บทที่ 1453 : แจกจ่ายอาวุธ
ในเวลาบ่ายสามโมงครึ่งทั้งหลิงหยุน ฉินจิวยื่อ ฉินตงเฉวี่ย ฉินชุนเฟิง และคนอื่นๆนั้น หลังจากส่งหนิงหลิงยู่และคนตระกูลหนิงทั้งหมดออกจากสำนักกระบี่หลิงหยุนแล้ว ทุกคนก็มิได้กลับไปยังยอดเขาเทียนเฟิง แต่มารวมกันอยู่ที่ตีนเขามนุษย์
และนี่เป็นครั้งแรกที่ฉินจิวยื่อออกจากยอดเขาเทียนเฟิงนับตั้งแต่หลิงหยุนมาถึงและนางก็ได้บอกว่านางจะไม่กลับไปที่ยอดเขาเทียนเฟิงอีกแล้ว
หลิงหยุนรู้ว่าฉินจิวยื่อนั้นแตกต่างจากฉินตงเฉวี่ยมากฉินจิวยื่อเป็นคนพูดน้อย แต่เป็นคนมีจิตใจเด็ดเดี่ยว ไม่เพียงนางมักจะทำสิ่งต่างๆโดยมิต้องการคำแนะนำจากผู้ใด และเมื่อตัดสินใจที่จะทำแล้ว ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่
ฉินจิวยื่อบอกว่านางจะไม่ไปจากยอดเขาเทียนเฟิงและจะอยู่เซ่นไหว้ดวงวิญญาณของหนิงเทียนหยาเจ็ดวัน นางก็ทำเช่นนั้นจริงๆ และนางจะออกจากห้องเซ่นไหว้ก็เฉพาะเวลารับประทานอาหาร หรือทำสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น
จนกระทั่งผ่านไปเจ็ดวันนางเดินมาส่งศพหนิงเทียนหยาด้วยตัวเอง และเมื่อพูดว่าจะไม่กลับไปเหยียบยอดเขาเทียนเฟิงอีก ย่อมหมายความว่าชั่วชีวิตของนางจะมิไปที่นั่นอีกแล้ว..
คนเช่นฉินจิวยื่อนั้นหามิได้ง่ายๆบนโลกใบนี้!
“หลิงหยุน..ลุงมีเรื่องต้องการที่จะปรึกษาเจ้า!” หลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว ฉินชุนเฟิงก็เอ่ยปากขึ้นทันที
หลิงหยุนเข้าใจได้ทันทีว่าฉินชุนเฟิงกำลังต้องการที่จะกล่าวอันใดและเขาก็เห็นด้วยกับฉินชุนเฟิงอย่างยิ่ง
“ท่านลุงฉิน..ศรีษะบนเขาเทียนเฟิงนั่น ท่านอยากได้ศรีษะของผู้ใดก็จงนำไปได้เลย ส่วนศรีษะที่เหลือข้าจะสั่งให้คนทำลายทิ้งซะ!” “ข้าจะเลือกเฉพาะศรีษะของคนตระกูลตี๋ที่สำคัญๆไปเท่านั้นจะได้นำไปเซ่นไหว้ดวงวิญญาณบรรพชนตระกูลฉินที่ต้องเสียชีวิตไปเมื่อสิบแปดปีก่อน”
หลังจากพูดเรื่องสำคัญที่สุดไปแล้วฉินชุนเฟิงก็พูดต่อว่า “หลิงหยุน ข้ารู้ว่าหลายวันนี้เจ้ายังไม่มีเวลาได้พูดคุยกับแม่ของเจ้ามากนัก และคงมีคำพูดมากมายที่จะกล่าวกับนาง แต่ตระกูลฉินสามารถกำจัดศัตรูได้เช่นนี้ นับเป็นเรื่องยินดียิ่ง เจ้าคิดเห็นเช่นใด.. หากข้าต้องการพาแม่ของเจ้ากลับไปตระกูลฉินเพื่อพักผ่อนสักระยะ..”
เรื่องนี้หลิงหยุนเองก็คิดไว้เช่นกันในเมื่อฉินชุนเฟิงเป็นฝ่ายเอ่ยปากเช่นนี้ เขาจึงรีบพยักหน้าเห็นด้วยทันที..
จากนั้นฉินชุนเฟิงจึงหันไปบอกกับฉินจิวยื่อและฉินตงเฉวี่ยส่วนตัวเขาก็กลับไปที่ยอดเขาเทียนเฟิงในทันที
“ท่านแม่..หลายวันนี้ท่านเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว ท่านลุงฉินพูดถูก.. ท่านแม่กลับไปพักที่ห้องสักสองวันให้หายเหนื่อยก่อน จากนั้นจึงค่อย..”
“ไม่ต้อง!”
ฉินจิวยื่อเอ่ยปฏิเสธค้านขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล“หลิงหยุน ข้าอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องอยู่นานกว่านี้อีกแล้ว..”
“เอ่อ…”
หลิงหยุนคิดไม่ถึงว่าฉินจิวยื่อจะตัดสินใจไปแล้วหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “เช่นนั้นแล้วท่านแม่หมายความว่า…”
ฉินตงเฉวี่ยที่ยืนอยู่ด้วยเป็นฝ่ายเอ่ยขัดขึ้นทันที“นางกับข้าจะเดินทางกลับตระกูลฉินภายในคืนนี้ หลังเจ้าเสร็จภารกิจที่นี่แล้ว เจ้าจึงค่อยตามไปสมทบกับพวกเราที่ตระกูลฉิน..”
เมื่อเห็นว่าฉินจิวยื่อกับฉินตงเฉียนได้ปรึกษาหารือกันมาก่อนแล้วหลิงหยุนจึงตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะกลับไปพร้อมกับพวกท่านด้วยที่นี่ไม่มีอะไรที่ข้าจะต้องจัดการ..”
“หลิงหยุน..”
ฉินจิวยื่อก้าวเท้าเข้าไปหาหลิงหยุนพร้อมกับยื่นมือออกไปกุมมือของเขาไว้“เจ้าไม่จำเป็นต้องไปกับพวกเรา”
นางจ้องลึกลงไปในดวงตาของหลิงหยุนแล้วจึงกล่าวต่อ “หลายวันมานี้.. ข้าได้ฟังเรื่องของเจ้าจากตงเฉวี่ยและหลิงยู่ พวกนางเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังมากมาย ข้ารู้ว่าเวลานี้เจ้ากลายเป็นคนที่มีภารกิจรัดตัว การที่เจ้าสามารถมาช่วยข้าถึงสำนักกระบี่เทียนซานได้เช่นนี้ นั่นก็เหนือความคาดหมายของข้ามากแล้ว ในเมื่อทำสำเร็จแล้ว เหตุใดจึงไม่อยู่จัดการในเรื่องที่ควรจัดการอีกเล่า”
หลิงหยุนยกมือขึ้นเกาศรีษะและกำลังจะเอ่ยปฏิเสธ“ท่านแม่เรื่องนั้น…”
แต่ฉินตงก็เอ่ยขัดขึ้นมาอีกครั้ง“เหตุใดเจ้ายังต้องห่วงความปลอดภัยของข้าอีกเล่า”
นางยิ้มออกมาพร้อมกับกระเซ้าแหย่หลิงหยุน“เวลานี้หลิงหยุนของข้าแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ยังจะมีผู้ใดกล้าทำร้ายข้าอีกงั้นรึ”
นี่นับเป็นครั้งแรกที่หลิงหยุนได้เห็นรอยยิ้มและสีหน้าเปี่ยมสุขของฉินจิวยื่อนับตั้งแต่หนิงเทียนหยาจากไป..
หลิงหยุนจึงได้แต่ยิ้มออกมาพร้อมกับตอบไปว่า“นอกเหนือจากพวกมีตาแต่ไร้แววเท่านั้นล่ะ จึงจะกล้า..”
“ก็นั่นน่ะสิ!”
ฉินจิวยื่อยกมือขึ้นตบบ่าหลิงหยุนเบาๆ“ข้ายังมีเรื่องมากมายต้องพูดกับเจ้าเช่นกัน แต่ยังมีเวลาจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนนัก!”
“ลูกน้อมรับคำสั่งท่านแม่..”
ในเมื่อฉินจิวยื่อตัดสินใจที่จะกลับไปในคืนนี้หลิงหยุนจึงต้องตามใจ “รอให้ฟ้ามืด ข้าจะไปส่งท่านแม่ที่สนามบิน..”
เมื่อได้ยินว่าฉินจิวยื่อจะกลับตระกูลฉินในคืนนี้ทั้งเย่ซิงเฉิน ไป๋เซียนเอ๋อ ตี้เสี่ยวอู๋ และคนอื่นๆต่างก็พากันมาร่ำลา แม้กระทั่งหลี่เพียวหยาง กัวผิง และศิษย์สำนักกระบี่หลิงหยุนต่างก็ตามออกมาเช่นกัน แต่กลับถูกตี้เสี่ยวอู๋ห้ามไว้ จึงมิได้เข้าไปร่ำลา เพียงแค่รออยู่ด้านนอกเท่านั้น
…..
ในเวลาหนึ่งทุ่มตรงหลิงหยุนและเย่ซิงเฉินก็ได้ไปส่งฉินจิวยื่อ และคนตระกูลฉินทั้งหมดที่สนามบินอัคสุ หลังจากเครื่องบินส่วนตัวของตระกูลฉินทะยานขึ้นสู่น่านฟ้าแล้ว ทั้งคู่จึงกลับไปที่สำนักกระบี่หลิงหยุน
หลังจากกลับไปที่สำนักกระบี่หลิงหยุนแล้วในเวลาสามทุ่มตรงหลิงหยุนจึงได้พาเย่ซิงเฉินกับคนอื่นๆเหาะไปยังยอดเขาแห่งหนึ่งในบริเวณนั้น
“ซิงเฉิน..ข้าจัดการหลอมอาวุธให้กับเจ้าใหม่แล้ว นี่คืออาวุธระดับสมบัติขั้นสูงสุดเลยทีเดียว!”
หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับเรียกดาบคู่มารสะบั้นเทวะออกมามอบให้กับเย่ซิงเฉินแววตาทั้งสองของนางเป็นประกายขึ้นมาทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่น่ากลัวจากดาบคู่ ใบหน้างดงามนั้นบ่งบอกถึงความตื่นเต้นดีใจออกมาอย่างชัดเจน
“อาวุธระดับสมบัติขั้นสูงสุด..หมายความเช่นใดงั้นรึ”
“อธิบายง่ายๆด้วยขั้นพลังของเจ้าเวลานี้ สามารถใช้ดาบคู่มารสะบั้นเทวะที่ข้าหลอมให้ใหม่นี้ สังหารยอดฝีมือในด่านสุดท้ายขั้นก่อสร้างรากฐานได้!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับกล่าวต่อว่า“หากเจ้ามิมีอาวุธในระดับนี้ ยอดฝีมือในด่านกลางขั้นก่อสร้างรากฐานย่อมสามารถเอาชนะเจ้าได้อย่างง่ายดาย..”
และแน่นอนว่า..หลิงหยุนเปรียบเทียบให้ฟังโดยที่มิได้พูดถึงดวงดาวหนึ่งร้อยแปดดวง ซึ่งเป็นไพ่ตายของเย่ซิงเฉิน
เย่ซิงเฉินพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า“อ่อ.. ข้าเข้าใจแล้ว!”
“เสี่ยวอู๋..นี่ของเจ้า!” หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับเรียกขวานยักษ์ออกมาจากแหวนจักรวาลขวานด้ามนี้ยาวถึงหนึ่งเมตรเลยทีเดียว..
ขวานใหญ่ของตี้เสี่ยวอู๋นั้นเป็นอาวุธระดับวิญญาณที่เขายึดมาจากศิษย์คุนหลุนหลัวหย่งฉีนั่นเอง
“ขอบคุณพี่หยุน!”
ตี้เสี่ยวอู๋เอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจอย่างมากและรีบยื่นมือออกไปคว้าด้ามขวานไว้ทั้งสองข้างทันที พร้อมกับลองฟาดฟันใส่ห้วงอากาศไปมา
หลิงหยุนหันไปยิ้มให้กับหวังชงเซียวพร้อมกับเรียกกระบี่สีดำยาวสองเมตรออกมายื่นให้
“ส่วนนี่ก็ของเจ้า!”
“ขอบคุณคุณชายหลิง!”
หวังชงเซียวรีบตรงเข้าไปรับกระบี่เหินของตนเองกลับมาทันที
“เฒ่าหวัง..โลหะที่ข้าหลอมเข้ากับกระบี่เหินของเจ้าให้ใหม่นั้น สามารถหลอมกระบี่ได้ถึงหกเล่มเลยทีเดียว แต่เพราะข้ามีโลหะที่จำกัด จึงหลอมกระบี่เหินของเจ้าได้เพียงแค่อาวุธระดับวิญาณขั้นสูงสุดเท่านั้น เจ้าใช้ไปก่อนก็แล้วกัน..”
“คุณชายหลิงได้โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้นเดิมทีกระบี่เหินเล่มนี้ของข้าเป็นเพียงอาวุธระดับเวทย์ขั้นกลางเท่านั้น ท่านช่วยหลอมใหม่จนกลายเป็นอาวุธระดับวิญญาณขั้นสูงสุดเช่นนี้ ข้าหวังชงเซียวซาบซึ้งใจยิ่งนัก..”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า“เวลานี้เจ้าเองก็เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) แล้ว ด้วยกระบี่เล่มนี้เจ้าสามารถสังหารยอดฝีมือระดับเริ่มต้นขั้นก่อสร้างรากฐานได้อย่างง่ายดาย”
ทุกครั้งที่หลิงหยุนมอบอาวุธให้กับทุกคนแล้วเขาก็ไม่ลืมที่จะอธิบายระดับพลังของมันให้ทุกคนเข้าใจด้วย เพื่อที่ทุกคนจะได้เก็บรักษาอาวุธวิเศษนี้ไว้เป็นอย่างดี
“เอาล่ะ..พวกเจ้าทุกคนทำการหยดเลือดของตนลงไปบนอาวุธประจำตัวได้แล้ว!”
หลังจากที่ทั้งสามคนหยดเลือดของตนเองแสดงความเป็นเจ้านายแล้วหลิงหยุนจึงได้บอกกับทุกคนว่า
“พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางกันแต่เช้าพวกเจ้ากลับไปพักผ่อนได้แล้ว!”