ตอนที่ 809 นิกายกระบี่สายฟ้า

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ณ เมืองเทียนหยวน ฉินอวี้โม่ผ่านการคัดเลือกในรอบที่สองได้สำเร็จและมีสิทธิ์เข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์เข้าสู่สามสำนักและเก้านิกายในรอบสุดท้าย อีกทั้งยังกลายเป็นผู้นำของตระกูลเฝิงด้วยความสามารถอันน่าทึ่งของตนเอง

หานโม่ฉือเองก็ผ่านเข้าสู่การคัดเลือกในรอบสุดท้ายเช่นกันและกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางไปที่เมืองเทียนยงเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกในรอบสุดท้าย

อีกฟากหนึ่งของดินแดนมหาเทพ สถานการณ์ของฉินเทียนซับซ้อนกว่ามาก

ฉินเทียนแตกต่างจากฉินอวี้โม่ที่ปรากฏตัวใกล้เมืองเล็ก ๆ และหานโม่ฉือที่บังเอิญได้เข้าไปอยู่ในเมืองเทียนยิน ทว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายกลับพาเขาพลัดหลงไปในบริเวณอาณาเขตของนิกายหมื่นบุปผา โชคดีที่ว่าคนของนิกายกระบี่สายฟ้าที่บังเอิญผ่านไปทางนั้นพบตัวเขาที่กำลังหมดสติอยู่และช่วยเขาไว้โดยนำตัวกลับมาที่นิกายกระบี่สายฟ้าด้วยกัน

ต้องกล่าวเลยว่านิกายกระบี่สายฟ้าก็ปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดีและไม่คิดทอดทิ้งฉินเทียนซึ่งเป็นคนแปลกหน้า พวกเขาให้ความช่วยเหลือและเพียงสอบถามความเป็นมาเป็นไปของฉินเทียนเท่านั้น

จ้าวนิกายกระบี่สายฟ้าก็เป็นคนเรียบง่ายและเป็นมิตร เขาตกใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ทราบว่าฉินเทียนเดินทางมาจากดินแดนระดับต่ำเพื่อตามหาภรรยาที่พลัดพรากจากกัน หลังจากนั้นเขาก็เชิญให้ฉินเทียนพักอยู่ในนิกายและปฏิบัติต่อเขาเสมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งของนิกายกระบี่สายฟ้า รวมถึงช่วยตามหาเบาะแสของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นด้วยความเต็มใจ

“สหายฉิน ข้าส่งคนไปที่นิกายหมื่นบุปผาเพื่อสืบข่าวคราวดูแล้ว ทว่าไม่มีข่าวเกี่ยวกับภรรยาของท่านเลย”

ในวันนี้ เหลยเจี้ยนเชิงแห่งนิกายกระบี่สายฟ้าก็เรียกฉินเทียนไปพบที่ห้องหนังสือและบอกความคืบหน้าเกี่ยวกับสิ่งที่ค้นพบในช่วงหลายวันที่ผ่านมา

นิกายหมื่นบุปผาเป็นนิกายอันดับสองในบรรดาเก้านิกายของดินแดนมหาเทพและมีความแข็งแกร่งที่เหนือกว่านิกายกระบี่สายฟ้าเสียอีก เนื่องจากนิกายหมื่นบุปผามีสถานะสูงส่งและเฝ้าระวังนิกายอื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา การสืบหาเบาะแสภายในนิกายของพวกเขาจึงไม่ง่ายนัก การที่เหลยเจี้ยนเชิงยังพอจะสืบข้อมูลได้เล็กน้อยเป็นเพราะนิกายของตนและนิกายหมื่นบุปผามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในระดับหนึ่ง

และในการสืบข้อมูลครานี้ เขาก็ได้รับข่าวกลับมาว่าในนิกายหมื่นบุปผาไม่มีสตรีนามว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋น…

“ท่านอาจารย์ของข้าบอกเพียงว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นปรากฏตัวในนิกายหมื่นบุปผา ทว่าหลังจากนั้นร่องรอยเบาะแสของนางก็หายไป ข้าเองก็ยืนยันไม่ได้ว่าตอนนี้นางอยู่ที่นิกายแห่งนั้นรึไม่ อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะต้องไปที่นิกายหมื่นบุปผาด้วยตัวเอง”

ฉินเทียนขมวดคิ้วด้วยความกังวลในหัวใจทว่าไม่แสดงออกทางสีหน้ามากนัก ในช่วงที่ผ่านมา เขาพักอยู่ในนิกายกระบี่สายฟ้าอย่างปลอดภัยและฝึกฝนบ่มเพาะวิชาอย่างต่อเนื่อง ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาจึงพัฒนาขึ้นมาก ตอนนี้พลังของฉินเทียนบรรลุถึงขอบเขตราชาเซียนขั้นกลางแล้วและคาดว่าจะทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงได้ในอีกไม่นาน

“สหายฉิน ด้วยพรสวรรค์และความสามารถของท่าน อีกไม่นานท่านจะกลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของดินแดนมหาเทพได้อย่างแน่นอน สถานการณ์ในนิกายหมื่นบุปผาซับซ้อนยิ่งนัก แม้ข้าจะยินดีช่วยอย่างเต็มที่ แต่ทางที่ดีท่านก็ไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามหรือใจร้อนเกินไป”

สิ่งที่เหลยเจี้ยนเชิงกล่าวมานั้นถูกต้องทุกประการ ในช่วงที่ผ่านมานี้ เขาและฉินเทียนได้พูดคุยกันทำความรู้จักและสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉินเทียนเป็นคนองอาจกล้าหาญและมากความสามารถ แม้มาจากดินแดนระดับต่ำ ทว่าพรสวรรค์ของเขาก็น่าทึ่งอย่างแท้จริง กอปรกับความหนักแน่นมั่นคงในความรู้สึกและความซื่อสัตย์ที่แสดงออกอย่างชัดเจนทำให้เหลยเจี้ยนเชิงรู้สึกชื่นชมในตัวเขาเป็นอย่างมาก

“สหายเหลยวางใจเถอะ ข้าเข้าใจดี ก่อนที่ข้าจะแข็งแกร่งมากพอและปกป้องตนเองได้ ข้าจะไม่ทำสิ่งใดวู่วาม”

ฉินเทียนเองก็มิใช่คนโง่เขลาจนมองไม่เห็นความเป็นจริง สำหรับขุมกำลังยิ่งใหญ่และทรงพลังอย่างนิกายหมื่นบุปผา เขาไม่คิดประมาทแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนในนิกายกระบี่สายฟ้าก็เป็นมิตรต่อเขามากและเหลยเจี้ยนเชิงที่ปฏิบัติต่อเขาเช่นสหายพี่น้องอย่างจริงใจก็ช่วยเหลือเขาในหลาย ๆ ด้าน แน่นอนว่าฉินเทียนไม่ต้องการทำให้อีกฝ่ายต้องพลอยเดือดร้อนเพราะเรื่องส่วนตัวของตน รวมถึงทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างนิกายกระบี่สายฟ้าและนิกายหมื่นบุปผา

“อีกอย่าง จากที่คำนวณเวลาดูแล้ว การคัดเลือกศิษย์ของเมืองต่าง ๆ ในดินแดนน่าจะใกล้เสร็จสิ้นเต็มทีแล้ว อีกไม่กี่วันข้างหน้า สหายฉินไปที่เมืองเทียนยงกับข้าเถอะ ท่านอาจจะได้พบกับบุตรสาวและคนอื่น ๆ ที่นั่น”

นอกเหนือจากเรื่องอวี๋เสี่ยวอวิ๋น เหลยเจี้ยนเชิงก็ทราบเกี่ยวกับฉินอวี้โม่เช่นกัน ในช่วงที่ผ่านมานี้เขาได้ส่งคนออกไปสืบข่าวเกี่ยวกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ทว่าก็ไม่ได้รับเบาะแสใดที่เป็นประโยชน์เลย

ดินแดนมหาเทพกว้างใหญ่เกินไป แม้สำหรับขุมกำลังอันดับต้น ๆ อย่างนิกายกระบี่สายฟ้ากับการตามหาคนไม่กี่คนที่กระจัดกระจายไปคนละทิศทางก็มิใช่เรื่องง่ายเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ฉินเทียนกล่าวไว้ว่าพรสวรรค์และความสามารถของฉินอวี้โม่เหนือธรรมชาติอย่างมาก พวกเขาต่างก็เดินทางมาที่ดินแดนแห่งนี้เพื่อตามหาอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและจะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อผ่านการคัดเลือกในแต่ละรอบอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น เหลยเจี้ยนเชิงจึงเชื่อว่ามีโอกาสได้พบกับคนเหล่านั้นในการคัดเลือกรอบสุดท้ายที่จะเกิดขึ้น

“เข้าใจแล้ว”

แน่นอนว่าฉินเทียนตอบตกลงอย่างไม่ลังเล นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว อยากรู้นักว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์และคนอื่น ๆ จะเป็นอย่างไรกันบ้าง ?

ณ เมืองเทียนยิน หานโม่ฉือก็กำลังฝึกวิชาอยู่ภายในเรือนที่พักในขณะที่เหมียวเจินเจินรีบวิ่งตาตื่นเข้ามา

“พี่หาน ได้ข่าวเรื่องพี่สะใภ้แล้วเจ้าค่ะ !”

เมื่อเข้ามาภายในบริเวณเรือน เหมียวเจินเจินก็ตะโกนด้วยท่าทางตื่นเต้นและทำให้หานโม่ฉือลืมตาขึ้นมาทันที

“พี่หาน คนของเราได้ข่าวมาว่าพี่สะใภ้ปรากฏตัวอยู่ในเมืองเทียนหยวนเจ้าค่ะ”

เนื่องจากทราบดีว่าหานโม่ฉือเฝ้ารอความคืบหน้าเช่นนี้อย่างใจจดใจจ่อเพียงใด เหมียวเจินเจินจึงไม่เสียเวลาและเปิดเผยข่าวที่ได้รับมาอย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มาก่อน คนจากตระกูลเหมียวจึงพยายามหาทางติดต่อไปที่ศูนย์การค้าจ้าวสมุทรสาขาเมืองเทียนยินเพื่อช่วยสืบข่าวอีกทาง

แน่นอนว่าศูนย์การค้าจ้าวสมุทรที่มีเครือข่ายกว้างขวางทั่วดินแดนเป็นสถานที่ที่จะสืบหาข่าวและข้อมูลได้เร็วกว่าสมาคมทหารรับจ้าง ภายในเวลาเพียงสามวัน พวกเขาก็สืบข่าวจนได้ข้อมูลมา

เหมียวเจินเจินเพิ่งได้รับข้อมูลมาเมื่อครู่นี้และนางรีบปรี่มาพบหานโม่ฉือทันที อันที่จริง ตัวนางเองก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับพี่สะใภ้ที่ไม่เคยพบหน้าเป็นอย่างมาก นางต้องการพบเห็นด้วยตาตัวเองสักคราว่าฉินอวี้โม่วิเศษวิโสเพียงใดจึงสามารถพิชิตใจหานโม่ฉือและทำให้ความรักของเขาที่มีต่อนางหนักแน่นมั่นคงเช่นนี้

“เมืองเทียนหยวน…”

หานโม่ฉือลุกขึ้นและพึมพำเบา ๆ ขณะเดินตรงไปที่ลานด้านข้าง แผนการเดิมของเขาคือเดินทางไปที่เมืองเทียนยงก่อนและตามหาฉินอวี้โม่ที่นั่น ทว่าเมื่อทราบเช่นนี้ เขาก็อดใจรอไม่ไหวอีกต่อไป

ด้วยระยะห่างของเมืองเทียนหยวน หากเขาเดินทางอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่หยุดพัก เขาก็อาจจะไปถึงที่นั่นได้ภายในสิบวัน

“พี่หานไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ”

เหมียวเจินเจินก้าวเข้าไปใกล้และกล่าวต่อ “หากเราเดินทางไปเองเช่นนี้ ต่อให้ไม่นอนหลับพักผ่อนก็คงต้องใช้เวลามากกว่าสิบวัน เราไปขอความช่วยเหลือจากท่านพ่อจะดีกว่าและก็ไปที่จวนเจ้าเมืองเพื่อขอใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นั่น ด้วยวิธีนี้ เราจะไปถึงที่หมายได้ภายในเจ็ดวัน”

ดินแดนมหาเทพกว้างใหญ่อย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นเพื่อให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ในจวนเจ้าเมืองแต่ละแห่งจึงได้ติดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายไว้

อย่างไรก็ตาม การเปิดใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายดังกล่าวต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่มากพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้น ค่ายกลเคลื่อนย้ายแต่ละแห่งก็เชื่อมต่อไปสู่เมืองเพียงไม่กี่เมืองเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่นค่ายกลเคลื่อนย้ายของเมืองเทียนยินของพวกเขาที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับเมืองเทียนหยวนโดยตรง ดังนั้นการที่ต้องการจะเดินทางไปที่นั่นจึงต้องข้ามผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายสองต่อก่อนที่จะไปถึงที่เมืองเทียนหยวนได้

อย่างไรก็ตาม ความเร็วของการเดินทางผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายนั้นรวดเร็วอย่างยิ่งและระยะเวลาเจ็ดวันที่เหมียวเจินเจินกล่าวมาก็เป็นการเผื่อเวลาความล่าช้าระหว่างทางแล้ว อันที่จริง หากการเดินทางทุกอย่างราบรื่น หานโม่ฉือจะไปถึงเมืองเทียนหยวนได้ในเวลาห้าวันเป็นอย่างมาก

หานโม่ฉือพยักศีรษะและรีบมุ่งหน้าไปยังเรือนของเหมียวเหรินจวินทันที เหมียวเจินเจินเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบตามไปเช่นกัน

ณ เรือนที่พักของเหมียวเหรินจวิน เนื่องจากคาดเดาไว้แล้วว่าหานโม่ฉือจะมาพบตนทันทีที่ทราบข่าว ผู้นำตระกูลเหมียวจึงรออยู่ก่อนแล้ว

“ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปพบท่านเจ้าเมือง”

เขากล่าวทันทีโดยไม่คิดปฏิเสธหรือคัดค้าน เขาเข้าใจความรู้สึกที่หานโม่ฉือมีต่อฉินอวี้โม่เป็นอย่างดี ในเมื่อมีโอกาสเช่นนี้ หานโม่ฉือจะต้องหาทางไปพบฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน

“ท่านพ่อ ข้าอยากไปกับพี่หานด้วยเจ้าค่ะ”

เหมียวเจินเจินก้าวออกไปข้างหน้าและเกาะแขนบิดาพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าแววตาอ้อนวอน

“เด็กน้อยเอ๋ย อย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจเลย”

เหมียวเหรินจวินโยกศีรษะบุตรสาวเบา ๆ ทว่าไม่ตอบตกลง

“ท่านพ่อ ข้าจะทำให้ท่านลำบากใจได้อย่างไรกัน ? ท่านบอกเองมิใช่รึว่าหากต้องการจะแข็งแกร่งมากขึ้น ข้าต้องออกไปหาประสบการณ์และเผชิญกับโลกภายนอก ให้ข้าไปกับพี่หานเถอะนะเจ้าคะ มันจะเป็นประสบการณ์ที่ดีต่อข้าอย่างแน่นอน”

เหมียวเจินเจินแสดงสีหน้าเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ทว่าสิ่งที่นางกล่าวมานั้นสมเหตุสมผลจนแม้แต่เหมียวเหรินจวินก็สรรหาคำใดมาปฏิเสธไม่ได้

“หากนางต้องการจะไปก็ปล่อยนางไปเถอะขอรับ”

เนื่องจากทราบลักษณะนิสัยของเด็กสาวตรงหน้าดี หานโม่ฉือจึงตอบตกลงด้วยตัวเอง