บทที่ 1455 : ตื่นตระหนก
  หลังจากที่เย่ซิงเฉินจากไปแล้วหลิงหยุนก็ยังไม่กลับไปที่สำนักกระบี่หลิงหยุนทันทีเช่นกัน เขาหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาส่งข้อความให้กับหวังชงเซียว จากนั้นจึงเหาะไปหาสถานที่ฝึกวิชาต่อ
  ขอบเขตพื้นที่บริเวณเทือกเขาเทียนซานนั้นค่อนข้างกว้างใหญ่สันเขาสูงยาวนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นตำแหน่งของเส้นเลือดมังกร จึงมีพลังชีวิตค่อนข้างสมบูรณ์อยู่มาก แต่ด้วยสายตาที่แหลมคมของหลิงหยุน จึงไม่ยากที่จะหาสถานที่เหมาะสมสำหรับฝึกบ่มเพาะได้อย่างรวดเร็ว
  หลังจากทำการหลอมอาวุธอยู่นานถึงห้าวันห้าคืนเวลานี้หลิงหยุนก็ได้เข้าสู่ระดับกลางขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) แล้ว และอีกไม่นานก็ใกล้ที่จะเข้าสู่ระดับสูงสุดแล้ว
  สำหรับผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะนั้นการหลอมกลั่นของวิเศษต่างๆ ล้วนเป็นการฝึกฝนที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บ่มเพาะพลังที่เข้าสู่ขั้นพลังชี่แล้ว การหลอมยุทธภัณฑ์ในระดับวิญญาณ และระดับสมบัติ ก็จะยิ่งทำให้คนผู้นั้นก้าวหน้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
  เหตุผลก็ไม่มีอะไรซับซ้อน..นั่นเพราะในการหลอมยุทธภัณฑ์ระดับวิญญาณขึ้นไปนั้น ทุกขั้นตอนผู้หลอมจะต้องทำการเผาเสินหยวน โดยเริ่มจากการคัดเลือกวัตถุดิบที่จะนำมาหลอม ซึ่งต้องคัดเลือกอย่างระมัดระวัง
  และในระหว่างที่เข้าสู่กระบวนการหลอมนั้นก็ต้องใช้ความร้อนที่สูงมากเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด หลังจากที่วัตถุดิบต่างๆหลอมเข้ากันได้ดีแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการสลักค่ายกลลงบนยุทธภัณฑ์ชิ้นนั้นๆ
  ทุกๆขั้นตอนไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกวัตถุดิบควบคุมอุณหภูมิของเปลวไฟในระหว่างที่ทำการหลอม การคำนวนสัดส่วนวัตถุดิบแต่ละชนิด หรือแม้แต่ขนาดของยุทธภัณฑ์ รวมไปถึงการสลักค่ายกลต่างๆ และอีกมากมายหลายขึ้นตอน  เรียกได้ว่า..แต่ละขั้นตอนนั้นห้ามมีการผิดเพี้ยนคลาดเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย หากเกิดการคลาดเคลื่อนแม้เพียงแค่เล็กน้อย ระดับของยุทธภัณฑ์ก็จะเปลี่ยนไปทันที!
  ฉะนั้นแล้วอัตราการหลอมยุทธภัณฑ์ระดับของวิเศษให้สำเร็จนั้นจึงมีน้อยมาก ยุทธภัณฑ์แต่ละชิ้นที่ทำการหลอมนั้น นับเป็นการทดสอบครั้งใหญ่ เหนือกว่าการต่อสู้อยู่ในสนามรบอย่างเอาเป็นเอาตายเสียอีก
  และการหลอมกลั่นโอสถก็เช่นเดียวกัน!
  หากมีความสามารถในการหลอมยุทธภัณฑ์ได้ดีเยี่ยมการหลอมกลั่นโอสถก็ย่อมต้องไม่ด้อยไปกว่าเช่นกัน
  หลิงหยุนเป็นถึงปรมาจารย์ในการหลอมยุทธภัณฑ์ขอเพียงแค่มีวัตถุดิบพร้อม เขาก็สามารถหลอมยุทธภัณฑ์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยเหตุนี้.. นอกเหนือจากคุณภาพของวัตถุดิบแล้ว ขั้นตอนอื่นๆนับว่าสมบูรณ์แบบยิ่ง
  สำหรับผู้บ่มเพาะพลังที่อยู่ในด่านกลางขั้นพลังชี่ขึ้นไปนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือการฝึกแปลงเสินหยวนให้เป็นพลังวิเศษได้เร็วที่สุด และการใช้พลังวิเศษนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  ฉะนั้นแล้ว..การหลอมยุทธภัณฑ์จึงนับเป็นการฝึกฝนที่ดีมากอย่างหนึ่ง ของผู้บ่มเพาะพลังในขั้นนี้เลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการฝึกฝนพัฒนาในเรื่องของความเร็ง
  และด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกบ่มเพาะตนที่เข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่ได้ จึงต้องศึกษาเรื่องการหลอมยุทธภัณฑ์เพิ่มเติมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะไม่เพียงเป็นการฝึกฝนพัฒนา แต่ยังสามารถหลอมของวิเศษที่ดีที่สุดให้ตนเองได้อีกด้วย
  แต่สำคัญที่ว่า..มีความสามารถพอหรือไม่เท่านั้นเอง!
  หนึ่งในหมื่นคนเท่านั้นกระมังจึงจะสามารถทำได้..
  โดยเฉลี่ยแล้ว..ผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะนับหมื่นคน ทุกคนล้วนสนใจที่จะฝึกการหลอมยุทธภัณฑ์ทั้งสิ้น แต่จะมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะสามารถทำได้สำเร็จ
  และผู้ที่มีพรสวรรค์ในการหลอมยุทธภัณฑ์เฉกเช่นหลิงหยุนนั้นทั่วทั้งโลกบ่มเพาะ.. สักหนึ่งแสนปีจึงจะปรากฏขึ้นสักคน!
  และหลังจากที่หลิงหยุนเก็บตัวหลอมยุทธภัณฑ์ไปได้สองสามวันโดยไม่หยุดพักนั้นจนสามารถหลอมของวิเศษได้มากถึงสิบกว่าชิ้น ทำให้ขั้นพลังของเขาก้าวหน้าขึ้นตามลำดับไปด้วย..
  เพียงแค่หลิงหยุนสามารถหลอมยุทธภัณฑ์ระดับทั่วไปได้สำเร็จนั้นก็เท่ากับผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะคนอื่นๆเก็บตัวฝึกฝนถึงสิบวันเลยทีเดียว แต่หลิงหยุนสามารถหลอมยุทธภัณฑ์ระดับสมบัติขั้นสูงได้สำเร็จหลายชิ้น จึงยิ่งทำให้ขั้นของเขาพัฒนาก้าวหน้าได้อีกหลายเท่าตัว
  …..
  คืนนั้นหลิงหยุนฝึกวิชาพลังลับหยิน–หยางจนถึงเช้าและเมื่อดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้น เขาก็ได้เหาะขึ้นไปฝึกวิชาดาราคุ้มกายบนท้องนภา
  หลังจากนั้น..หลิงหยุนจึงได้เหาะกลับไปที่สำนักกระบี่หลิงหยุน เขาร่อนลงที่ยอดเขาเทียนเฟิง และได้เดินเข้าไปในวังของตี๋เสี่ยวเจิน หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจหาดูว่า จะมีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อตนบ้าง เมื่อพบเห็น.. ทุกอย่างก็จะถูกเก็บเข้าไปไว้ในแหวนจักรวาลของเขาทันที
  จากนั้น..หลิงหยุนจึงได้ตรงไปยังยอดเขามนุษย์ และได้เรียกศิษย์สำนักกระบี่หลิงหยุนที่กำลังฝึกฝนวิชา รวมทั้งหลี่เพียวหยาง กัวผิง และเจิ้งซิ่วยี่เข้าประชุม
  “คาราวะท่านเจ้าสำนัก!”
  หลี่เพียวหยางเป็นฝ่ายนำศิษย์ทุกคนทำการคาราวะหลิงหยุนทันทีที่เขามาถึง..
  “เอาล่ะลุกขึ้นได้..ข้าจะไม่เสียเวลาพูดอ้อมค้อม”
  หลิงหยุนโบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนลุกขึ้นจากนั้นจึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ข้าจะต้องไปจากที่นี่แล้ว หลังจากที่ข้าไปแล้ว เรื่องภายในสำนักกระบี่หลิงหยุนขอมอบให้เป็นหน้าที่ของหลี่เพียวหยางดูแล โดยมีกัวผิงและเจิ้งซิ่วยี่ช่วยอีกแรง”
  “น้อมรับคำสั่งท่านเจ้าสำนักข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง!”
  หลี่เพียวหยางยิ้มออกมาอย่างมีความสุขแต่อยู่ต่อหน้าหลิงหยุนเช่นนี้ เขาจึงมิกล้าแสดงอาการดีอกดีใจออกมาได้มากนัก
  หลิงหยุนเห็นแล้วก็ได้แต่นึกขันแต่ก็ยังคงกล่าวต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ผู้คุ้มกฏหลี่เพียวหยาง เจ้าอย่าได้รีบดีอกดีใจไปนัก ก่อนที่ข้าจะไปจากที่นี่ ข้ามีคำพูดจะมอบแก่เจ้า..”
  หลี่เพียวหยางรีบเอ่ยขึ้นทันที“ท่านเจ้าสำนักได้โปรดชี้แนะ..”
  “ก่อนหน้านี้เจ็ดวัน..ข้าได้สังหารศิษย์คุนหลุนตายไปถึงสี่คน ข้าเชื่อว่าต่อให้ทางเราปิดข่าวมิให้แพร่สะพรัดออกไป แต่ช้าเร็วคุนหลุนย่อมต้องผิดสังเกต เมื่อศิษย์ที่ออกมาปฏิบัติภารกิจหายหน้าหายตาไปนานไม่ส่งข่าวเช่นนี้..”
  “และอีกไม่นาน..คุนหลุนต้องส่งคนมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นแน่..”
  เมื่อพูดมาถึงตรงนี้หลิงหยุนจงใจกวาดสายตามองไปทางหลี่เพียวหยาง และคนอื่นๆ ทุกคนต่างก็มีท่าทีอึดอัดใจ และสีหน้าท่าทางบ่งบอกถึงความกลัวอย่างเห็นได้ชัด
  หลี่เพียวหยางถึงกับยิ้มไม่ออกและแทบอยากจะร้องไห้ออกมา..
  “แต่พวกเจ้ามิต้องกังวลใจไป..หากคนของคุนหลุนมาถึงที่นี่เมื่อใด ไม่ว่าพวกเขาจะถามถึงเรื่องใดที่เกิดขึ้นที่นี่ พวกเจ้าก็เล่าทุกอย่างให้พวกเขาฟังไปตามความเป็นจริง”
  หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้นทุกคนต่างก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที และรีบตอบกลับหลิงหยุนเป็นเสียงเดียว
  “ขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่เมตตา!”
  “แต่…”  “พวกเจ้าจะต้องพูดเฉพาะเรื่องที่ตนเองเห็นและได้ยินด้วยตนเองจริงๆเท่านั้น ห้ามโกหกหรือแม้แต่พูดโอ้อวดเกินจริง หรือเล่าเรื่องให้ฟังดูดุเดือดจนเกินไป ข้าคิดว่าทุกคนคงจะรู้ด้วยตัวเองว่า ควรจะต้องพูดต้องเล่าประมาณใดจึงจะพอดี..”
  ระหว่างที่พูดนั้น..หลิงหยุนก็ได้ปลดปล่อยพลังปราณออกมารอบตัว เพื่อกดดันหลี่เพียวหยาง และศิษย์คนอื่นๆ
  “ศิษย์น้อมรับคำสั่งท่านเจ้าสำนัก!”
  ศิษย์สำนักกระบี่หลิงหยุนต่างก็ร้องตะโกนออกมาพร้อมกันเป็นเสียงเดียวและคุกเข่าลงทำการน้อมรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง
  หลิงหยุนสูดลมหายใจเข้าไปเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวต่อ“เอาล่ะ.. หากคนของคุนหลุนมาที่นี่ ย่อมต้องพยายามกดดันพวกเจ้าเป็นแน่ แต่ตราบใดที่พวกเจ้ามิได้พูดโกหก พวกเขาก็คงไม่สามารถหาเรื่องทำร้ายพวกเจ้าได้!”   หลิงหยุนมิได้พูดออกไปตรงๆว่าคนที่คุนหลุนจะส่งมานั้น ย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าศิษย์สำนักหลิงหยุนทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็นแน่ ทุกคนในที่นี้ล้วนไม่ต่างจากมดปลวกในสายตาของพวกเขา เหตุใดพวกเขายังต้องเสียเวลาฆ่าด้วยเล่า
  “เอาล่ะ..สิ่งที่ข้าจะบอกกับพวกเจ้าก็มีเพียงเท่านี้ พวกเจ้าลุกขึ้นได้!”
  หลิงหยุนร้องบอกทุกคนพร้อมกับโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นยืน..
  “นับจากนี้ไปพวกเจ้าจะฝึกฝนวิชาหรือทำสิ่งใด ข้าจะมิยุ่งวุ่นวาย..”
  “หลังจากที่ข้าไปแล้วพวกเจ้าเคยฝึกฝนเช่นใด ก็ฝึกฝนกันไปตามปกติเช่นเดิมได้เลย”
  หลิงหยุนกวาดสายตามองทุกๆคนก่อนจะทิ้งท้ายไว้ว่า “เมื่อข้ากลับมาที่นี่อีกครั้ง ข้าจะถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้กับพวกเจ้าทุกคน!”
  ทันทีที่ทุกคนได้ยินคำพูดทิ้งท้ายของหลิงหยุนทุกคนต่างก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ หลี่เพียวหยางนำทุกคนคุกเข่าลงพร้อมกล่าวขอบคุณหลิงหยุนอีกครั้ง
  “ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก!”
  “เอาล่ะ..พวกเจ้าแยกย้ายกันไปได้แล้ว!”
  หลิงหยุนโบกมือพร้อมกับสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ท้ายที่สุดจึงเหลือเพียงแค่หลี่เพียวหยาง กัวผิง และเจิ้งซิ่วยี่เพียงสามคนเท่านั้น
  หลังจากที่หลิงหยุนสั่งการผ่านทางจิตแล้วทั้งสามจึงได้แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเองต่อไป..