ราชันเร้นลับ 928 : หลอกให้ตายใจ

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ถึงตรงนี้ ไคลน์เริ่มเข้าใจสถานการณ์อย่างคร่าว

เนื่องจากกฎการดึงดูดของพลังพิเศษ ทันทีที่เข้าไปในเขตรอบนอกของกัลเดรอนที่ซึ่งปราศจากวิญญาณคนตาย ไคลน์ก็ถูกหัวขโมยโลกวิญญาณ ‘ล็อกเป้า’ ทันที โดยในตอนแรก อีกฝ่ายแอบย้ายแผ่นจานทองคำที่ไม่ทราบที่มา ไปยังเส้นทางที่ ‘ทำนาย’ ไว้ว่าไคลน์จะเดินผ่าน ส่งผลให้ไคลน์มองเห็นผ่านสายตาหุ่นเชิดและเกิดความสนใจ เริ่มเพ่งสมาธิไปที่การ ‘กลายสภาพ’ อย่างผิดปรกติของร่างกาย หลังจากนั้นก็เบี่ยงเบนความสนใจไคลน์ด้วยช่างตีเหล็กคนยักษ์ที่ไม่ใช่อวตารวิญญาณของมัน เมื่อไคลน์เผลอ อีกฝ่ายก็แอบเข้ามาในระยะที่สามารถควบคุมด้ายวิญญาณ จนกระทั่งทำให้ไคลน์เฉื่อยชาได้ด้วยความพยายามเพียงครั้งเดียว

ถ้าไม่ใช่เพราะเราเคยเห็นศพถูกแขวนท่ามกลางเสียงกระดิ่งลมในวิหาร จนเกิดเป็นความหวาดกลัวต่อผู้วิเศษลำดับสูงของเส้นทางนักทำนาย ส่งผลให้เตรียมหลากหลายวิธีสำหรับหลุดพ้นการถูกควบคุมด้วยวิญญาณ ป่านนี้คงได้กลายเป็นอวตารวิญญาณของหัวขโมยโลกวิญญาณไปนานแล้ว…

อันที่จริง ก่อนเข้ามาในนี้ เราควรคำนึงถึงกฎการดึงดูดของพลังพิเศษในเส้นทางใกล้เคียง… หลังจากถือคทาเทพสมุทร แม้ว่าจะมีพลังสยบจากไพ่ทรราช เรากลับยังหุ่นหันพลันแล่นจนละเลยรายละเอียดสำคัญ…

จากผิวเผิน เรารู้สึกว่าตัวเองรอบคอบเหมือนเคย แต่ในความเป็นจริง เราประมาทโดยไม่รู้ตัว และไม่คิดว่าตัวเองกำลังประมาท… คิดถึงตรงนี้ ไคลน์ยกแขนข้างที่ถือคทากระดูก เตรียมใช้ ‘พายุสายฟ้า’ สำหรับการโจมตีเป็นวงกว้างครั้งถัดไป

ถ้าครั้งเดียวไม่พอก็ต้องสองครั้ง… ถ้าสองครั้งไม่พอก็ต้องสามครั้ง! สรุปโดยสั้น ต้องฉวยโอกาสนี้โจมตีหัวขโมยโลกวิญญาณ ไม่ปล่อยให้มันหลบหนีจากระยะหวังผล!

นี่คือวิธีที่ปลอดภัยที่สุด และยังเป็นสไตล์การต่อสู้ที่ไคลน์ใฝ่ฝันมาตลอด หากไม่ใช่เพราะสายฟ้าอ่อนแอลงมากภายในเมืองกัลเดรอน มันเชื่อว่าปัจจุบันคงได้เก็บเกี่ยวตะกอนพลังของเหยื่อไปนานแล้ว

หลังจากย่อยโอสถลำดับ 5 จนเกือบสมบูรณ์ พลังวิญญาณของไคลน์ก็มากพอที่กระหน่ำโจมตีอย่างต่อเนื่องไปได้อีกสักพัก!

ทันใดนั้นเอง ร่างกายของ ‘มนุษย์ล่องหน’ ในชุดคลุมสีขาวโปร่งแสงพลันลุกโชนไปด้วยไฟสีซีด ก่อนจะหายตัวและโผล่อีกครั้งกลางอากาศในจุดที่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร

หัวขโมยโลกวิญญาณใช้พลัง ‘กระโจนเพลิง’ ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าไคลน์หลายระดับ สามารถสร้างระยะห่างได้ในพริบตา!

ขณะเดียวกัน ภายในซากปรักหักพังของอาคารที่มันหนีเข้าไปซ่อนตัว คนยักษ์สีน้ำเงินเข้มสูงสี่เมตรกำลังเดินโซเซ

อกและท้องของยักษ์มีรูโหว่ขนาดใหญ่ อวัยวะภายในไม่หลงเหลืออีกแล้ว มันยืนเด่นตระหง่านประหนึ่งขุนเขา กีดขวางกึ่งกลางระหว่าง ‘ทรราช’ กับหัวขโมยโลกวิญญาณ ส่งผลให้ไคลน์มองหาเป้าหมายไม่พบ

ในสายตาไคลน์ ‘ด้ายวิญญาณ’ ของคนยักษ์กำลังรวมตัวกันและหลั่งไหลไปทางหัวขโมยโลกวิญญาณซึ่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย มองผิวเผินก็ทราบทันทีว่าเป็นอวตารวิญญาณ

ด้านบนของคทาเทพสมุทร อัญมณีสีน้ำเงินพลันสว่างวาบ สายฟ้าสองสามเส้นพุ่งออกจากอากาศว่างเปล่า บิดเป็นเกลียวและรวมตัวเป็นลูกศรสีเงินขนาดยักษ์ พุ่งกระแทกศีรษะของคนยักษ์สีน้ำเงินเข้มในพริบตา

แนวป้องกันล่องหนทั้งหมดแตกเป็นเสี่ยงๆ ในพริบตา กะโหลกศีรษะของคนยักษ์แยกออกจากกัน เศษเนื้อไหม้เกรียมนับไม่ถ้วนกระเด็นไปทุกทิศทาง ร่างกายไร้หัวของมันผุดก๊าซสีซีดที่ถูกย้อมด้วยสีเขียวเข้ม ก่อนจะระเหยและสลายไปพร้อมกับพลังชีวิตทั้งหมด

ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในพริบตา ไคลน์ที่สวมมงกุฎและชุดคลุมสันตะปาปายกคทากระดูกในมือขึ้นอีกครั้ง

แสงสีน้ำเงินกวัดแกว่งไปมาเป็นวงกลม สายลมหวีดโบกสะบัดพัดเสื้อคลุมของมัน

เขตรอบนอกเกือบทั้งหมดของกัลเดรอนพลันถูกเมฆมืดปกคลุมท้องฟ้า ท่ามกลางบรรยากาศตรงหน้า สภาพแวดล้อมมืดลงทันทีพร้อมกับแผ่แรงกดดันที่มองไม่เห็น

แปะ! แปะ! แปะ

ละอองฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วตกกระทบพื้นทีละเม็ด เศษฝุ่นที่สั่งสมมานานเริ่มคละคลุ้ง

ซ่า!

เม็ดฝนทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ก่อตัวกลายเป็นพายุฝนฟ้าคะนองระดับภัยพิบัติ

น้ำฝนทำให้เปลวเพลิงสีซีดลดขนาดลง ก่อนจะไหลรวมกันเป็นสายน้ำ ปลายทางคือจุดต่ำสุดของเมืองกัลเดรอน หลุมลึกและมืดมิดเบื้องล่าง

ในสภาพอากาศเช่นนี้ ‘กระโจนเพลิง’ ของไคลน์กลายเป็นหมันอย่างมิอาจเลี่ยง เฉกเช่นหัวขโมยโลกวิญญาณ!

แต่สำหรับ ‘ทรราช’ พลังวิญญาณของมันสามารถแผ่ขยายออกไปรอบๆ ด้วยความช่วยเหลือจากเมฆมืด คล้ายกับเทพที่มองลงมายังพื้นดิน

เมฆมืดทุกก้อน เม็ดฝนทุกเม็ด ทั้งหมดกลายเป็นดวงตาให้ไคลน์ จนกระทั่งพบตัวหัวขโมยโลกวิญญาณอย่างง่ายดาย

‘มนุษย์ล่องหน’ คนนี้สวมชุดคลุมสีขาวโปร่งแสง กำลังซ่อนตัวอยู่หลังเสาสีซีดที่หักโค่น ไม่ไกลจากจุดกึ่งกลางของเขตรอบนอก

เปรี้ยง!

เสียงฟ้าร้องดังหูดับตับไหม้ กลุ่มสายฟ้ารัดพันเป็นเกลียวสีเงินสว่างและพุ่งออกจากเมฆดำ ดิ่งตรงไปยังหัวขโมยโลกวิญญาณ

อาศัยสัมผัสวิญญาณที่ยอดเยี่ยม ‘มนุษย์ล่องหน’ ตนนี้มุดหลบลงไปในดินได้ทันเวลา

หนึ่งเส้น สองเส้น สามเส้น ลำแสงสีเงินสว่างเส้นใหญ่ พุ่งกระทบพื้นดินในจุดดังกล่าวอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้ดินเริ่มร้อนและละลายกลายเป็นหลุมลึกที่ไหม้เกรียม

ทันใดนั้น หัวขโมยโลกวิญญาณโผล่มาจากอีกด้านหนึ่งและรีบหนีไปหลบในกำบังใกล้เคียง บ้างหลบขวา บ้างหลบซ้าย แหวกว่ายคดเคี้ยวราวกับงู

แต่ไม่ว่ามันจะหนีไปไหน สายฟ้าสีเงินสามารถตามจู่โจมได้ทันท่วงที หรือแม้กระทั่งการยิงดักหน้า ไม่ปล่อยให้มันหลบหนีออกจากพื้นที่

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

ทรราชซึ่งเปรียบประหนึ่ง ‘เทพ’ ผู้กำลังมองลงมายังหัวขโมยโลกวิญญาณเบื้องล่าง โบกคทาสีเงินโจมตีเป้าหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกือบทำสำเร็จหลายครั้ง

ยิ่งเวลาผ่านไป ไคลน์เริ่มวิตกกังวล ภายในใจลึกๆ นึกอยากสิ้นสุดการล่าโดยเร็ว จึงตัดสินใจกระตุ้นคทาเทพสมุทรอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนใจปริมาณพลังวิญญาณที่หลงเหลือ ส่งผลให้สายฟ้าผ่าลงมาถี่ขึ้น

ทันใดนั้น มันรู้สึกอ่อนเพลียรุนแรง

สิ่งนี้ทำให้ไคลน์ได้สติ ค้นพบความผิดปรกติ

ตั้งแต่แรก เห็นได้ชัดว่าหัวขโมยโลกวิญญาณสามารถหนีไปยังส่วนลึกของกัลเดรอนได้ไม่ยากเย็น แล้วทำไมมันถึงยังป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ?

ในฐานะสิ่งมีชีวิตของโลกวิญญาณที่ไม่มีร่างเนื้อ มันสามารถดำดินเพื่อหลีกเลี่ยงฟ้าผ่า หลบการจ้องมองจากเบื้องบนของ ‘ทรราช’ แล้วทำไมมันถึงยังโผล่หน้าออกมาในบริเวณใกล้เคียง?

มันกำลังล่อให้เราโจมตี… คงประเมินจากคุณสมบัติของด้ายวิญญาณเราและวิธีที่เราควบคุมหุ่นเชิด จึงทราบว่าระดับของเรายังไม่ถึงครึ่งเทพ และต้องการผลาญพลังวิญญาณของเราให้หมด! ไคลน์พลันตื่นตัวสุดขีด เมื่อผนวกเข้ากับการเผชิญหน้าในครั้งแรก มันเพิ่งตระหนักเมื่อสายว่า หัวขโมยโลกวิญญาณเป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาที่เจ้าเล่ห์มาก

ขณะเดียวกัน มันผุดคำถามใหม่

‘พายุฝนฟ้าคะนอง’ และน้ำฝนที่ไหลลงไปเมื่อครู่ จะดึงดูดอันตรายจากเขตใจกลางเมืองขึ้นมาที่นี่หรือไม่?

เราประมาทอีกแล้ว เผลอละเลยรายละเอียดสำคัญโดยไม่รู้ตัวบ่อยครั้ง… คิดถึงตรงนี้ ไคลน์ตัดสินใจเก็บคทาเทพสมุทรกลับ

สายฝนหยุดลงทันที เมฆดำในอากาศอันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว สภาพอากาศโดยรอบกลับมาเป็นปรกติ

ไคลน์บังคับให้เอ็นโซกลับมาพร้อมกับไม้เท้าวาจาสมุทร โดยระหว่างนั้นก็บังคับให้ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์คอยป้องกันร่างต้น

ถัดมา หนึ่งคนกับสองหุ่นเชิดค่อยๆ เดินกลับไปยังทางเข้า คล้ายกับต้องการหนีออกจากกัลเดรอนก่อนที่พลังวิญญาณจะแห้งเหือด

ระหว่างนั้น ไคลน์ยังคงเปิดเนตรด้ายวิญญาณเพื่อป้องกันมิให้หัวขโมยโลกวิญญาณเข้าใกล้

มันเพิ่งสังเกตเห็นว่า ด้ายวิญญาณของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ค่อนข้างพิเศษ ด้ายส่วนหนึ่งแผ่ออกจากร่างกายและขยายไปรอบๆ ตามปรกติ อีกส่วนหนึ่งรวมตัวกันเป็นกระจุกหนาและเชื่อมต่อกับผ้าคลุมสีขาวโปร่งแสง

ไคลน์สงสัยว่า นี่คงเป็นสภาวะที่หัวขโมยโลกวิญญาณใช้สำหรับควบคุมอวตารวิญญาณ ถือเป็นวิธีที่แตกต่างจาก ‘นักเชิดหุ่น’

กวาดสายตาสักพัก ทันใดนั้น มันเห็นด้ายมายาสีดำจำนวนหนึ่งยื่นออกจากซากอาคารที่พังทลาย และมีบางส่วนรวมตัวเป็นกระจุกและเชื่อมต่อกับจุดห่างไกล

ไคลน์ไม่ลังเลที่จะยกคทาเทพสมุทรในมือ เส้นสายฟ้าขนาดมหึมาถูกสร้างขึ้นกลางอากาศที่ว่างเปล่า

เปรี้ยง!

ท่ามกลางเสียงอึกทึกที่สั่นคลอนไปทั้งหัวใจและดวงวิญญาณ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ยกมือซ้ายขึ้น

ร่างกายครึ่งหนึ่งของมันกลายเป็นภาพมายา ฝ่ามือและแขนยืดยาวออกราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด เล็งไปทางซากอาคารหลังดังกล่าว

ระหว่างทาง สีฝ่ามือของมันซีดลงกะทันหัน กึ่งกลางผุดใบหน้ามายาที่นูนยื่น จากนั้นก็แลบลิ้นปลายแหลมที่คล้ายกับงูออกมา ผิวลิ้นปกคลุมด้วยขนสีขาว

ลิ้นดังกล่าวเหยียดยาวออกไปไกลในพริบตา ทะลุผ่านกำแพงและตรงไปยังจุดที่ ‘ด้ายวิญญาณ’ มากองบรรจบกัน จากนั้นก็ ‘ดูด’ วิญญาณที่บิดเบี้ยวและพร่ามัวออกมาหนึ่งดวง

รอบดวงวิญญาณ ด้ายวิญญาณส่วนหนึ่งอันตรธานหายไปอย่างกะทันหัน ราวกับไม่เคยมีตัวตนมาตั้งแต่แรก

ส่วนดังกล่าวคือกลุ่มด้ายวิญญาณที่เคยจับตัวเป็นกระจุกและเชื่อมต่อกับจุดห่างไกล!

พวกมันคือด้ายวิญญาณปลอม!

หัวขโมยโลกวิญญาณสามารถสร้างด้ายวิญญาณปลอม หรือสลับตำแหน่งกับอวตารวิญญาณได้ในทันที!

ไคลน์รีบกวาดสายตามองไปทางอื่น และไม่ผิดคาด ชายหนุ่มเห็นกลุ่มด้ายวิญญาณกำลังแหวกว่ายอยู่ใต้ดินความเร็วสูง จุดหมายของพวกมันคือร่างต้นของไคลน์

มันใช้งานคทาเทพสมุทรอีกครั้ง เสกสายฟ้าระเบิดที่สามารถแผ่อิทธิพลเป็นวงกว้าง เล็งผ่าลงมายังพื้นดิน

ขณะเดียวกัน ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซใช้โชคที่เหลืออยู่เพื่อเพิ่มความโชคร้ายให้เป้าหมาย พร้อมกับสั่งให้ไม้เท้าวาจาสมุทรยิงสายฟ้าสีเงิน

ด้วยความโชคดี สายฟ้าแหวกผ่านช่องเล็กๆ ลงไปในดิน กระแทกใส่ร่างศัตรูโดยตรง ส่งผลให้ด้ายวิญญาณบางส่วนหายไปทันที

แต่นี่ก็ยังเป็นของปลอม!

กว่าไคลน์จะรู้ตัว ความคิดของมันก็เริ่มเฉื่อยชาอีกครั้ง ร่างกายเป็นอัมพาตเกือบสมบูรณ์

ขณะปากของชายหนุ่มเริ่มขยับอย่างยากลำบาก เตรียมออกคำสั่งกับสมบัติวิเศษ ‘มนุษย์ล่องหน’ ที่สวมผ้าคลุมโปร่งแสงพลันตกลงมาจากท้องฟ้า ร่อนลงตรงหน้าไคลน์

จนถึงเมื่อครู่ หัวขโมยโลกวิญญาณซ่อนตัวอยู่บนท้องฟ้าในจุดที่มีเมฆสีเทาปกคลุม!

ทันทีที่ ‘มนุษย์ล่องหน’ ปรากฏกาย หนอนโปร่งใสตัวหนึ่งคลานออกจากลำคอในจุดที่ควรจะเป็นหัว ผิวของหนอนแมลงสลักลวดลายลึกลับและพิสดาร

เพียงไคลน์จ้องมอง สติของมันพลันระเบิดในพริบตา ต่อให้ไม่ถูกควบคุมด้วยด้ายวิญญาณ แต่ก็ไม่แคล้วต้องสูญเสียสติสัมปชัญญะไปโดยสิ้นเชิง

บนใบหน้าภายในเงามืดของมงกุฎสันตะปาปา ตุ่มเนื้อเริ่มผุดขึ้นทีละเม็ดสองเม็ด แต่ละเม็ดค่อนข้างโปร่งใส ดูคล้ายกับหนอนแมลงที่กำลังบิดตัวไปมา

หากไม่ใช่เพราะมีไพ่ทรราชคอยค้ำจุนร่างวิญญาณ ไคลน์คงล้มลงกับพื้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด เกลือกกลิ้งและทุรนทุราย

หัวขโมยโลกวิญญาณเองก็มีร่างสัตว์ในตำนาน!

ทันใดนั้น ‘มนุษย์ล่องหน’ ในชุดคลุมสีขาวสามารถเข้าควบคุมด้ายวิญญาณของไคลน์ได้ง่ายดายโดยปราศจากอุปสรรค เพียงไม่กี่วินาทีก็ใกล้จะสำเร็จ

ขณะจ้องมองเหยื่อที่กำลังจะกลายเป็นอวตารวิญญาณของมัน หัวขโมยโลกวิญญาณพลันเห็นอีกฝ่ายฝืนขยับปากอย่างยากลำบากและคายคำหนึ่งออกมา

ไคลน์ฟื้นตัวจากสภาวะเกือบคลุ้มคลั่งได้เร็วกว่าที่หัวขโมยโลกวิญญาณคาดไว้มาก และคำที่พ่นออกมาในภาษาเฮอร์มิสโบราณมีใจความว่า:

“โชคชะตา!”

นี่คือคาถาสำหรับใช้งานยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ !

หากไคลน์ต้องการจะหนีจริงๆ เพียงแค่จับไหล่หุ่นเชิดทั้งสองและตัดการเชื่อมต่อพิธีกรรมก็พอ นั่นจะทำให้สามารถส่งตัวเองกลับมายังมิติหมอกสีเทาได้ทันที ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินกลับมายังทางเข้าเมืองกัลเดรอน

ทั้งหมดทำไปเพื่อวางกับดักล่อหัวขโมยโลกวิญญาณ!

การที่ไคลน์สามารถฟื้นตัวได้รวดเร็วจากความเจ็บปวดขณะเห็นร่างสัตว์ในตำนานบางส่วน แถมยังมีเรี่ยวแรงเปล่งถ้อยคำสั้นๆ ได้ทันเวลา เป็นเพราะมันเคยเผชิญเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน นอกจากนั้น ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าศัตรูจะใช้วิธีการหรือพลังแบบใด แต่เป้าหมายที่ต้องประสบพบเจอโชคร้าย มักรับมือได้ง่ายกว่าปรกติเสมอ

ย้อนกลับไปในตอนที่ไคลน์สู่สภาวะเฉื่อยชา การตอบสนองแรกมิใช่การสั่งให้สมบัติวิเศษร้องเพลง แต่เป็นการบังคับให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซระเบิดความโชคดีที่เหลืออยู่ทั้งหมด เปลี่ยนให้หัวขโมยโลกวิญญาณต้องพบเจอกับความโชคร้ายแทน!

…………………………………………