้อแท้และท้ายที่สุดก็ใจเย็นขึ้น

ท่าป๋ายวี่ใคร่ครวญนับร้อยนับพันเรื่องราวและเอ่ยสารพัดถ้อยคำเช่นเดียวกัน ทว่าสิ่งที่เขาเอ่ยถึงมากที่สุดก็คือชื่อเล่อชวน

อดีตแคว้นฮวงที่ถูกขนานนามว่าเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนในวันนี้ ได้กลายเป็นดินแดนที่ถูกยอมรับมากที่สุด เศรษฐกิจเกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทุกวันนี้อดีตชาวฮวงดั้งเดิมทั้งหลายต่างก็มีชีวิตที่มั่นคงและมั่งคั่ง

อดีตสมาชิกในราชวงศ์ของแคว้นฮวงก็มิได้โดนฟู่เสี่ยวกวนสังหารเลยแม้แต่คนเดียว !

ท่าป๋าคังเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการคนแรกของชื่อเล่อชวน ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีอีกทั้งยังขยันขันแข็งมากอีกด้วย

ท่าป๋าเฟิงอดีตจักรพรรดิแคว้นฮวง ทุกวันนี้ได้รับหน้าที่เป็นแม่ทัพทหารม้าประจำกองทัพบกซึ่งอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของฟู่เสี่ยวกวน ดูเหมือนว่าเขามิได้รู้สึกอับอายเลยสักนิด ทั้งยังดูโปรดปรานหน้าที่ที่ตนได้รับมากอีกด้วย

ท่าป๋าวั่งจึงถูกท่าป๋ายวี่โน้มน้าวอยู่เนิ่นนานและในท้ายที่สุดก็ได้ข้อสรุปเสียที

“รอให้พิธีถวายความเคารพแล้วเสร็จก่อนเถิดค่อยมาว่ากัน”

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าควรทำตามที่ท่านตรัสและพวกเราต้องคอยดูว่าจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยจะมีทีท่าเยี่ยงไรต่อราชวงศ์เหลียวพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“วันพรุ่งนี้ อ้อ…ไม่สิ ! หากฟ้าสางเมื่อใด พวกเราไปสำรวจเมืองกวนหยุนกัน”

“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา ! ”

……

……

แม้ฮ่องเต้เยลู่ชิงแห่งราชวงศ์เหลียวจะมิได้เดินทางมาด้วยพระองค์เอง ทว่าก็ส่งอัครมหาเสนาบดีเยลู่ตานมาแทน

อัครมหาเสนาบดีเฒ่าผู้นี้มีศักดิ์เป็นเสด็จลุงของเยลู่ชิง เขาคอยอุทิศตนให้แก่ราชวงศ์เหลียวมาทั้งชีวิตและเป็นผู้ทรงอิทธิพลอย่างยิ่งในราชวงศ์ ทั้งยังได้รับความไว้วางพระทัยจากเยลู่ชิงมากอีกด้วย

บัดนี้เขากำลังนั่งอยู่ในลานของคฤหาสน์เช่นเดียวกัน มือของเขาถือถ้วยชาพลางนั่งมองดวงดาราส่องแสงยามราตรี

ข้างกายของเขามีชายหนุ่มสวมใส่อาภรณ์สมถะหนึ่งคน ชายหนุ่มคนนั้นมีอายุราว 20 ปีและดูมีพละกำลัง อีกทั้งยังมีใบหน้าคมคายดุจใบมีด

เขามีนามว่าเยลู่ฮัวผู้เป็นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์เหลียว เพียงแต่นอกจากเยลู่ตานแล้วก็มิมีผู้ใดล่วงรู้ถึงสถานะที่แท้จริงของเขาเลย

เขาได้ติดตามอัครมหาเสนาบดีเฒ่ามายังเมืองกวนหยุน ทว่ามิได้มีจุดประสงค์เพื่อมาเฝ้าดูเยลู่ตาน เขาอยากมาดูให้เห็นกับตาว่าแท้จริงแล้วต้าเซี่ยเป็นเยี่ยงไรเพราะเขามิค่อยเชื่อข่าวคราวที่ได้ยินมาสักเท่าใดนัก

“จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยได้พบกับท่าป๋าวั่งฮ่องเต้แห่งซีเซี่ยเป็นการส่วนตัวเมื่อคืนที่ผ่านมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ” เมื่อเขาทราบข่าวก็รู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองคือซีเซี่ยกำลังหันไปพึ่งพาประเทศต้าเซี่ย

หากเป็นเช่นนั้นจริง เรื่องคงยากเกินรับมือเข้าเสียแล้ว

บัดนี้ทางราชวงศ์เหลียวกำลังรอคอยให้กองทัพอันแข็งแกร่งที่หลบซ่อนอยู่ในภูเขาต้าเซียนเปยติดตั้งอาวุธเสร็จสรรพ

ทว่าทางราชวงศ์เหลียวก็มิได้รออย่างนิ่งเฉย พวกเขายังคงบีบบังคับซีเซี่ยอยู่ในเวลาเดียวกัน จากสถานการณ์ในตอนนี้คือซีเซี่ยกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติ มิว่าจะเป็นด้านการทหารหรือด้านเศรษฐกิจก็ใกล้ล้มครืนเต็มทีแล้ว

ทว่าในความคิดของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหลียว ศัตรูที่แท้จริงของราชวงศ์ก็คือต้าเซี่ยต่างหาก !

ส่วนแคว้นซีเซี่ย…ก็เป็นเพียงแค่มดตัวเล็กที่คอยขวางทางราชวงศ์เหลียวอยู่เท่านั้น

หากทำให้ซีเซี่ยพ่ายแพ้โดยมิต้องเปลืองแรงสู้รบ นั่นคงเป็นบทสรุปอันงดงามที่ราชวงศ์เหลียวปรารถนา…เพราะมิต้องสละชีวีตทหารเพื่อเข้ายึดครองซีเซี่ย ทั้งยังเหลือกำลังพลไว้ทำศึกกับต้าเซี่ยต่ออีกด้วย

“จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเดินหมากได้ดี” เยลู่ตานจิบชาหนึ่งอึก จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “หากกระหม่อมคาดการณ์มิผิด เขาคงตัดสินใจสนับสนุนซีเซี่ยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ศึกเกิดที่ซีเซี่ยและผู้ที่จะถูกกำราบจนแพ้พ่ายก็คือซีเซี่ย ด้านประเทศต้าเซี่ยอาจจะแค่หวังฉกฉวยผลประโยชน์โดยมิต้องออกแรง… เขามีทางเลือกสองทางด้วยกัน ทางแรกคือส่งทหารไปซีเซี่ยแล้วร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกับทหารซีเซี่ยเพื่อโจมตีพวกเราพ่ะย่ะค่ะ”

“หากเขาเลือกทางนี้ก็เท่ากับได้ประกาศว่าเห็นราชวงศ์เหลียวเป็นศัตรู แต่ถ้าเขาเลือกทางที่สองซึ่งก็คือสนับสนุนช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจและการทหารอย่างลับ ๆ แบบนี้ยังพอบอกได้ว่าเขายังเห็นแก่หน้าราชวงศ์เหลียวอยู่บ้าง”

“บัดนี้ยังมิรู้แน่ชัดว่าจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยคิดเยี่ยงไร คาดว่าคงจะประกาศให้ชัดแจ้งในพิธีถวายความเคารพอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ! ”

เยลู่ตานเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ การเดินทางมาเยือนที่นี่ต้องใช้เวลามากโข ทว่าเขาก็ยอมมาเพราะต้องการเห็นกับตาตนเองว่าจักรพรรดิที่ก่อตั้งประเทศได้ยังมิถึงหนึ่งปีจะสูงส่งมากเพียงใด

เขาได้แวะเยี่ยมชมบางสถานที่ในชื่อเล่อชวนและอดีตแคว้นอี๋ ทั้งยังได้แวะพักที่เมืองไท่หลินเป็นเวลา 2 วัน หลังจากนั้นถึงได้เดินทางมายังเมืองกวนหยุน

สิ่งที่ได้เห็นมาตลอดทางทำให้เขายิ่งเกิดความกังวลในใจเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เห็น… มิว่าจะเป็นชาวนาที่กำลังทำนาอย่างขันแข็งหรือเป็นพ่อค้าแม่ขายที่เดินขวักไขว่ ทั้งยังมีสำนักศึกษาที่กระจายตัวอยู่ทุกอำเภอ ทุกแห่งล้วนแสดงถึงความรุ่งเรืองของประเทศให้ประจักษ์ต่อสายตา

ไร้ความทุกข์ระทมปรากฏบนใบหน้าของผู้คน หมายความว่าพวกเขาโปรดปรานชีวิตที่เป็นอยู่จากใจจริง !

พวกเขากำลังใช้สองมือดิ้นรนเพื่ออนาคตอันสวยงามอย่างแข็งขัน !

ไร้ซึ่งขอทานปรากฏบนสองข้างทาง เด็กที่เข้าเรียนในพื้นที่ห่างไกลทั้งชายหญิงล้วนได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม… พวกเขาบอกว่านี่คือพระราชโองการของฝ่าบาทและพวกเขาก็ต้องปฏิบัติตามอย่างสุดความสามารถ !

เมื่อเยาวชนแข็งแกร่งบ้านเมืองก็ย่อมแข็งแกร่ง เมื่อเยาวชนเปี่ยมไปด้วยความหวัง บ้านเมืองก็จะเปี่ยมไปด้วยความหวัง เยลู่ตานเข้าใจสัจธรรมข้อนี้เป็นอย่างดี และเป็นเพราะความเข้าใจนี้เองที่ทำให้เขาอกสั่นขวัญผวา

ต้าเซี่ยที่มีฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ปกครองจะยิ่งใหญ่ขึ้นมิหยุด !

แม้อีกฝ่ายมิได้กางเขี้ยวออกมาให้เห็น แต่ก็อาจจะแอบฝนกรงเล็บอย่างลับ ๆ เพื่อรอเวลาก็เป็นได้

ด้านนโยบายของฮ่องเต้เยลู่ชิงที่มีต่อต้าเซี่ยซึ่งได้ประกาศในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ฝ่าบาทมิประสงค์จะยึดผืนปฐพีของราชวงศ์หยูเดิมหรือแม้แต่แผนการยึดครองชื่อเล่อชวนก็ถูกเปลี่ยนไป

เดิมทีฝ่าบาทประสงค์จะยึดครองเพียงแค่แคว้นซีเซี่ยเท่านั้น ทว่าซูฉางเซิงผู้เป็นโอรสของพระสนมกลับยุยงให้ฝ่าบาทเปิดศึกกับต้าเซี่ย

ซูฉางเซิงเชื้อพระวงศ์ที่เคยถูกทอดทิ้งจากราชวงศ์ บัดนี้ได้ฝึกกองทัพขนาดใหญ่ซึ่งมีกำลังพลมากถึง 450,000 นายอย่างลับ ๆ ในภูเขาต้าเซียนเปย เย่ลู่ตานและฝ่าบาทเคยไปเยี่ยมเยียนฐานทัพนี้มาก่อน มันมีความแตกต่างจากกองทัพของราชวงศ์เหลียวโดยสิ้นเชิง

กองทัพนี้มีแสนยานุภาพทางการศึกสูงมากยิ่งนัก แข็งแกร่งถึงขั้นใช้ทหารเพียงแค่ 1,000 นาย แต่สามารถเอาชนะทหารของราชวงศ์เหลียวจำนวน 10,000 นายได้ !

นั่นเป็นการจำลองสถานการณ์ระหว่างสองฝ่าย และทหาร 1,000 นายยังมิได้ติดตั้งอาวุธปืนเลยด้วยซ้ำ

ซูฉางเซิงบอกว่ากองทัพนี้มีชื่อว่า กองทัพอสนีบาต… ซึ่งกองทัพนี้มีลักษณะสมชื่อเพราะพวกเขามีความรวดเร็วดั่งสายลม ว่องไวดุจสายฟ้าและมีฝีมือมิธรรมดา

ดังนั้นฝ่าบาทจึงเปลี่ยนแปลงนโยบายเดิมที่วางไว้ ทั้งยังได้แต่งตั้งซูฉางเซิงเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพอสนีบาตอีกด้วย

ฝ่าบาททรงเปลี่ยนแปลงนโยบายก่อนออกเดินทางโดยประกาศให้ต้าเซี่ยเป็นศัตรูอย่างเป็นทางการ มิรู้ว่าเรื่องนี้เป็นโชคดีหรือโชคร้ายของราชวงศ์เหลียวกันแน่ ?

เยลู่ตานมิสามารถให้คำตอบได้เช่นกัน

โดยทั่วไปแล้วกองทัพจำนวน 450,000 นายควรเป็นกองทัพที่ไร้เทียมทานในใต้หล้า ซึ่งมีกำลังความสามารถมากพอที่จะตีประตูของต้าเซี่ยให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ได้

ทว่าความเข้าใจของเยลู่ตานที่มีต่อต้าเซี่ยก็ได้เพิ่มพูนขึ้น เขาจึงตระหนักได้ว่ามิสามารถใช้ความน่าจะเป็นได้ในสถานการณ์เยี่ยงนี้ เนื่องจากกองทัพอสนีบาตล้วนได้รับการฝึกฝนเลียนแบบกองทัพดาบเทวะแห่งต้าเซี่ยทั้งสิ้น !

นั่นหมายความว่าหากกองทัพดาบเทวะและกองทัพอสนีบาตมาประจันหน้ากัน ผลที่ว่าฝ่ายใดจะชนะหรือฝ่ายใดจะแพ้ก็คงยากเกินคาดเดา

หากกองทัพอสนีบาตมิสามารถตีต้าเซี่ยให้พ่ายได้ในคราเดียว หากต้องตกอยู่ในสภาวะศึกสงครามจนกินเวลายาวนานไปเรื่อย ๆ…

เยลู่ตานสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองดวงดาราพร่างพราว เขาลอบคิดในใจว่าเพียงแค่เศรษฐกิจอันแข็งแกร่งของต้าเซี่ยก็เกรงว่าจะสามารถลากราชวงศ์เหลียวให้ดำดิ่งลงสู่ความอัปยศอดสูได้ตั้งแต่ศึกคราแรกแล้วด้วยซ้ำ

ดั่งเช่นแคว้นซีเซี่ยในทุกวันนี้

เขาจึงส่งรายงานด่วนกลับไปยังมาตุภูมิเพื่อหวังให้ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหลียวเปลี่ยนนโยบายอีกครา และโน้มน้าวมิให้ประกาศตนเป็นศัตรูกับประเทศต้าเซี่ย

“องค์รัชทายาท หากต้าเซี่ยแสดงทัศนคติอย่างชัดเจน กระหม่อมมีคำขอร้องประการหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านอัครมหาเสนาบดีจงเอ่ยมาเถิด ! ”

“ถ้าหาก…ฟู่เสี่ยวกวนยอมหนุนหลังซีเซี่ย กระหม่อมใคร่ขอให้พระองค์ไปพบเขาเป็นการส่วนตัว”

“เหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้นด้วยเล่า ? ”

“เพื่อแสดงความนอบน้อมพ่ะย่ะค่ะ ! ”

เยลู่ฮัวขมวดคิ้วมุ่น ตั้งใจฟังในสิ่งที่เยลู่ตานกำลังจะเอ่ยต่อไป “หากว่าองค์จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยประสงค์จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ทางราชวงศ์เหลียวจำต้องถอนทัพ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้พวกเราเผชิญกับทางตันพ่ะย่ะค่ะ”

“ถอนทัพ ? แม้แต่ซีเซี่ยก็มิเอาแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“กระหม่อมแนะนำว่าอย่าดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

เยลู่ฮัวหัวเราะร่าออกมา “ท่านอัครมหาเสนาบดี ท่านแก่เกินไปแล้ว ! ”

เยลู่ตานเงยหน้ามองท้องนภาอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งเยลู่ฮัวลุกขึ้นแล้วเดินออกไป เขาจึงพึมพำออกมาว่า “ใช่สิ…ข้ามันแก่เกินไปแล้ว ! ”

“ทว่าดวงตาคู่นี้ของข้ายังมิได้พร่ามัว ! ”