บทที่ 1456 พลังชีวิตดั่งสวรรค์ประทาน

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 1456 : พลังชีวิตดั่งสวรรค์ประทาน
  หลังจากที่หลี่เพียวหยางกัวผิง และเจิ้งซิ่วยี่เหาะออกมาแล้วนั้น สีหน้าของทั้งสามคนต่างก็เต็มไปด้วยความสับสน ใบหน้าของพวกเขามีอารมณ์หลากหลายผสมปนเปกันไปหมด ทั้งสุข ตื่นเต้น แล้วก็ตกใจ รวมถึงความรู้สึกลำบากใจ ระหว่างทางทั้งสามคนต่างก็หันไปมองหน้ากันเลิกลั่กเป็นระยะๆ
  นั่นเพราะหลิงหยุนได้ประกาศว่าสิ่งที่พวกเขาทั้งสามจะต้องเผชิญหลังจากนี้มีอะไรบ้างซึ่งทำให้พวกเขาตกอกตกใจอย่างมาก หลังจากนั้นก็ได้ให้ความหวังกับทุกๆคนว่า จะกลับมาถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้ในวันข้างหน้า และก่อนที่ทั้งสามคนจะจากไปนั้น หลิงหยุนก็ยังได้ออกคำสั่งลับให้แต่ละคนผ่านทางจิตโดยที่มิให้อีกสองคนล่วงรู้..
  และคำสั่งลับของหลิงหยุนที่สั่งทั้งสามคนนั้นก็คือ..ให้แต่ละคนคอยสอดส่องพฤติกรรมของคนที่เหลืออีกสองคน หากพบสิ่งผิดปกติก็ให้รีบรายงานเขาในทันที!
  และนี่คือแผนการของหลิงหยุน!
  จิตใจของมนุษย์นั้นล้วนเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวและซับซ้อนหากหลิงหยุนจากไป ทั้งสามคนอาจเปิดใจคุยกันอย่างตรงไปตรงมา และอาจตัดสินใจที่จะร่วมมือกันกบฏต่อหลิงหยุนก็เป็นได้..
  หาใช่ว่าหลิงหยุนมิไว้เนื้อเชื่อใจพวกเขาทั้งสามคนเพียงแต่ที่เขาต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อมิให้ผู้ใดคิดเป็นปรปักษ์ต่อสำนักกระบี่หลิงหยุนนั่นเอง..
  สำหรับหลิงหยุนนั้น..การต่อสู้เมื่อเจ็ดวันก่อนหน้านี้ เขาทำเพื่อมารดาของตน ในขณะที่หลี่เพียวหยางและคนอื่นๆ ต่างก็ทำเพื่อสำนักกระบี่เทียนซาน การที่พวกเขาสามารถรอดชีวิตได้ในครั้งนี้ ก็เพราะหลิงหยุนมิต้องการสังหารพวกเขาเท่านั้นเอง
  พวกเขาสามารถรอดชีวิตมาได้ในขณะที่สำนักกระบี่เทียนซานถูกหลิงหยุนทำลายจนสิ้นชื่อ แต่การที่หลิงหยุนไว้ชีวิตของพวกเขานั้น หาใช่เพราะหลิงหยุนจะได้รับประโยชน์อันใดจากพวกเขาไม่..
  ตราบใดที่หลิงหยุนอยู่ที่นี่ที่นี่ก็คือสำนักกระบี่หลิงหยุน แต่หากเขาจากไปแล้ว สำนักกระบี่หลิงหยุนก็เป็นเพียงแค่ชื่อสำหรับพวกเขาเท่านั้น..
  ฉะนั้นแล้ว..ก่อนที่จะจากไป หลิงหยุนจำเป็นต้องใช้อุบายเล็กๆน้อยๆเพื่อควบคุมคนเหล่านี้ไว้
  “ชีวิตและความตายขึ้นอยู่กับโชคชะตาอย่างไรก็ตาม โชคชะตาของเจ้าเองก็ขึ้นอยู่กับชีวิตและความตายเช่นกัน!”
  หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจทั่วทั้งยอดเขามนุษย์หลังจากที่ทั้งสามคนเหาะจากไปแล้วจากนั้นจึงหันมองไปทางเทือกเขาคุนหลุนที่อยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ และเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
  เป็นเรื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ไม่ว่าอย่างไรคุนหลุนก็ต้องส่งคนมาสืบข่าวถึงที่นี่เป็นแน่ นี่อาจเป็นความหายนะของทั้งหนึ่งร้อยสี่สิบเจ็ดชีวิตที่รอดมาก็เป็นได้ แต่เมื่อถึงเวลานั้น หลิงหยุนก็คงมิอาจทำสิ่งใดได้..
  เมื่อเวลานั้นมาถึงจริงๆหลิงหยุนก็คงทำได้เพียงแค่รอดูว่าหลี่ผอหยางจะทำตัวเช่นใด เพื่อรักษาชีวิตของทุกคนให้รอดพ้นจากเงื้อมือของศิษย์คุนหลุน โดยที่มิก่อให้เกิดความเสียหายต่อหลิงหยุนได้
  ฉะนั้น..หลิงหยุนจึงได้กล่าวว่าเป็นเรื่องของโชคชะตา!
  ครั้งนี้..หากพวกเขาสามารถรักษาชีวิตให้รอดมาได้ หลิงหยุนจึงจะสอนเพลงกระบี่ให้ หาไม่แล้วหากหลิงหยุนถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้ในยามนี้ ก็เกรงจะไม่มีความหมายอันใด..
  มาถึงตอนนี้..หลิงหยุนก็ได้จัดการเรื่องทุกอย่างภายในสำนักกระบี่หลิงหยุนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
  เมื่อมิมีสิ่งใดคั่งค้าง..หลิงหยุนจึงได้สั่งให้ไป๋เซียนเอ๋อ ตี้เสี่ยวอู๋ หวังชงเซียว และแวมไพร์ทั้งห้ามาพบตนที่ยอดเขามนุษย์  “เอาล่ะ..ได้เวลาที่พวกเราต้องกลับไปตระกูลฉินแล้ว ออกเดินทางกันได้!”
  หลังจากนั้น..หลิงหยุนก็เดินจับมือไป๋เซียนเอ๋อ และพาเหาะขึ้นไปบนท้องนภาทันที!
  จากนั้นตี้เสี่ยวอู๋หวังชงเซียว และแวมไพร์ทั้งห้าก็ได้เหาะตามขึ้นไปเช่นกัน และเวลานี้ทั้งเก้าคนก็ได้เหาะอยู่บนท้องนภาแล้ว
  ในเวลาเดียวกันนั้นที่หุบเขาเบื้องล่าง ศิษย์ทุกคนในสำนักกระบี่หลิงหยุนภายใต้การนำของหลี่เพียวหยาง ต่างก็คุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับกล่าวอำลาหลิงหยุน
  “น้อมส่งท่านเจ้าสำนัก!”
  เสียงร้องตะโกนของศิษย์สำนักกระบี่หลิงหยุนดังกึกก้องไปทั่วทั้งขุนเขา..
  และในวันที่4 ตุลาคมซึ่งเป็นวันที่แปดแห่งการล่มสลายของสำนักกระบี่เทียนซาน และเป็นวันที่หลิงหยุนได้เดินทางออกจากสำนักกระบี่หลิงหยุนนั่นเอง
  ……  “เอาล่ะ..ได้เวลาที่พวกเราต้องกลับไปตระกูลฉินแล้ว ออกเดินทางกันได้!”
  หลังจากนั้น..หลิงหยุนก็เดินจับมือไป๋เซียนเอ๋อ และพาเหาะขึ้นไปบนท้องนภาทันที!
  จากนั้นตี้เสี่ยวอู๋หวังชงเซียว และแวมไพร์ทั้งห้าก็ได้เหาะตามขึ้นไปเช่นกัน และเวลานี้ทั้งเก้าคนก็ได้เหาะอยู่บนท้องนภาแล้ว
  ในเวลาเดียวกันนั้นที่หุบเขาเบื้องล่าง ศิษย์ทุกคนในสำนักกระบี่หลิงหยุนภายใต้การนำของหลี่เพียวหยาง ต่างก็คุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับกล่าวอำลาหลิงหยุน
  “น้อมส่งท่านเจ้าสำนัก!”
  เสียงร้องตะโกนของศิษย์สำนักกระบี่หลิงหยุนดังกึกก้องไปทั่วทั้งขุนเขา..
  และในวันที่4 ตุลาคมซึ่งเป็นวันที่แปดแห่งการล่มสลายของสำนักกระบี่เทียนซาน และเป็นวันที่หลิงหยุนได้เดินทางออกจากสำนักกระบี่หลิงหยุนนั่นเอง
  ……  “พี่หลิงหยุน..พี่ซิงเฉินไปไหนงั้นรึ”
  ระหว่างทางที่เดินทางไปยังสนามบินอัคซูนั้นไป๋เซียนเอ๋อก็อดที่จะถามออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้
  หลิงหยุนตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“เจ้ามีเรื่องใดกับพี่ซิงเฉินงั้นรึ พี่ซิงเฉินของเจ้าออกเดินทางไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว พวกเราคงต้องแยกกับนางสักระยะ..”
  “อ่อ..”
  ไป๋เซียนเอ๋อนิ่งอึ้งไปแววตาของนางเศร้าสลดลงทันที ยากนักที่จะปิดบังซ่อนเร้นความรู้สึกสูญเสียภายในใจได้
  นับตั้งแต่ที่ไป๋เซียนเอ๋อได้พบเจอกับเย่ซิงเฉินในงานชุมนุมชาวยุทธนั้นนับแต่นั้นมาหญิงสาวทั้งสองก็ได้ผูกพันธ์กันแนบแน่นขึ้นเรื่อยๆ
  หลิงหยุนแอบสังเกตดูสีหน้าท่าทางของไป๋เซียนเอ๋ออยู่เงียบๆหลังจากครุ่นคิดอยู่ภายในใจครู่หนึ่ง ในที่สุดจึงตัดสินใจกล่าวออกไปว่า
  “เซียนเอ๋อ..”
  “หืมม”
  “เวลานี้หางที่สี่ของเจ้าเพิ่งจะงอกมาได้ไม่นานแม้เจ้าจะเทียบเท่ากับผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะในด่านกลางขั้นพลังชี่ แต่เจ้าก็ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ในคัมภีร์ปีศาจเก้าดวงดาวน่าจะยังมีอีกหลายวิชาที่เจ้ายังไม่ทำการศึกษาให้กระจ่างสินะ..”
  ไป๋เซียนเอ๋อได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนก็ถึงกับเขินอายนางยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมตอบกลับไปว่า
  “เอ่อ..ข้า.. ข้าเพิ่งจะฝึกวิชาไฟโลกันต์ได้สำเร็จ ส่วนวิชาอื่นๆยังมิได้ศึกษาทำความเข้าใจเลย”
  แม้ในกายของไป๋เซียนเอ๋อจะมีสายเลือดของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแต่ในการฝึกวรยุทธบ่มเพาะนั้น หากยังมิมีการเปิดวิญญาณปัญญาอย่างแท้จริงแล้ว ก็คงต้องอาศัยการเติบโตของหางทั้งเก้าแทน..
  หนึ่งหางเท่ากับหนึ่งขั้นอาณาจักร..
  หนึ่งหางงอกเท่ากับการทะลวงหนึ่งขั้นอาณาจักรหากหางงอกจนครบเก้าหาง ย่อมเท่ากับทะลวงครบเก้าขั้นอาณาจักร จนกระทั่งสำเร็จแก่นปีศาจขั้นใหญ่
  “เซียนเอ๋อ..เจ้าเพิ่งจะงอกหางที่สี่เท่านั้น เจ้าไม่ควรที่จะติดตามข้าไปตลอดทั้งวันเช่นนี้ มันจะทำให้การฝึกวิชาของเจ้าก้าวหน้าได้ช้าลง”
  เมื่อพูดมาถึงตรงนี้หลิงหยุนก็หันไปยิ้มให้พร้อมกับถามขึ้นว่า “เซียนเอ๋อ เจ้าอยากจะหาที่เก็บตัวสำหรับฝึกวิชาหรือไม่ เจ้าจะได้มุ่งมั่นอยู่กับการฝึกวิชาเพียงอย่างเดียวสักพัก?”
  ไป๋เซียนเอ๋อได้ยินเช่นนั้นก็นึกถึงภูเขาเพลิงขึ้นมาทันทีแต่หลังจากใคร่ครวญอยู่นาน ในที่สุดนางก็ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับกล่าวอย่างหนักแน่น
  “ไม่..เซียนเอ๋อไม่รีบร้อนก้าวหน้านัก และยิ่งไม่ต้องการแยกจากพี่หลิงหยุน!”
  “เด็กโง่..”
  หลิงหยุนได้ยินเช่นนั้นถึงกับส่ายหน้าและกล่าวต่อว่า “ข้าเพิ่งจะเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ หากเจ้าไม่สนใจที่จะฝึกฝนให้ก้าวหน้าโดยเร็ว วันข้างหน้าจะสามารถช่วยข้าต่อสู้กับศัตรูได้อย่างไรกันเล่า”
  “จริงด้วย..เช่นนั้นแล้วข้าควรทำเช่นไรดีพี่หลิงหยุน”
  “เซียนเอ๋อ..ข้ากำลังจะไปจัดการกับเรื่องเล็กๆน้อยๆที่หาได้สำคัญไม่ เจ้าไม่จำเป็นต้องไปกับข้าหรืออยู่กับข้าตลอดเวลาก็ได้”
  “ระหว่างนี้เจ้าควรเก็บตัวตั้งใจฝึกฝนวิชารอจนกระทั่งข้ากลับมา และพาเจ้ากับพี่ซิงเฉินไปพรรคมารช่วยท่านแม่ของข้าออกมา เจ้าคิดเห็นเช่นใด”
  “ตกลงพี่หลิงหยุน..”
  ครั้งนี้ไป๋เซียนเอ๋อพยักหน้าหงึกๆเห็นด้วยกับหลิงหยุนทันที  “เสี่ยวอู๋เฒ่าหวัง พวกเจ้าไปที่สนามบินอัคซูก่อน หลังจากไปถึงแล้วขึ้นเครื่องไปรอข้าที่เซียงหยาง”
  หลิงหยุนสั่งตี้เสี่ยวอู๋และคนอื่นๆก่อนจะพาไป๋เซียนเอ๋อเหาะตรงไปยังภูเขาเพลิง..
  สิบนาทีต่อมาหลิงหยุนและไป๋เซียนเอ๋อก็เหาะไปถึงภูเขาเพลิง แต่เนื่องจากเวลานี้เป็นเวลากลางวัน ทั้งคู่จึงเหาะไปที่เนินเขาซึ่งมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาแทน และเริ่มฝึกฝนวิชากันอย่างเอาเป็นเอาตายในทันที
  “เอ่อ..”
  ต่อมาไม่นานนัก..หลิงหยุนถึงกับชะงักและตกตะลึง ความปิติยินดีพวยพุ่งออกมาในทันที!
  “ภูเขาเพลิงแห่งนี้ช่างเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกฝนวิชายิ่งนัก!ที่มีมีพลังชีวิตที่สมบูรณ์ยิ่งนัก!”
  ก่อนหน้านี้หลิงหยุนได้มาที่นี่พร้อมกับไป๋เซียนเอ๋อแล้วและในครั้งนั้นเขาก็ได้ดูดซับเอาพลังชีวิตเข้าไปจำนวนมาก แต่ทันทีที่เหาะลงมาที่นี่ซึ่งเป็นที่ที่เขาฝึกฝนเมื่อครั้งก่อน และได้ดูดซับเอาพลังชีวิตเข้าไปจนแทบหมดเกลี้ยง กลับกลายเป็นว่าเวลานี้พลังชีวิตได้ฟื้นคืนมาสมบูรณ์เช่นเดิมอย่างน่าอัศจรรย์!
  และในช่วงเวลากลางวันเช่นนี้เหนือศรีษะของหลิงหยุนคือภูเขาไฟที่ร้อนระอุ เปลวไฟสีแดงพวยพุ่งขึ้นรายล้อม รอบด้านจึงเต็มไปด้วยพลังชีวิตธาตุไฟอยู่หนาแน่น
  เนื่องจากที่นี่มีเปลวไฟรายล้อมมากมายในรัศมีห้าร้อยเมตรนี้จึงมีอุณหภูมิสูงกว่าที่อื่นถึงห้าสิบองศา!
  “ที่นี่มีพลังชีวิตหนาแน่นมากจริงๆไม่ธรรมดาเลยทีเดียว!”
  “พลังวิญญาณมันคือพลังงานทางวิญญาณจริงๆภูเขาเปลวไฟนี้ใหญ่โตไม่ธรรมดา!”
  หลิงหยุนเริ่มทำการดูดซับพลังชีวิตจากเปลวเพลิงรอบตัวพร้อมกับพึมพำออกมา..