ราชันเร้นลับ 927 : อำนาจแห่ง ‘ทรราช’

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ภายในเงามืดของอาคาร หัวใจของไคลน์ที่กำลังซ่อนตัวพลันเต้นแรงกะทันหัน แต่เพียงไม่นานก็สงบลง ปราศจากความตื่นตระหนก

เพราะมันมั่นใจเป็นอย่างมากว่า ร่างที่สะท้อนบนผิวเรียบของแผ่นจานทองคำนั้นไม่ใช่ตน อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตัวจริง!

ถ้าเป็นตัวไคลน์จริงๆ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซก็ต้องเห็นหมอกสีเทา เห็นภาพประหลาดที่ดูคล้ายสัตว์ในตำนานบางชนิด และนั่นจะทำให้ไคลน์หมดสติไปทันที!

เนื่องจากไม่เผชิญความผิดปรกติใดเลย จึงหมายความว่าภาพสะท้อนใน ‘กระจก’ ไม่ใช่ตัวเรา… ไคลน์เปิดเนตรด้ายวิญญาณพลางสั่งให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซที่ถือไม้เท้า ‘วาจาสมุทร’ เดินเข้าไปใกล้เสาสีซีดที่พังทลายและบ้านโทรม จากนั้นก็แอบปลดปล่อย ‘ความโชคดี’ อย่างเงียบๆ

หุ่นเชิดผิวคล้ำค่อยๆ เข้าใกล้แผ่นจานสีทองทีละก้าว โน้มตัวลงพร้อมกับใช้ไม้เท้าช่วยค้ำและหยิบแผ่นจานขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด

แผ่นจานดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองชั้น ภายในและภายนอก แกนกลางเรียบราวกับกระจก ลวดลายไม่ซับซ้อน ส่วนขอบถูกสลักด้วยลวดลายคล้ายนก มอบความรู้สึกงดงามแบบโบราณ

ภาพที่สะท้อนยังคงไม่แปรเปลี่ยน แม้คนที่ส่องกระจกจะเป็นหุ่นเชิดเอ็นโซ แต่ภาพที่ปรากฏกลับเป็นไคลน์ซึ่งมีใบหน้ามืดมนและดวงตาสีซีดไร้อารมณ์ มีแม้กระทั่งคทาเทพสมุทรและมงกุฎกับชุดคลุมของสันตะปาปาที่ติดมากับไพ่ทรราช หากไม่ใช่เพราะปราศจากหมอกสีเทา ไคลน์คงคิดว่าแผ่นจานสามารถสะท้อนผ่านสายของหุ่นเชิดจนมาถึงร่างวิญญาณที่แท้จริงของตนได้ หรือไม่ก็เหมือนกับเหตุการณ์ในความฝันของซากสมรภูมิแห่งเทพที่ ‘นักบุญมืด’ ถูกแบ่งแยกบุคลิกหลังจากเผลอส่องกระจก

หมายความว่ายังไง… ร่างต้นไคลน์ค่อยๆ โผล่ออกจากเงาของอาคารอย่างไม่รีบร้อน กลับคืนสู่สภาพเดิมเหมือนกับตอนที่เพิ่งเข้ามาในเมืองกัลเดรอน จากนั้นก็ใช้พลังพิเศษของ ‘ตัวตลก’ เพื่อมองร่างกายตัวเองแบบสามมิติภายในใจ

มือข้างหนึ่งกำลังถือคทากระดูกที่เลี่ยมด้วยเพชรพลอยสีน้ำเงิน สวมเสื้อคลุมและมงกุฎสันตะปาปาที่ประดับประดาด้วยอัญมณีหลายเม็ด ใบหน้าถูกซ่อนอยู่ในเงาดำของมงกุฎจนมองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่อารมณ์ค่อนข้างมืดมนและเย็นชา คล้ายกับซอมบี้ที่เพิ่งถูกขุดออกจากสุสาน!

นี้มัน… ไคลน์พลันประหลาดใจ ไม่คาดหวังว่าจะเป็นตัวมันเองที่เปลี่ยนไป เช่นนั้นจึงหมายความว่า ภาพที่แผ่นจานทองคำกำลังสะท้อนให้เห็น แท้จริงแล้วคือสภาพปัจจุบันของตัวมันเอง ขาดเพียงสายหมอกสีเทา!

แต่ถ้าไม่เกี่ยวกับหมอกสีเทา ก็แปลว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่… ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอก สงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว

ตามปรกติแล้ว จากประสบการณ์อันยาวนานของไคลน์ รวมถึงความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ มันเชื่อว่าตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องลงมือทำอะไร แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ตอนนี้ตนกำลังถือ ‘คทาเทพสมุทร’ อาจทำให้การตัดสินใจหุนหันกว่าปรกติ คอยเตือนตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เรื่องที่สอง ค่อนข้างชัดเจนว่าเมืองนี้เคยเป็นอาณาจักรแห่งเทพ ต้นตระกูลฟีนิกซ์ เกรจารี และอาจมีบางสิ่งที่เตรียมไว้สำหรับคืนชีพหลงเหลืออยู่ ย่อมเป็นธรรมดาที่จะเกิดเหตุการณ์พิสดาร เลี่ยงไม่ได้ที่จะเผชิญความตึงเครียดขณะสำรวจ

หลังจากบังคับให้ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์เดินกลับมาและใช้พลังพิเศษในขอบเขตความตายเพื่อตรวจสอบร่างต้นตัวเอง ไคลน์พบข้อสันนิษฐานเบื้องต้น

สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เข้าสู่กัลเดรอนจะค่อยๆ ถูกเปลี่ยนให้เป็นคนตาย ลักษณะแบบนี้คล้ายกับโลกแห่งความตาย แต่ยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง เช่นถ้าเป็นที่นี่ สิ่งมีชีวิตจะไม่ตายในทันทีและกลายเป็นอันเดดไร้สติ แต่จะค่อยๆ กลายเป็นวิญญาณคนตาย…

เราเพิ่งสังเกตเห็นเพราะเอ็นโซกับลูเธอร์ไวล์ตายไปแล้ว ไม่สามารถกลายเป็นคนตายได้อีกรอบ… สาเหตุที่ทั้ง ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสและ ‘แสงแดง’ ไอร์·โมเรียต่างไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ เป็นเพราะเหล่านักท่องเที่ยว เทวทูต และ สัตว์วิญญาณที่เคยเข้ามาและมีชีวิตรอดกลับไป ล้วนแล้วแต่กลับสู่สภาวะปรกติได้ตามธรรมชาติ? การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะไม่ส่งผลต่ออิทธิพลของสายหมอกสีเทาที่แทรกแซงโลกความเป็นจริง… ถ้าอย่างนั้น ภาพที่แผ่นจานทองคำสะท้อนให้เห็น คือตัวเราในสภาพคนตาย ไม่ใช่สภาพในปัจจุบัน หรือเป็นตัวเราในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะกัลเดรอน? ไคลน์เอนเอียงไปทางข้อหลังมากกว่า แต่ก็ไม่มีหลักฐานรองรับ

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ

แคร้ง!

แคร้ง! แคร้ง!

น้ำเสียงทั้งหนักแน่นและชัดเจน ประหนึ่งมีคนทุบโลหะ

ไคลน์ไม่รีบตอบสนอง คอยฟังอย่างระมัดระวังเป็นเวลาสองสามวินาที จากนั้นก็บังคับให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซวางแผ่นจานทองคำอันหนักอึ้งลง เดินไปยังซากหลุมศพที่อยู่ไม่ไกล

ครึ่งหนึ่งของหลุมฝังศพเป็นอาคารใต้ดิน ด้านบนมีภาษาแห่งความตายเขียนไว้ว่า:

“…ผู้ชายใจร้อน ตายเพราะนำศีรษะของตัวเองไปปะทะกับค้อนของผู้อื่นเพื่อพิสูจน์ความแข็ง”

‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซเดินไปรอบๆ ซากหลุมศพ มาถึงประตูทางเข้าอาคารที่ดูคล้ายสุสาน เหยียดแขนซ้ายออกไปหมุนที่จับและดึงประตูออกสุดแรง

ท่ามกลางเสียงสนิม ประตูบานใหญ่ค่อยๆ เปิดอ้า

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ลูกศรสีซีดพุ่งออกมา!

พวกมันถากผ่านใบหน้า ศีรษะ ลำตัว ต้นขาด้านในของเอ็นโซและลอยออกไปไกลจนกระทั่งหัวปักพื้นโดยที่ ‘ผู้ชนะ’ ไม่ได้รับบาดเจ็บ

ต้องยอมรับว่า หุ่นเชิดประเภทนี้เกิดมาเพื่อสำรวจสถานที่อันตราย… ไคลน์ถอนหายใจอย่างโล่งอกสุดขีด บังคับให้เอ็นโซมองไปยังอาคารด้านล่าง

มันพบช่างตีเหล็กคนหนึ่ง เป็นยักษ์ผิวดำที่มีกะโหลกศีรษะแตกในลักษณะคล้ายกับแตงโมถูกทุบ มือข้างหนึ่งกำลังใช้ค้อนยักษ์ทุบใส่ทั่ง แต่บนทั่งไม่มีอะไรวางอยู่

เมื่อเห็นว่ายักษ์กะโหลากศีรษะแตกยังคงมี ‘ด้ายวิญญาณ’ ตามปรกติ ยืนยันว่าไม่ใช่อวตารวิญญาณของใคร ไคลน์ถอนหายใจอีกครั้งด้วยความผ่อนคลาย

ขณะเตรียมให้เอ็นโซสังเกตต่อ ร่างกายของมันพลันเกิดอาการชากะทันหัน ความคิดค่อยๆ เชื่องช้าลง

สำหรับความรู้สึกนี้ มันเคยเผชิญมาก่อน สมัยที่ได้รับอิทธิพลจากสมบัติปิดผนึก ‘2-049’ ในเมืองทิงเก็น นับว่าเป็นภาวะที่คล้ายคลึงกันมาก!

ไคลน์ในอดีตยังขาดประสบการณ์ เพิ่งทราบหลังจากได้เป็น ‘นักเชิดหุ่น’ ว่าอาการแบบนี้หมายถึง ‘ด้ายวิญญาณ’ ของตนกำลังถูกควบคุมโดยสมบัติปิดผนึก!

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตอนนี้มันกำลังถูกใครบางคนเข้าควบคุมด้ายวิญญาณ!

นอกจากนั้น สิ่งที่แตกต่างไปจากปรกติก็คือ ร่างกายของมันไม่เพียงจะ ‘ขึ้นสนิม’ ในข้อต่อประหนึ่งถูกใครบางคนหยอดกาว แต่ยังเกิดความรู้สึกคล้ายกับเป็นอัมพาตจากการถูกฟ้าผ่า การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างยากลำบากมาก

ท่าไม่ดีแล้ว… หัวขโมยโลกวิญญาณ… เรามัวแต่ระแวง… ว่าอีกฝ่ายจะใช้อวตารวิญญาณ… ดึงความสนใจ… เพื่อแอบเข้ามาใกล้… แต่เราไม่ทันระวัง… ผู้สมรู้ร่วมคิด… ของมัน… ยักษ์… ช่างตีเหล็ก… ทำให้เรา… ประมาท… และเรา… พึ่งพาหุ่นเชิด… มากเกินไป… จนทำให้… ละเลย… ความปลอดภัย… ของร่างต้น… ความคิดมากมายพรั่งพรูเข้ามาในสมองไคลน์อย่างมิอาจควบคุม คล้ายกับพยายามบดบังความคิดที่จะเอาตัวรอด

ทันใดนั้น ช่างตีเหล็กยักษ์ที่กะโหลกศีรษะแตกยกค้อนขนาดมหึมาขึ้น ปรี่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วประหนึ่งหวังจะทุบหุ่นเชิดเอ็นโซให้เป็นซอสเนื้อ ในเวลาเดียวกัน บริเวณลำคอของไคลน์รู้สึกคล้ายกับมีลมหนาวพัดผ่าน ส่งผลให้รู้สึกเย็นเยียบไปทั้งร่าง

บริเวณโดยรอบที่เคยเงียบสงัด ปัจจุบันมีสัตว์ประหลาดมากมายโผล่ออกจากเสาหินสีซีด บ้างก็โผล่จากซากอาคาร บ้างก็โผล่จากหลุมศพ

บางตนมีเพียงร่างกายท่อนบน บางตนโปร่งใสจนแทบจะมองไม่เห็น บางตนทั้งยืดและย้วยเหมือนก๋วยเตี๋ยว บางตนมีหน้าอกและหน้าท้องเหวอะหวะ เผยให้เห็นอวัยวะภายในชุ่มเลือด บางตนมีใบหน้าสีเขียวเข้มเหมือนกับวิญญาณมาร บางตนมีร่างกายที่เต็มไปด้วยตา บางตนดูคล้ายแมงกะพรุนที่ลอยไปในอากาศ

สายตานับไม่ถ้วนจดจ้องไคลน์จากจุดต่างๆ โดยปราศจากอารมณ์และความรู้สึก

ทันใดนั้น ไคลน์ฝืนอ้าปากด้วยความยากลำบาก เปล่งถ้อยคำแหบแห้งอย่างเชื่องช้า:

“ร้องเพลง…”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง กึ่งกลางถุงมือข้างซ้ายพลันแยกออกเป็นรูปปาก เผยให้เห็นฟันซี่ขาวสองแถว

“ขอพระองค์จงเจริญ!”

“พระองค์ผู้รังสรรค์ทุกสรรพสิ่ง”

“พระองค์ผู้ปกครองทุกสิ่งจากในเงามืด”

“พระองค์ผู้นำพาความเสื่อมโทรมมายังทุกสิ่งมีชีวิต!”

ท่ามกลางเสียงร้องหวีดแหลมที่ฟังดูคล้ายเสียงเล็บมือขูดกับกระดานดำ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซพลันสะดุดล้มจากฝีมือไม้เท้า ‘วาจาสมุทร’ ที่กำลังพ่นฟองอากาศอย่างตื่นเต้น ช่วยให้หุ่นเชิดรอดพ้นจากการถูกทุบด้วยค้อนยักษ์

“ซ่า! ซ่า! ซ่า!”

ไคลน์ที่เผชิญอาการปวดหัวรุนแรง ได้รับสติและความนึกคิดกลับคืนมาบางส่วน ความคิดที่เริ่มขาดห้วงเริ่มปะติดปะต่ออีกครั้ง

ทว่า ร่างกายยังคงเป็น ‘สนิม’ และเฉื่อยชา

ถัดมา ในสภาพที่ขยับตัวไม่ได้ มันถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปควบคุมหุ่นเชิดลูเธอร์ไวล์ที่กำลังยืนข้างๆ สั่งให้ปล่อยหมัดซ้ายตรงใส่ร่างต้น

เปรี้ยง!

ไคลน์โซซัดโซเซทันที หายจากอาการชาเป็นปลิดทิ้ง

จากนั้น ในสภาพสวมมงกุฎสันตะปาปา จุดเดือดของมันต่ำเป็นพิเศษ อารมณ์กำลังเดือดพล่าน สะบัดผ้าคลุมด้านหลังพร้อมกับยกคทาเทพสมุทร

อัญมณีสีฟ้าสว่างขึ้นทีละเม็ด ทันใดนั้น สายฟ้าสีเงินผุดขึ้นกลางอากาศทีละเส้นสองเส้น

สายฟ้าเหล่านี้แผ่ ‘กิ่งก้าน’ ปกคลุมพื้นที่รอบนอกของเมืองกัลเดรอนในรัศมีกว่าร้อยเมตรจนดูราวกับเป็น ‘ป่าสายฟ้า’ ขณะเดียวกัน ออร่าของพลังทำลายล้างและความเกรี้ยวกราดกำลังครอบงำบรรยากาศอย่างท่วมท้น!

สัตว์ประหลาดที่กรูออกมาจากจุดต่างๆ พลันถูกทำลาย ระเหย หรือไม่ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ต่อหน้าแสงสว่างสีเงิน

หลังจากพายุสายฟ้าที่โหมกระหน่ำสงบลง คทาเทพสมุทรในมือ ‘ทรราช’ ไคลน์เริ่มเปล่งแสงแวววาวอีกครั้ง

ฝูงอสรพิษไฟฟ้าที่ดุร้ายและเกรี้ยวกราดกระหน่ำฟาดผ่าลงมายังผืนดินเบื้องล่างจนดูเหมือนกับคลื่นยักษ์

หลังจากปล่อย ‘พายุสายฟ้า’ ออกมาสองระลอกติดต่อกัน ไคลน์พลันอ่อนเพลียสุดขีด แต่สติก็เริ่มกลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง

จนกระทั่งมันฉุกคิดถึงบางส่วน หัวใจไคลน์แทบหยุดเต้น

พายุสายฟ้าเป็นการโจมตีวงกว้าง ไม่สามารถจำแนกมิตรหรือศัตรู ผู้ที่ปลอดภัยจะมีเพียงคนถือคทาเทพสมุทรและพวกพ้องใกล้เคียง แต่นอกเหนือจากนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจะเผชิญกับหายนะร้ายแรง!

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์อาจยังสบายดี แต่หุ่นเชิดเอ็นโซมีโอกาสสูงที่จะถูกกวาดล้าง

ไคลน์มองกวาดตามสัญชาตญาณและพบ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซกำลังขดตัวอยู่ข้างๆ หลุมฝังศพกึ่งอาคาร ด้านหลังเอ็นโซมีค้อนขนาดยักษ์ที่ยังหลงเหลือประกายไฟฟ้าอย่างชัดเจน โดยใกล้ๆ กันยังมีฝ่าเท้ามหึมาที่ไหม้เกรียมสองข้าง

หลุมศพในตำแหน่งดังกล่าวพังพินาศเป็นส่วนใหญ่ ดินสีดำยังมีประกายสายฟ้าสีเงินหลงเหลือ

ยังไม่ตาย… สมแล้วที่เป็น ‘ผู้ชนะ’ ดวงที่สั่งสมมานานคงถูกใช้ไปจนเกือบหมด… ไคลน์โล่งใจกับฉากตรงหน้า ก่อนจะมองไปรอบๆ ด้วยดวงตาที่เปิดเนตรด้ายวิญญาณ

มันกำลังมองหาหัวขโมยโลกวิญญาณ!

ชายหนุ่มเชื่อว่า ระยะทางที่หัวขโมยโลกวิญญาณสามารถควบคุม ‘ด้ายวิญญาณ’ ไม่น่าจะกว้างไปกว่ารัศมีทำลายล้างของพายุสายฟ้า!

บรรดาอาคารโดยรอบที่เสื่อมโทรมอยู่ก่อนแล้ว ปัจจุบันแทบจะราบเป็นหน้ากลอง หินและกระดูกที่ยังหลงเหลือล้วนมีสภาพไหม้เกรียม แม้แต่แผ่นจานทองคำก็ยังแตกออกจากกัน

ทันใดนั้น ร่างหนึ่งโผล่ออกจากกองกรวดห่างจากไคลน์เกินกว่าหนึ่งร้อยเมตร

อีกฝ่ายเป็นเพียงชุดคลุมสีขาวโปร่งแสง ไม่มีหัว ไม่มีมือหรือเท้า ดูคล้ายกับถูกสวมโดยมนุษย์ล่องหน

ณ ปัจจุบัน ร่างกายของมันดูทรุดโทรมมาก เต็มไปด้วยบาดแผลและรอยไหม้ ค่อนข้างน่าสมเพช

หัวขโมยโลกวิญญาณ… พายุสายฟ้าสองระลอกที่เราใช้ออกไปด้วยความฉุนเฉียวและขาดสติยั้งคิด ดูเหมือนจะสยบมันได้หลายส่วน… ได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมาทันที

………………………………………………