บทที่ 1454 มิมีผู้ใดกล้าหยุดยั้ง

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 1454 : มิมีผู้ใดกล้าหยุดยั้ง
  “หลิงหยุน..”
  เย่ซิงเฉินเห็นหลิงหยุนกำลังจะเหาะกลับจึงรีบร้องเรียกไว้ทันที
  “เจ้าให้พวกเขากลับไปก่อนข้ามีเรื่องจะอยากจะคุยกับเจ้า!”
  หลิงหยุนได้ยินเช่นนั้นจึงรู้ได้ทันทีว่าเย่ซิงเฉินจะต้องมีเรื่องสำคัญยิ่ง จึงได้หันไปสั่งตี้เสี่ยวอู๋ และคนอื่นๆให้กลับไปก่อน
  “มีเรื่องอันใดงั้นรึจึงได้ทำท่าทางลึกลับเช่นนั้น”
  หลังจากที่ทุกคนจากไปแล้วหลิงหยุนจึงหันไปยิ้มให้กับเย่ซิงเฉินพร้อมกับถามขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม..
  “อืมม..”
  เย่ซิงเฉินเหม่อมองออกไปด้านหน้าหลังจากมีท่าทีลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเอ่ยออกไปว่า  “หลิงหยุน..ดูเหมือนพวกเราคงต้องแยกจากกันสักพักใหญ่แล้วล่ะ!”
  “เจ้าว่าอะไรนะ!”
  หลิงหยุนร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจหลังจากนิ่งไปด้วยความตกตะลึงครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็เอ่ยถามออกไปว่า
  “แยกกันสักพักงั้นรึ!นี่เจ้าจะไปที่ใดกัน?”
  เย่ซิงเฉินถอนหายใจยาวก่อนจะตอบกลับไปว่า“ในระหว่างที่เจ้าเก็บตัวหลอมอาวุธอยู่นั้น ชิงเฟิงและท่านป้าชิงหยวนได้ติดต่อข้ามา และบอกเล่าหลายสิ่งหลายอย่างให้ข้าฟัง..”
  “คงจะมิใช่เรื่องปกติสินะ”
  หลิงหยุนรู้ดีว่าเย่ซิงเฉินนั้นจะต้องรายงานเรื่องสำคัญต่างๆให้กับหยินชิงเฉวียนรู้ โดยผ่านทางชิงเฟิงและชิงหยวน เขาจึงพอที่จะคาดเดาได้..
  “หลังจากที่ท่านอาจารย์ได้ยินว่าข้าฝึกวรยุทธบ่มเพาะที่เจ้าถ่ายทอดให้จนสามารเข้าสู่ขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่) ได้แล้ว ท่านจึงได้สั่งให้ข้ากลับไปให้เร็วที่สุด!”
  “เจ้าจะกลับไปที่ใดรึ”
  “อันหยาง..”
  เย่ซิงเฉินตอบกลับทันทีจากนั้นจึงหันไปหาหลิงหยุนพร้อมกับกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ และร้องตะโกนใส่หน้าหลิงหยุน
  “นี่เจ้ากล้าหลอกถามข้าเชียวรึ”
  ริมฝีปากแดงก่ำของหลิงหยุนฉีกกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงรายก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงภูมิอกภูมิใจ
  “เจ้าไม่จำเป็นต้องปิดบังข้า..อันหยางอยู่ทางตอนใต้ของเหอหนาน อีกทั้งยังเคยเป็นเมืองหลวงในสมัยราชวงศ์ชาง ข้าคาดเดาได้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ต้องการย้ำให้มั่นใจมากขึ้นก็เท่านั้นเอง..”
  เมื่อครั้งที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นหลิงหยุนได้คะแนนเต็มในวิชาประวัติศาสตร์ เมื่อเขาได้รู้ว่ามารดาของตนเป็นทายาทของราชวงศ์ชางแล้ว หลิงหยุนก็พอที่จะคาดเดาสถานที่ที่แม่ของเขาต้องการให้เย่ซิงเฉินกลับไปได้ในทันที เพียงแต่ต้องการคำยืนยันจากปากของนางเท่านั้น และเพราะเย่ซิงเฉินกำลังสับสนยิ่ง จึงมิทันได้ระวังตัว และเผลอตอบหลิงหยุนไปตามจริง
  และเวลานี้หลิงหยุนก็ได้รับการยืนยันจากปากของเย่ซิงเฉินแล้วว่าเมืองอันหยางในมณฑลเหอหนาน ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ชางเมื่อสามพันปีก่อนนั้น ก็คือที่ตั้งของพรรคมารนั่นเอง!
  แม้หลิงหยุนจะยังมิรู้ว่าที่นั่นจะใช่สำนักงานใหญ่ของพรรคมารหรือไม่ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่ามารดาของตนได้ถูกคุมขังไว้ที่นั่นแน่..
  “หึ..คงจะไม่มีเรื่องใดที่สามารถหลุดรอดหูตาของเจ้าไปได้เลยสินะ”
  เย่ซิงเฉินประชดประชันแต่แล้วก็อธิบายต่อว่า “ความจริงท่านอาจารย์สั่งข้าไว้ว่า เมื่อใดที่ข้าเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8 ต้องรีบกลับไปพบนางในทันที แต่ใครจะไปรู้ว่าเจ้าจะมีภารกิจมากมายเช่นนี้กัน..”
  “นี่เจ้ากล่าวหาข้างั้นรึ”
  หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเขาถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะร้องตะโกนเสียงดัง
  “เห็นชัดว่าใครบางคนระล้าระลังไม่อยากกลับไปต่างหากเล่าแต่พยายามหาเหตุผลโทษคนอื่นเพื่อให้ตนเองพ้นผิด ปากไม่ตรงกับใจ.. ปากไม่ตรงกับใจ..”
  เย่ซิงเฉินได้ยินถึงกับร้องห้ามด้วยความโมโห“นี่!! ถ้าเจ้ายังขืนตะโกนอีกล่ะก็ ข้าจะไปเสียตอนนี้เลย!”
  “ได้ๆๆข้าไม่พูดแล้ว!!”
  หลิงหยุนรีบหุบปากของตนเองทันทีแล้วจึงหันไปมองเย่ซิงเฉินพร้อมกับเอ่ยออกไปว่า
  “ในเมื่อเป็นคำสั่งของท่านแม่เจ้าก็ควรต้องกลับไป ส่วนภารกิจยุ่งเหยิงของข้า ข้าสามารถจัดการเองได้!”   หลิงหยุนหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้นว่า “แต่ระหว่างทางที่เดินทางกลับ เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มาก!”
  “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า..”
  เย่ซิงเฉินยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยต่อว่า“เจ้าบอกข้าเองมิใช่รึว่า อาวุธของข้าสามารถสังหารยอดฝีมือด่านสุดท้ายขั้นก่อสร้างรากฐานได้ แล้วเจ้ายังจะต้องกังวลไปใย”
  หลิงหยุนพยักหน้า“ข้ามิได้ห่วงผู้อื่น.. แต่เกรงว่าผู้เฒ่าในพรรคมารจะคลุ้มคลั่งจนคิดสังหารเจ้าขึ้นมาน่ะสิ!”
  “เรื่องนั้นเจ้ายิ่งมิต้องกังวลไป..เพราะไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นแน่!”
  เย่ซิงเฉินอธิบายต่“หากผู้เฒ่าพรรคมารต้องการทำเช่นนั้นจริง ทั้งท่านอาจารย์และคนตระกูลหลิง คงถูกสังหารตายไปตั้งแต่สิบแปดปีก่อนแล้ว ไม่อาจมีชีวิตรอดอยู่มาจนถึงตอนนี้เป็นแน่”   “อีกทั้งหลังจากได้สังหารซือกงถูไปแล้วคนในพรรคมารส่วนใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่ภักดิ์ดีต่อท่านอาจารย์ทั้งสิ้น..”
  หลิงหยุนพยักหน้าเห็นด้วยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตระกูลหลิงเมื่อสิบแปดปีก่อนนั้น นับว่าพรรคมารปราณีต่อหยินชิงเฉวียนยิ่งนัก ครั้งนั้นพรรคมารมิเพียงไม่กำจัดตระกูลหลิง แต่ยังมิได้ทำร้ายหยินชิงเฉวียนอีกด้วย เพียงแค่พรากนางจากหลิงเสี่ยว และนำตัวไปกักบริเวณไว้เท่านั้น
  หลังจากที่หยินชิงเฉวียนกลับไปพรรคมารก็ยังมีคนคอยรับใช้ อีกทั้งยังสามารถถ่ายทอดวิชาให้กับศิษย์ของตนเองได้ และเย่ซิงเฉินก็สามารถเข้าออกพรรคมารได้ตามปกติ และสามารถเดินทางไปได้ทั่วทั้งประเทศจีนอย่างอิสระมาตลอดครึ่งปีนี้
  และด้วยเหตุผลต่างๆเหล่านี้ทำให้หลิงหยุนสามารถอดทนรอได้อย่างใจเย็นมาจนถึงทุกวันนี้ได้ เขาไม่เพียงคิดจะไปช่วยหยินชิงเฉวียนออกมาจากพรรคมารเท่านั้น แต่ยังจะช่วยให้พ่อกับแม่ของเขาสามารถกลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งด้วย ให้พวกท่านมิต้องอยู่อย่างเป็นทุกข์เพราะการพลัดพรากอีก
  “พรรคมารของข้าเดิมถูกเรียกขานว่าประตูเทพแต่เวลานี้กลับชาวยุทธที่อ้างตนเป็นฝ่ายธรรมะในยุทธภพ ใส่ร้ายและเรียกขานว่าพรรคมาร..”
  “แต่ไหนแต่ไรมา..ธิดาสวรรค์ของประตูเทพจะมีเพียงแค่ผู้เดียวเท่านั้น และห้ามมิให้แต่งงานกับมนุษย์ นี่เป็นกฏเหล็กของสำนักเราเลยทีเดียว ฉะนั้นแล้ว.. ท่านอาจารย์กับท่านลุงหนิงจึงมิสามารถ…”
  เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้เย่ซิงเฉินก็จ้องลึกลงไปในดวงตาของหลิงหยุนพร้อมกับพูดต่อว่า “หลิงหยุน.. ที่ข้ากล่าวเช่นนี้ หาใช่ต้องการแก้ต่างแทนสำนักของข้า แต่เมื่อใดที่เจ้าได้พบเจอท่านอาจารย์ นางก็ย่อมต้องกล่าวเช่นเดียวกับข้า”
  “ข้าเชื่อ..”   หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพยักหน้าจากนั้นจึงเอื้อมมือไปกุมฝ่ามือนุ่มนวลของเย่ซิงเฉินไว้ “ซิงเฉิน.. เจ้าเองก็รู้ดีว่าข้าได้สนใจเรื่องพวกนั้นไม่ ข้าทำในสิ่งที่ข้าควรทำ และฆ่าคนที่สมควรตายเท่านั้น!”
  ทั้งคู่ต่างก็ยิ้มให้กัน..
  “เจ้าลุกขึ้น..”
  เย่ซิงเฉินดึงมือหลิงหยุนให้ลุกขึ้นยืนจากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปหลิงหยุนไว้
  แชะ..แชะ..
  “นี่มันอะไรกัน…”
  เย่ซิงเฉินถึงกับงุนงงเมื่อพบว่าภาพที่นางถ่ายนั้นมีเพียงหน้าจอสีดำ!
  “นี่แม่นาง..ค่ำมืดดึกดื่นไร้แสงจันทร์เช่นนี้ จะถ่ายภาพติดได้อย่างไรกันเล่า..”
  หลิงหยุนรู้ดีว่าเย่ซิงเฉินต้องการถ่ายรูปของเขาไปให้หยินชิงเฉวียนดู..
  เย่ซิงเฉินหน้าเสียพร้อมกับบ่นพึมพำว่า“ทำเช่นไรดี.. ข้าไม่มีรูปของเจ้าไปให้ท่านอาจารย์ดูเลย!”
  ยังมิทันที่เย่ซิงเฉินจะพูดจบดีแสงไฟก็สว่างไปทั่วทั้งบริเวณ เพราะลูกไฟขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเขา ก่อนที่จะค่อยๆลอยเหนือศรีษะ..
  ฟิ้ว..ฟิ้ว.. ฟิ้ว.. ฟิ้ว..
  จากนั้นกระบี่เหินเงาธนูกระบี่กังฉี หอกมังกรทอง และตราหยกจักรพรรดิ ก็ได้พุ่งออกมาและลอยล้อมรอบกายของหลิงหยุนอยู่เช่นนั้น
  ตามมาด้วยกระบี่โลหิตเทวะในมือของเขาก่อนจะโพสท่าที่คิดว่าเท่ห์ที่สุด แล้วจึงร้องตะโกนบอกกับเย่ซิงเฉิน..
  “เอาล่ะ..เวลานี้ข้าดูดีที่สุดแล้ว เจ้าถ่ายรูปของข้าได้แล้ว!”
  แชะ..แชะ.. แชะ..
  ครั้งนี้เย่ซิงเฉินเรียกกล้องถ่ายรูปของตนออกมาจากแหวนและรีบถ่ายรูปของหลิงหยุนเก็บไว้ทันที นางกระหน่ำกดชัตเตอร์ไม่หยุด..
  “เจ้าเปลี่ยนท่าบ้างสินั่นล่ะ.. ยิ้มกว้างๆ.. ดีมาก! เอาล่ะ คราวนี้เจ้าเหาะด้วย นั่นล่ะ.. เหาะไปมาอีกครั้ง..”
  “…”
  หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเห็นเย่ซิงเฉินถ่ายรูปเขาไปนับร้อยๆรูปเขาจึงต้องเก็บลูกไฟที่เกิดจาการใช้วิชาหยางพิสุทธิ์กลับคืนไป
  เย่ซิงเฉินถึงกับบ่นพึมพำ“ได้ไปไม่กี่รูปเท่านั้นเอง.. เจ้านี่ขี้เหนียวชะมัด!”
  “เพียงแค่นั้นแม่ข้าก็ดูไม่หมดแล้วล่ะ..”
  “ซิงเฉิน..เจ้ากลับไปที่นั่นจะต้องระมัดระวังตัวให้ดี หากพบเจอปัญหาที่ตนเองไม่อาจแก้ไขได้ เจ้าต้องแจ้งให้ข้ารู้โดยเร็ว ไม่ว่าข้าอยู่ที่ใดก็จะต้องรีบรุดไปพบเจ้าในทันทีแน่!”
  ดูจากท่าทางของเย่ซิงเฉินแล้วหลิงหยุนพอที่จะคาดเดาได้ว่า อีกไม่นานนางก็จะต้องออกเดินทาง และจะไม่กลับไปที่สำนักกระบี่หลิงหยุนพร้อมกับเขาแล้วเป็นแน่
  “อืมม..”
  เย่ซิงเฉินเก็บกล้องกลับคืนไปอย่างระมัดระวังก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า “เจ้าจะเดินทางไปที่เผ่าเหมี่ยวเจียงหรือไม่”
  “ข้ารับปากที่จะช่วยท่านหมอเสี่ยวกับเหมี่ยวเฟิงหวงแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาคำพูดของตนเอง ไม่เช่นนั้นข้าคงจะไม่สบายใจเป็นแน่!”
  หลิงหยุนตอบยิ้มๆ“แต่เรื่องนี้หาใช่เรื่องใหญ่โตอันใดไม่ เพียงแค่สามถึงห้าวัน ทุกอย่างก็น่าจะเรียบร้อย!”
  เย่ซิงเฉินพยักหน้าและกล่าวต่อว่า“ชนเผ่าเหมี่ยวเจียงล้วนแล้วแต่เก่งกาจในเรื่องคุณไสยเวทย์มนต์ เจ้าอย่าได้ประมาท อ่อ.. ท่านอาจารย์ยังเคยบอกกับข้าว่า เผ่าเหมี่ยวเจียงกับสำนักประตูสวรรค์ของเรา ล้วนมีต้นกำเนิดเดียวกัน หากไม่เหลือบ่ากว่าแรง.. จ้าก็จงปราณีพวกเขาให้มาก”   หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับหัวเราะออกมา“เรื่องนี้เจ้ามิต้องกังวลใจ ท่านน้าจินเหยียวเองก็ต้องการกลับไปที่นั่นพร้อมกับข้าด้วย หากข้าคิดจะสังหารผู้ใดในเผ่า อย่างน้อยควรต้องได้รับความยินยอมจากท่านน้าจินเหยียวเสียก่อน!”
  “เอ่อ..แล้ว..”
  เย่ซิงเฉินอึกอักเล็กน้อยก่อนจะถามต่อว่า“เจ้ากับเหมี่ยวเสี่ยวเหมา.. ข้าขอเตือนไว้ก่อนว่า หากเจ้ากล้า.. กล้า..”
  หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมกับพูดแทรกขึ้นว่า“เจ้าดูสิ.. ท้องฟ้าคืนนี้ช่างงดงามยิ่งนัก..”
  เมื่อเห็นหลิงหยุนแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เช่นนั้นเย่ซิงเฉินถึงกับกัดฟันกรอด และร้องตะโกนออกไปว่า
  “เชอะ..ข้าไม่สนใจเจ้าแล้ว ข้าไปก่อนล่ะ!”
  แต่ในขณะที่เย่ซิงเฉินทำท่าจะเหาะจากไปหลิงหยุนก็ร้องตะโกนเรียก..
  “ซิงเฉินเดี๋ยวก่อน!”
  หลิงหยุนเรียกกระบี่เหินที่เขาเพิ่งหลอมออกมาสี่เล่มและบอกกับนางว่า “กระบี่เหินทั้งสี่เล่มนี้ สองเล่มเป็นอาวุธระดับวิญญาณ ส่วนอีกสองเล่มเป็นอาวุธระดับวิญญาณขั้นสูงสุด เจ้าเลือกไปหนึ่งเล่ม ส่วนอีกสามเล่มช่วยนำไปมอบให้ท่านแม่ของเข้า ท่านน้าชิงเฟิงและท่านน้าชิงหยวน..”
  เย่ซิงเฉินเก็บกระบี่เหินกลับไปด้วยสีหน้าดีอกดีใจ..
  “เจ้าอย่าลืมบอกวิธีการใช้ให้กับพวกนางรู้ก่อนล่ะ..”
  จากนั้นหลิงหยุนก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ซิงเฉิน.. หากเจ้าได้พบกับท่านแม่เมื่อใด อย่าลืมบอกกับนางว่าเวลานี้ข้าเข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) แล้ว อีกไม่นานก็จะสามารถเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะไปพรรคมารรับตัวนางออกมา..”   “เมื่อวันนั้นมาถึงจะมิมีผู้ใดในยุทธภพกล้าหยุดยั้งการกลับมาอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวของเราแน่!”
  “ข้ามิลืมแน่!!”
  เย่ซิงเฉินตอบกลับด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจยิ่งนักและก่อนที่นางจะเหาะจากไป นางได้ยื่นหน้าเข้าไปหาหลิงหยุน พร้อมกับจรดริมฝีปากของตนลงบนริมฝีปากของหลิงหยุนเบาบาง..
  ร่างของหลิงหยุนถึงกับแข็งราวกับหิน!
  เย่ซิงเฉินไม่รอให้หลิงหยุนหายตกใจนางบิดกายและเหาะขึ้นไปบนท้องนภาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำในทันที
  “ช่างหวานซึ้งยิ่งนัก..”
  จุมพิตนี้ทำให้หลิงหยุนถึงกับเคลิบเคลิ้มไม่หยุด!